ตอนที่ 545 งานเลี้ยงวันเกิด

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 545 งานเลี้ยงวันเกิด

ก่อนหน้านี้ ฟางจั๋วเยวี่ยเพิ่งลงจากรถประจำทาง

หลังจากเขาเลิกงานในวันนี้ บนถนนท้องถนนมีอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ถนนถูกปิดกั้นเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ฟางจั๋วเยวี่ยจึงมาถึงถนนเจี่ยฟางเอาป่านนี้

ทันทีที่เขาก้าวลงจากรถ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยกำลังเรียกชื่อเขา

สีหน้าเขาบูดเบี้ยวทันทีเหมือนได้กลิ่นเหม็นเน่า หันมองไปทางหวังเหวินฟางที่กำลังเดินตรงมาหา

หลังจากเขาย้ายไปอยู่กับคุณปู่คุณย่า หวังเหวินฟางก็มักจะโทรศัพท์ไปที่ที่ทำงานของเขาทุกสามวัน เพื่อขอร้องให้เขาย้ายกลับไป

ซึ่งเขาก็วางสายก่อนที่หวังเหวินฟางจะพูดจบเสมอ

ไม่คาดคิดว่าหวังเหวินฟางจะตามมาดักรอเขาถึงที่นี่

ฟางจั๋วเยวี่ยแสร้งถามเสียงสูงและพูดประชดประชัน “แม่ตามมาดักเจอผมถึงที่นี่เลยเหรอ? ถึงยังไงผมก็ไม่มีวันกลับไปหรอก แม่ล้มเลิกความพยายามซะเถอะ” พูดจบแล้วเขาก็เดินจากไป

หวังเหวินฟางรีบพูดไล่หลังเขาว่า “พ่อของลูก… เขาอยากหย่ากับแม่”

ต่อให้ตอนนี้ฟางเว่ยกั๋วจะไม่หลงเหลือความเสน่หาต่อหล่อนแล้ว แต่หวังเหวินฟางก็ยังไม่ต้องการหย่าขาดจากเขา

มีหญิงที่ผ่านการหย่าร้างคนไหนได้รับการยอมรับจากสังคมบ้าง!

อีกทั้งตอนนี้หล่อนมีคู่ปรับซึ่งทำงานอยู่ในกรมศิลปะเหมือนกัน ถ้าหล่อนหย่าร้าง คู่ปรับตัวฉกาจของหล่อนไม่หัวเราะเยาะหล่อนจนตายหรือ?

ฟางจั๋วเยวี่ยหยุดเดิน ถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมพ่อถึงอยากหย่ากับแม่ล่ะ?”

ในความทรงจำทั้งหมดที่เขามี พ่อกับแม่ต่างก็ดูรักกันมาก

หวังเหวินฟางเกิดแรงกระตุ้นขึ้นมาชั่ววูบ คิดจะผลักให้ฟางเว่ยกั๋วเป็นฝ่ายผิดที่ตัดสินใจหย่าร้าง

อยากบอกเหตุผลว่าเขานอกใจไปมีหญิงอื่นนอกบ้าน เขาก็เลยคิดจะทอดทิ้งหล่อนซะ

แต่หล่อนก็รู้ดีว่าถ้าตัวเองพูดอย่างนั้นออกไปจริง ๆ หล่อนจะเป็นฝ่ายที่โดนตบหน้าเสียเอง เพราะความจริงหล่อนเองก็นอกกายเขา

และนั่นจะยิ่งทำให้ฟางเว่ยกั๋วเกลียดหล่อนยิ่งขึ้นไปอีก คราวนี้หล่อนคงไม่มีความหวังแล้วว่าจะได้กลับไปคืนดีกับฟางเว่ยกั๋วจริง ๆ

