ตอนที่ 546 เก๊กฮวยหม้อไฟ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 546 เก๊กฮวยหม้อไฟ

วันอันแสนวุ่นวายผ่านไปอีกห้าวัน

พืชผักที่คุณปู่ฟางปลูกไว้ในสวนหลังบ้านเจริญเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว

หลินม่ายใช้กุยช่าย กระเทียม และเม็ดยี่หร่าที่คุณปู่ฟางเป็นคนปลูกไปทำเกี๊ยวให้ทุกคนกินหลายครั้งแล้ว

ส่วนกะหล่ำปลี ผักโขม และดอกเก๊กฮวยที่คุณปู่ฟางปลูกก็ถูกนำไปปรุงอาหารขึ้นโต๊ะบ่อย ๆ

แต่ถึงทุกคนจะกินกันบ่อยแค่ไหน ในสวนหลังบ้านก็ยังเหลือผักสวนครัวอีกมาก

ตอนที่คุณปู่ฟางไปรับโต้วโต้วมาจากโรงเรียนอนุบาล พวกเขาจะมักนำผักใบเขียวหนึ่งถึงสองกำมือไปฝากพ่อเถาและแม่เถาอยู่เสมอ

ตอนนี้ทั้งคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อเถาและแม่เถา

พ่อเถาและแม่เถายังเคยพาคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางไปร่วมงานเกษียณในโรงงานของพวกเขาด้วย สหายผู้ชราต่างเล่นไทเก๊ก หมากรุก และสนทนาสัพเพเหระกันทุกเช้า

ตอนบ่าย คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางออกมาปลูกพืชผักในวิลล่า ดูแลดอกไม้และต้นไม้ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายสบาย ๆ เติมเต็มความผ่อนคลายให้ชีวิต

น้าหวงแวะมาทำอาหารกลางวันให้และทำความสะอาดบ้าน ส่วนหลินม่ายมีหน้าที่แค่ทำอาหารเย็นวันละหนึ่งมื้อ ดังนั้นเธอจึงมีเวลามากกว่าตอนที่ยังไม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในวิลล่า

แถมเธอยังมีเวลาแวะไปตรวจงานที่โรงงานสองชั่วโมงทุกวันตอนเช้า

พรุ่งนี้จะเข้าสู่ช่วงกลางเดือนตุลาคมแล้ว เธอต้องแวะไปที่ชนบทเสียหน่อยเพื่อดูว่าผักเรือนกระจกคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านได้สัมผัสกับการปลูกผักเรือนกระจก ดังนั้นเธอจึงต้องคอยติดตามผลอย่างใกล้ชิด

พอทุกคนเรียนรู้การปลูกผักเรือนกระจกจนชำนาญแล้ว ปีหน้าเธอถึงสามารถปล่อยวางได้

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายก็ปั่นจักรยานไปทำงานและเรียกประชุมย่อยเกี่ยวกับแนวทางการทำงานของโรงงานตัดเสื้อในอีกสองวันข้างหน้า

เธอวางแผนว่าจะกลับไปชนบทในวันพรุ่งนี้ หมายความว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวันในการเดินทางไปกลับ ก็เลยต้องเตรียมงานล่วงหน้าไว้ก่อน

หลังจบการประชุม ทุกคนก็แยกย้ายกลับไปทำงานของตัวเองต่อ

หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นเดินออกมาจากห้องประชุมเล็กพร้อมกัน

เธอมองไปที่เถาจืออวิ๋นแล้วถามว่า “ทำไมวันนี้พี่ถึงดูหนักใจแปลก ๆ?”

เถาจืออวิ๋นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง แล้วยื่นมือไปจูงมืออีกฝ่าย “ไปคุยเรื่องนี้ที่ห้องทำงานของเธอกัน”

ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องทำงานของหลินม่าย เถาจืออวิ๋นก็เริ่มเล่าว่าเมื่อวานนี้หลิวหย่งเจียงโทรมาหาหล่อน

หลินม่ายมองเธอราวกับจะคาดคั้น ถามว่า “เขาอยากจีบพี่หรือไง?”

เถาจืออวิ๋นหน้าแดง ส่ายหน้า “เขาไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แค่บอกว่าเขาจะมาทำธุระที่เจียงเฉิงในอีกสองวันที่จะถึงนี้ เขาอยากซื้ออาหารท้องถิ่นของที่นี่ติดไม้ติดมือไปฝากพ่อแม่ ก็เลยอยากให้ฉันไปรับเขาที่สถานีรถไฟ”

หลินม่ายเอ่ยขึ้น “ซื้อของฝากอะไรกัน? เขาแค่อยากหาข้ออ้างเพื่อมาเจอพี่ต่างหาก แล้วพี่ตอบไปว่ายังไง?”