หวังเหวินฟางตีหน้าเศร้า “จะเป็นอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่เพราะลุงกับป้าสะใภ้ของลูกติดคุก พ่อของลูกคงกลัวว่าพวกเขาอาจส่งผลกระทบกับอนาคตของลูก เขาก็เลยอยากหย่ากับแม่”

ฟางจั๋วเยวี่ยตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็แค่นเสียงตะคอก “ผมไม่เคยมีความคิดอยากไต่เต้าทางตำแหน่งเหมือนกับพ่อ ความตกต่ำที่เกิดขึ้นกับคนตระกูลหวังของแม่ไม่สามารถส่งผลกระทบอะไรต่อผมทั้งนั้น”

ตั้งแต่เด็ก เขาไม่เคยชอบครอบครัวของทางหวังเหวินฟางเลย

ตอนนี้พ่อหรงกับแม่หรงยังมาติดคุกเพราะพยายามจะใส่ร้ายป้ายสีหลินม่าย ทำให้เขายิ่งเกลียดคนเหล่านั้นมากกว่าเดิมเสียอีก ไม่ยอมเรียกเขาว่าลุงหรือป้าสะใภ้อีกต่อไป

หวังเหวินฟางทำเมินต่อเรื่องเหล่านี้ ขอให้ฟางจั๋วเยวี่ยช่วยไปคุยกับผู้เป็นพ่อให้หน่อย เกลี้ยกล่อมให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะหย่ากับหล่อน

ถึงฟางจั๋วเยวี่ยไม่ค่อยถูกชะตากับแม่ของตัวเองแค่ไหน แต่ใจจริงแล้วเขาก็ไม่อยากเห็นพ่อกับแม่หย่าร้างกัน

ยิ่งไปกว่านั้น แม่ของเขาอุตส่าห์แบกหน้ามาขอร้องถึงที่ ดังนั้นลูกชายอย่างเขาคงต้องเห็นแก่หน้าของหวังเหวินฟางสักหน่อย

นับตั้งแต่ฟางเว่ยกั๋วและหวังเหวินฟางหย่าขาดจากกันอย่างเป็นทางการ เขาก็ไม่ได้กลับบ้านอีก ย้ายมาอาศัยอยู่ที่หน่วยงานแทน

ในหน่วยงานมีหอพักรวมอยู่พอดี พวกเขาได้จัดห้องส่วนตัวให้เขาอาศัยอยู่เป็นการชั่วคราว

ตอนที่ฟางจั๋วเยวี่ยแวะมาหา พบว่าเขากำลังต้มบะหมี่บนเตาถ่าน

ฟางเว่ยกั๋วไม่แปลกใจที่เห็นการมาของลูกชายคนเล็ก เนื่องจากรู้ดีว่าหวังเหวินฟางคงไปขอร้องให้เขาช่วยมาเป็นตัวกลางในการเจรจาแน่

เขายิ้มต้อนรับพลางถามฟางจั๋วเยวี่ยว่ากินข้าวเย็นมาหรือยัง ถ้ายัง เขาจะได้ต้มบะหมี่ให้อีกชามหนึ่ง

ฟางจั๋วเยวี่ยสั่นศีรษะ “ผมยังไม่ได้กินอะไรเลย”

ฟางเว่ยกั๋วเทไข่ลวกห้าฟองลงไปต้มพร้อมกับบะหมี่ในคราวเดียว เขารู้ดีว่าลูกชายคนเล็กโปรดปรานการกินอาหารอร่อย ๆ

น่าเสียดายที่ห้องพักชั่วคราวของเขาไม่มีเนื้อสัตว์อื่น ๆ นอกจากไข่ไก่

หลังจากปรุงบะหมี่เสร็จแล้ว ฟางเว่ยกั๋วก็ตักไข่ลวกสี่ฟองลงในชามของลูกชายคนเล็ก เหลือไว้ให้ตัวเองแค่ฟองเดียว

ฟางจั๋วเยวี่ยยกชามบะหมี่ขึ้นมา หลังจากซดเข้าไปสองคำก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าทักษะการทำอาหารของผู้เป็นพ่อนั้นไม่เลวเลย บะหมี่ธรรมดา ๆ ถูกปรุงรสชาติได้อร่อยมาก

เขาตักไข่ลวกสองฟองกลับคืนใส่ชามของฟางเว่ยกั๋ว แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมไม่ยักรู้เลยว่าพ่อทำอาหารเป็น ไม่คิดว่าแม้แต่บะหมี่ธรรมดา ๆ พ่อยังปรุงออกมาได้อร่อยขนาดนี้”

ไม่น่าแปลกใจที่เขาคิดแบบนั้น เพราะตั้งแต่เขายังเด็ก เขาไม่เคยเห็นพ่อเข้าครัวทำอาหารมาก่อนเลย

หวังเหวินฟางเป็นคนรับหน้าที่ทำอาหารทั้งหมด ส่วนฟางเว่ยกั๋วใช้ชีวิตอยู่ในบ้านอย่างสุขสบาย แค่เอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่กับตักข้าวเข้าปากเท่านั้น

ฟางเว่ยกั๋วได้แต่ยิ้ม ไม่อธิบายอะไร

สาเหตุที่เขาทำอาหารอร่อย ทั้งหมดเป็นเพราะอาเฉียนแม่ของฟางจั๋วหราน

อาเฉียนมีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ กินอาหารได้แค่นิดหน่อย เขาจึงเริ่มหัดเข้าครัวเพื่อทำอาหารอร่อย ๆ ให้หล่อนกินมากกว่าเดิมอีกสักคำสองคำ เผื่อว่าสุขภาพของหล่อนจะดีขึ้น

หลังจากอาเฉียนจากไป ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ที่คู่ควรกับอาหารที่เขาลงมือทำให้ด้วยตัวเองอีก ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าครัวทำอาหารอีกเลย

ฟางจั๋วเยวี่ยคีบบะหมี่เข้าปากอีกสองคำ ก่อนจะถามอย่างตรงไปตรงมา “ทำไมพ่อถึงตัดสินใจหย่ากับแม่? เป็นเพราะอนาคตของผมจริง ๆ เหรอ?”

ถึงหวังเหวินฟางจะให้เหตุผลว่าฟางเว่ยกั๋วต้องการหย่ากับหล่อนเพื่ออนาคตของเขา แต่ฟางจั๋วเยวี่ยกลับไม่ค่อยเชื่อคำพูดของหล่อนนัก

เขารักพี่ชายของเขามาก ไม่ใช่แค่เพราะตอนเด็ก ๆ พี่ชายมักจะปกป้องเขาอยู่เสมอ แต่เป็นเพราะต่อให้พี่ชายจะเกลียดขี้หน้าแม่ของเขาเท่าใด เขาก็ไม่เคยพูดจาไม่ดีกับหล่อนต่อหน้าเขาเลยสักครั้ง นับประสาอะไรกับการยุยงให้เขาเกลียดแม่ตัวเอง

ในขณะที่แม่ของเขากลับไม่เป็นแบบนั้น หล่อนมักจะยั่วยุให้สายสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องแตกหักกันอยู่เสมอ แถมยังกลัวว่าพวกเขาจะสนิทสนมกันเกินไป

และนี่ก็คือเหตุการณ์ที่ว่า

ตอนที่เขาอายุเจ็ดขวบ เขาป่วยไข้ขึ้นสูง พี่ชายคอยอยู่ใกล้ ๆ และดูแลเขาด้วยความเอาใจใส่ จนกระทั่งไข้ลดลง

ตอนที่เขาอาการไม่สู้ดี แม่ของเขาสนใจแต่จะออกไปช้อปปิ้งกับเพื่อน แต่เมื่อกลับมาที่บ้าน หล่อนพูดต่อหน้าพ่อของเขาว่าสาเหตุที่เขาป่วยก็เป็นเพราะฝีมือของพี่ชาย

ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยชอบแม่ตัวเองอีก เพราะคิดว่าในสมองของหล่อนคงเต็มไปด้วยเรื่องโกหก

ไม่ว่าหล่อนจะพูดอะไรก็ตาม เขาไม่มีวันเชื่อในสิ่งที่หล่อนพูดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์

ฟางเว่ยกั๋วแสยะยิ้มบาง “แม่ของลูกบอกว่าอย่างนั้นเหรอ?”