“แน่นอนว่าฉันปฏิเสธ”

หลินม่ายเอื้อมไปตบแขนเถาจืออวิ๋น “ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็จบแล้ว พี่ไม่เห็นต้องกังวลกับมันเลย”

เถาจืออวิ๋นยังคงลังเล ในวันฉลองหมั้น หล่อนกับหลิวหย่งเจียงนั่งร่วมโต๊ะอาหารเดียวกัน หลิวหย่งเจียงเคยขอข้อมูลติดต่อจากหล่อนแล้วครั้งหนึ่ง แต่หล่อนปฏิเสธ

ต่อมาเขายังร้องขอให้หล่อนช่วยเป็นไกด์นำเที่ยวในเจียงเฉิงให้กับเขาเป็นเวลาสองวัน ซึ่งหล่อนก็ปฏิเสธไปอีกครั้ง ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลินม่ายฟัง

เถาจืออวิ๋นพูดด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “ฉันก็แค่กลัวว่าเขาจะเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตฉัน… ฉันอุตส่าห์กำจัดหัวหน้าหลูไปได้คนหนึ่งแล้ว ก็ยังมีเขามาจ่อประตูรออีก รอบนี้ฉันไม่รู้แล้วว่าจะจัดการยังไง!”

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วแนะนำ “ถ้าหลิวหย่งเจียงยังพยายามติดต่อมาหาพี่อีกครั้ง พี่ก็แค่บอกเขาไปว่าพี่กับฉันเป็นเพื่อนสนิทกัน ดังนั้นอย่าได้รบกวนพี่อีก ถ้าเขาเห็นแก่จั๋วหราน เขาคงล้มเลิกความคิดที่จะเข้าหาพี่ไปเอง”

เถาจืออวิ๋นตอบรับพลางพยักหน้า

หลินม่ายถาม “พี่เพิ่งบอกว่าในที่สุดก็สามารถกำจัดหัวหน้าหลูไปได้ เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่?”

เถาจืออวิ๋นจึงเล่าให้หลินม่ายฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดที่ยายป้าจากชุมชนเดียวกันมาจับคู่หล่อนกับหัวหน้าหลูถึงที่

หล่อนเล่าอย่างละเอียดด้วยความเขินอายเล็กน้อย ว่าตัวเองใช้วิธีไหนในการขับไล่ยายป้าแม่สื่อออกไป

หลินม่ายยกนิ้วโป้งให้ “เคารพในความเป็นมนุษย์ของตัวเองเถอะ อย่ามัวเห็นแก่หน้าตาหรือความคิดของคนอื่นเลย ถ้ายายป้าแม่สื่อคนนั้นพยายามจะจับคู่โดยที่ไม่คำนึงถึงความเต็มใจของพี่ พี่ก็ควรขับไล่หล่อนให้ออกไปจากบ้านตัวเองนั่นแหละถูกแล้ว หล่อนจะได้ไม่กล้าพูดจาไร้สาระอีก!”

เธอหยุดชะงักชั่วครู่ แล้วถามอีกครั้ง “คนสารเลวแซ่หม่ามาดักรอพี่อีกหรือเปล่า?”

เถาจืออวิ๋นส่ายหน้า “ไม่เลย ฉันกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทุกวันตอนที่ฉันไปและกลับจากที่ทำงาน ไม่ยักเห็นเขา เดาว่าสมาชิกสามคนในครอบครัวเขาไม่มีแหล่งรายได้ ก็เลยอยู่ในเมืองไม่ได้อีกต่อไป ป่านนี้คงกลับไปอยู่ชนบทแล้ว”

หลินม่ายพยักหน้า “ดีแล้วล่ะ”

กลางเดือนตุลาคมเป็นช่วงที่ดอกเก๊กฮวยและดอกกุ้ยฮวาผลิบาน

นับตั้งแต่ต้นเก๊กฮวยและต้นกุ้ยฮวาที่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางปลูกเริ่มสูงประมาณหนึ่งเมตร อีกทั้งยังผลิดอกส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว หลินม่ายก็ครุ่นคิดเมนูเกี่ยวกับดอกไม้ทั้งสองมาโดยตลอด

ดอกเก๊กฮวยขาวและดอกเก๊กฮวยเหลือง สามารถนำไปปรุงอาหารแสนอร่อยได้หลายวิธี

เช่นเดียวกับดอกกุ้ยฮวา ขนมกุ้ยฮวานั้นมีรสชาติหวานอร่อยมาก หรือจะเอาไปทำข้าวหมากกุ้ยฮวาก็อร่อยเหมือนกัน