ฟางจั๋วเยวี่ยพยักหน้า

ฟางเว่ยกั๋วกินบะหมี่ “พ่อพูดไปอย่างนั้นเพราะว่าเห็นแก่หน้าแม่ ตัวหล่อนรู้เหตุผลที่แท้จริงของการหย่าร้างในครั้งนี้ดี ลูกไปบอกหล่อนเถอะว่าต่างฝ่ายต่างหย่าร้างกันไปเงียบ ๆ แบบนี้ดีกว่า อย่าเที่ยวโหวกเหวกโวยวายไปทั่ว ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาหาว่าพ่อใจร้าย”

หลังจากได้ยินแบบนั้น ฟางจั๋วเยวี่ยรู้ทันทีว่าต้องมีเหตุผลอื่นซ่อนอยู่ ซึ่งคนที่เป็นฝ่ายผิดคงไม่พ้นหวังเหวินฟาง

เขาลองถามฟางเว่ยกั๋วดูว่าพ่อพอจะยกโทษให้แม่สักครั้งได้ไหม เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องหย่าร้างกัน

ฟางเว่ยกั๋วปฏิเสธอย่างไม่ไยดี

เขายังบอกด้วยว่า ไม่ว่าเขาและหวังเหวินฟางจะหย่าร้างกันอย่างไร พวกเขาทั้งสองก็ยังคงเป็นพ่อและแม่ของลูกอยู่ดี

นอกจากนี้เขาเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว การหย่าร้างของพ่อแม่ส่งผลกระทบต่อเขาเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

ฟางจั๋วเยวี่ยไม่ได้ตอบกลับอะไรสักคำ

หลังจากกินบะหมี่จนหมดชาม เขาก็ขอตัวจากไป

ทันทีที่ฟางจั๋วเยวี่ยเดินออกมาจากประตูหน่วยงานของฟางเว่ยกั๋ว หวังเหวินฟางก็รีบปรี่เข้ามาถามไถ่

แววตาของหล่อนเต็มไปด้วยความคาดหวัง ถามอย่างจริงจัง “เป็นยังไงบ้าง? พ่อของลูกยอมเปลี่ยนใจไหม?”

ฟางจั๋วเยวี่ยส่ายหน้า “แม่คิดว่าพ่อเป็นคนที่เปลี่ยนใจง่าย ๆ หรือยังไง?”

หวังเหวินฟางชะงักกึก “ถ้าอย่างนั้นลูกก็โน้มน้าวเขาสิ”

“ผมพยายามเต็มที่แล้ว แต่ก็ล้มเหลวอยู่ดี” ฟางจั๋วเยวี่ยเดินผละจากหล่อนตรงไปที่ป้ายรถเมล์ “อย่าเอาเรื่องส่วนตัวระหว่างแม่กับพ่อมาวุ่นวายกับผมอีกเลยครับ แม่แก้ปัญหาด้วยตัวเองเถอะ”

หวังเหวินฟางโกรธจัด ด่าทอว่าเขาเป็นลูกชายอกตัญญูที่ไม่แม้แต่จะช่วยเหลือแม่แท้ ๆ ของตัวเอง ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาต่างจ้องมองมาทางเขา

ฟางจั๋วเยวี่ยแสร้งทำตัวเหมือนคนหูหนวกและเป็นใบ้ ไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น แต่ในใจกลับนึกเย้ยหยัน

แค่ไม่ยอมช่วยโน้มน้าว เขาก็กลายเป็นคนทรยศและอกตัญญูเสียแล้ว

สมัยที่เขายังเด็ก ตอนที่เขาเจ็บป่วย หรือตอนที่เขาต้องการความรักความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ หล่อนอยู่ที่ไหน?

ภายในวิลล่า ฟางจั๋วหรานและคนอื่น ๆ รอคอยอยู่เป็นเวลานานทีเดียว ทางด้านโต้วโต้วก็เอาแต่คร่ำครวญไม่หยุดว่าอยากกินเค้กวันเกิด

คุณย่าฟางกลัวว่ากับข้าวจะเย็นชืดเสียหมด จึงโบกมือบอกให้ทุกคนกินกันไปก่อน

ฟางจั๋วหรานยิ้มกว้าง จุดเทียนบนเค้กวันเกิด กระตุ้นให้หลินม่ายอธิษฐานแล้วเป่ามัน

โต้วโต้วก็เลียนแบบท่าทางการอธิษฐานของหลินม่าย แล้วเป่าเทียนบนเค้กไปพร้อม ๆ กับผู้เป็นแม่

จากนั้นก็ถึงเวลาแบ่งเค้ก ฟางจั๋วหรานแบ่งเค้กชิ้นใหญ่ให้หลินม่ายก่อน แล้วจึงแบ่งให้กับคนอื่น ๆ

ทุกคนต่างกินเค้กวันเกิดร่วมกันอย่างเอร็ดอร่อย

โต้วโต้วที่กินเค้กจนครีมเลอะขอบปากเงยหน้าขึ้น แล้วถามหลินม่ายว่า “แม่จ๋า เมื่อกี้นี้แม่อธิษฐานว่ายังไงเหรอคะ?”

คำอธิษฐานของหลินม่ายเมื่อกี้นี้ คือขอให้เธอและฟางจั๋วหรานได้ครองรักกันอย่างมีความสุขทั้งในชาตินี้และชาติหน้า

แต่เธอเขินอายเกินกว่าจะตอบไปแบบนั้น “ไม่มีใครเขาบอกคำอธิษฐานให้คนอื่นฟังหรอก ไม่งั้นมันจะไม่เป็นจริง”

โต้วโต้วหลงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง “ดีนะที่หนูไม่ได้บอกคำอธิษฐานให้ใครฟัง ไม่งั้นวันข้างหน้าหนูคงไม่ได้กินเค้กวันเกิดแสนอร่อยอีกแน่เลย”

พอหล่อนพูดแบบนี้ ทุกคนต่างก็หัวเราะ

หลังจากกินเค้กวันเกิดกันแล้ว ทุกคนก็ร่วมวงกินอาหารอื่น ๆ จนกระทั่งอาหารเย็นเกือบหมดจานแล้ว ฟางจั๋วเยวี่ยถึงได้กลับมา

เมื่อเห็นว่าเค้กวันเกิดอันโอชะบนโต๊ะอาหารถูกกินจนหมดไม่เหลือซาก เขาก็แทบหลั่งน้ำตาด้วยความเสียดาย

ถ้าเขารู้ก่อนว่าวันนี้เป็นวันเกิดของพี่สะใภ้ เรื่องอะไรเขาจะแวะไปหาฟางเว่ยกั๋ว เขารีบตรงดิ่งกลับมากินอาหารในงานเลี้ยงวันเกิดของพี่สะใภ้ไม่ดีกว่าเหรอ?

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าเศร้าใจที่สุด ที่น่าเศร้าใจยิ่งกว่าคือในขณะที่เขากำลังหยิบชามข้าวเพื่อกินอาหารที่คนอื่น ๆ กินเหลืออย่างละนิดหน่อย ฟางจั๋วหรานยังเตือนเขาว่าวันพรุ่งนี้อย่าลืมให้ของขวัญวันเกิดกับพี่สะใภ้ด้วย

ทันใดนั้นโต้วโต้วก็หันไปถามฟางจั๋วหราน “คุณอา คุณอายังไม่ได้ให้ของขวัญแม่จ๋าเลยนี่คะ”

ร่องรอยความไม่สบายใจฉายผ่านแววตาของฟางจั๋วหรานแวบหนึ่ง “อาค่อยให้ของขวัญแม่หนูทีหลัง”

คุณย่าฟางจิบนมที่หลินม่ายชงให้ จากนั้นก็ถามฟางจั๋วเยวี่ยว่าทำไมวันนี้เขาถึงได้กลับมาช้านัก

ฟางจั๋วเยวี่ยคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้พักหนึ่ง จากนั้นก็ยอมเล่าว่าพ่อแม่ของเขากำลังจะหย่ากัน

คุณย่าฟางค่อนข้างประหลาดใจ “เธอรู้หรือเปล่าว่าทำไมอยู่ดี ๆ พ่อแม่ของเธอถึงคิดจะหย่ากันขึ้นมา?”

ฟางจั๋วเยวี่ยส่ายหน้า “ผมก็ไม่รู้”

หลินม่ายขึ้นไปที่ห้องชั้นบนเพื่ออ่านหนังสือ พออ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามา

เธอหันหน้าไปมอง เห็นว่าคนที่เข้ามาก็คือฟางจั๋วหราน

เธอยิ้มและถามว่า “คุณเอาของขวัญวันเกิดมาให้ฉันเหรอคะ?”

“ใช่” ฟางจั๋วหรานเดินเข้าไปหาหลินม่าย ก้มหน้าลง แล้วจูบริมฝีปากเธอ

ไม่นานทั้งคู่ก็หอบหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนที่เขาจะผละออกจากเธอ

มือข้างหนึ่งของเขาเชยคางเธอไว้ “คุณชอบของขวัญวันเกิดชิ้นนี้หรือเปล่า?”

หลินม่ายสบตาเขาด้วยความเขินอาย “นี่ถือเป็นของขวัญวันเกิดได้ด้วยเหรอคะ? เราจูบกันบ่อยออกจะตายไป”

ฟางจั๋วหรานเอานิ้วจิ้มจมูกเธอ “ถ้าผมบอกว่าผมนี่แหละคือของขวัญวันเกิด คุณต้องการผมไหมล่ะ?”

หลินม่ายเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา เธอหน้าแดงก่ำ รีบผลักใบหน้าเคลื่อนเข้ามาคลอเคลียออกไป “ไม่”

ฟางจั๋วหรานชอบท่าทางเวลาเธอเขินอายจริง ๆ

หลังจากแกล้งเธอจนพอใจแล้ว เขาก็หยิบกล่องเครื่องประดับออกมาจากอกเสื้อ

จากนั้นก็เปิดฝากล่องเครื่องประดับ หยิบเอาสร้อยข้อเท้าทองคำเส้นบางออกมาจากด้านใน

สร้อยข้อเท้าตกแต่งด้วยจี้รูปใบโคลเวอร์สี่แฉก

เขานั่งยอง ๆ ลงกับพื้น ใส่สร้อยข้อเท้าทองคำรูปใบโคลเวอร์สี่แฉกไว้บนข้อเท้าของหลินม่าย แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ชิ้นนี้ล่ะ ชอบไหม?”

หลินม่ายพยักหน้าหงึกหงัก “ชอบค่ะ”

ความหมายของใบโคลเวอร์สี่แฉกคือความโชคดี

การได้พบเจอกับคุณคือความโชคดีที่สุดในชีวิตของฉัน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ยังจะมีหวังได้คืนดีกันอีกเหรอ ในเมื่อหลักฐานการนอกกายมันชัดขนาดนั้นแล้ว?

ตอนนี้พี่หมอหวานมาก หวานจนเค้กวันเกิดม่ายจื่อจืดสนิทไปเลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)