สำหรับมื้อค่ำวันนี้ หลินม่ายตั้งใจว่าจะทำหม้อไฟเก๊กฮวยและขนมกุ้ยฮวา

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางรีบเดินตามเธอเข้ามาในสวนด้วยความกระวนกระวาย เพราะกลัวว่าเธออาจเก็บดอกไม้ทั้งสองที่พวกเขาฟูมฟักมาเป็นอย่างดีไปจนหมด

โชคดีที่หลินม่ายเด็ดดอกเก๊กฮวยสีเหลืองและสีขาวไปแค่อย่างละห้าดอก ไม่ได้เด็ดไปมากกว่านั้น สองสามีภรรยาชราจึงรู้สึกโล่งใจ

หลินม่ายเห็นว่าต้นกุ้ยฮวามีขนาดเล็กเกินไป แถมตัวดอกกุ้ยฮวาก็ยังไม่ผลิบานอย่างเต็มที่ จึงล้มเลิกแผนการทำขนมกุ้ยฮวาไป ค่อยทำในปีหน้าแทน

หม้อไฟเก๊กฮวยเป็นอาหารขึ้นชื่อของเหอหนาน

เนื่องจากมันเป็นเมนูที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน แม้กระทั่งพระนางซูสีไทเฮายังชื่นชอบ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นที่นิยมเป็นพิเศษในช่วงปลายราชวงศ์ชิง

ชาติที่แล้ว หลินม่ายเคยคิดว่าเมนูนี้เป็นอาหารจากทางใต้ ภายหลังถึงรู้ว่ามันเป็นอาหารจากทางเหอหนานนี่เอง

ความรู้ใหม่นี้ทำให้ข้ออคติถูกลบเลือนไป คนทางเหนือก็สามารถคิดค้นอาหารที่อร่อยและละเมียดละไมแบบนี้ได้เหมือนกัน

ผู้คนนิยมกินเนื้อวัวกับหม้อไฟเก๊กฮวย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเนื้อวัวขายในตลาด

ยุคสมัยนี้ถ้าต้องการเนื้อวัวมาประกอบอาหาร ใช่ว่าสามารถหาซื้อได้ง่าย ๆ เว้นแต่จะไปที่ซูโจวหรือมองโกเลียรอบนอก

น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะไปมองโกเลียรอบนอกหรือซูโจวก็ตาม การเดินทางไปที่นั่นค่อนข้างยากลำบาก แถมยังไกลมากด้วย

คนอื่น ๆ อาจปรับสูตรอาหารให้เข้ากับสภาพท้องถิ่น แต่หลินม่ายปรับสูตรอาหารให้เข้ากับวัตถุดิบที่มีอยู่ เธอทำหม้อไฟเก๊กฮวยไว้กินกับเนื้อไก่และหมูสันใน

เมื่อหม้อไฟเก๊กฮวยถูกยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร ทุกคนต่างมองไปที่กลีบดอกเก๊กฮวยที่ลอยอยู่บนผิวซุป อดคิดไม่ได้ว่ามันต้องขมแน่ ๆ

แต่หลังจากจิบน้ำซุปไปหน่อยหนึ่ง ถึงรู้ว่าเก๊กฮวยหม้อไฟนั้นมีรสชาติกลมกล่อมมาก นอกจากดอกเก๊กฮวยจะไม่มีรสชาติขมแล้ว ยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ อีกด้วย

ทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อย

หม้อไฟเก๊กฮวยบนโต๊ะอาหารกลายเป็นเมนูขายดีที่สุด แม้แต่น้ำซุปยังถูกซดจนหมดเกลี้ยง

ฟางจั๋วเยวี่ยติดใจเป็นพิเศษ ขอให้หลินม่ายทำหม้อไฟเก๊กฮวยอีกในวันพรุ่งนี้

หลินม่ายส่ายหน้า “วันพรุ่งนี้ยังไม่ได้ ฉันต้องกลับไปที่ชนบทเพื่อติดตามผลว่าผักเรือนกระจกของชาวบ้านเติบโตไปถึงไหนแล้วบ้าง”

ฟางจั๋วหรานหยุดล้างจานแล้วถามว่า “คุณกลับมาทันวันอาทิตย์หรือเปล่า?”

พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์ ดังนั้นจึงเหลือเวลาอีกสองวันกว่าจะถึงวันอาทิตย์

หลินม่ายตอบ “ฉันรับปากไม่ได้ค่ะ ถ้าผักเรือนกระจกของชาวบ้านเติบโตได้ดี ฉันก็คงกลับมาทัน แต่ถ้าการเจริญเติบโตของผักมีปัญหา ฉันคงต้องอยู่ให้คำแนะนำกับพวกเขา อาจต้องใช้เวลาพอสมควร”

จากนั้นเธอก็ถาม “วันอาทิตย์คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ?”

ฟางจั๋วหรานยังคงล้างจานต่อไป “พอดีผมมีธุระนิดหน่อย พ่อผมขอให้เราสองคนไปเยี่ยมหลุมศพของแม่ เราสองคนหมั้นกันแล้ว แต่ผมยังไม่เคยพาคุณไปเจอแม่เลย”

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “การไปเยี่ยมหลุมฝังศพคุณป้าเป็นเรื่องสำคัญกว่า ฉันค่อยกลับไปชนบทหลังจากนั้นก็ได้ค่ะ”

ไม่นานก็ถึงวันอาทิตย์

ฟางเว่ยกั๋วขับรถยนต์มาถึงวิลล่าตั้งแต่เช้าตรู่

การเยี่ยมหลุมฝังศพของแม่ฟางจั๋วหรานในครั้งนี้ ตอนแรกคนที่จะไปมีแค่ฟางเว่ยกั๋ว ฟางจั๋วหราน และหลินม่าย

แต่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างก็อยากไป ท้ายที่สุดทุกคนจึงไปด้วยกันทั้งหมด

นี่เป็นครั้งที่สองที่ฟางเว่ยกั๋วเดินทางมาที่นี่ ตั้งแต่คุณปู่ฟางและภรรยาของเขาย้ายมาอยู่ที่วิลล่า ประสบการณ์ในครั้งนี้ค่อนข้างต่างจากการมาที่นี่เป็นครั้งแรก

ครั้งแรกที่เขามาที่นี่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความก้าวร้าว อัดแน่นไปด้วยความคับข้องใจมากมาย

แต่ครั้งนี้ท่าทางของเขาค่อนข้างเฉื่อยชา ไม่โกนหนวดเครา ดูเหมือนทรุดโทรมลงกว่าเดิมมาก

ถึงฟางจั๋วหรานจะยอมตอบรับไปเยี่ยมหลุมฝังศพของแม่กับเขา แต่เหตุผลหลัก ๆ เป็นเพราะเขาอยากไปที่นั่นเอง ไม่ใช่เพราะคำชวนของผู้เป็นพ่อ

เมื่อเห็นฟางเว่ยกั๋ว ฟางจั๋วหรานยังคงปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทางไม่แยแสเช่นทุกครั้ง ไม่แม้แต่จะทักทายเขาด้วยซ้ำ

หลินม่ายรู้ว่าวันนี้ฟางเว่ยกั๋วจะมาที่นี่ในตอนเช้า ดังนั้นเธอจึงตั้งใจจะเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง แต่ฟางจั๋วหรานห้ามปรามไว้ก่อน

เขาให้เหตุผลว่าฟางเว่ยกั๋วไม่คู่ควรกับอาหารฝีมือเธอ จากนั้นก็ใช้ให้ฟางจั๋วเยวี่ยไปซื้ออาหารเช้าจากร้านเปาห่าวซือของหลินม่ายกลับมากินที่นี่แทน

หลินม่ายเชื่อฟังเขาอยู่แล้ว

เพราะเขากำลังจะเป็นคู่ชีวิตในอนาคตของเธอ

ถ้าไม่ใช่เพราะฟางจั๋วหราน เป็นไปไม่ได้เลยที่ฟางเว่ยกั๋วจะยอมรับหลินม่ายในฐานะสะใภ้

ทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหารและกินอาหารมื้อเช้าร่วมกัน

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายไม่โปรดปรานการกินไข่แดง ฟางเว่ยกั๋วจึงตักไข่แดงไปให้ฟางจั๋วหรานแทน และฟางจั๋วหรานก็กินไข่แดงจนหมดภายในคำเดียว

เขาจำได้ว่าฟางจั๋วหรานเองก็ไม่ชอบกินไข่แดงเหมือนกัน ตั้งแต่เด็ก ๆ เขาไม่เคยเห็นลูกชายแตะไข่แดงเลย แต่เพราะหลินม่าย เขาจึงยอมกินอย่างไม่ลังเล

นี่คือการแสดงออกทางความรัก ซึ่งเขาเองก็เคยทำแบบนี้มาก่อน

ในปีที่เกิดสงคราม การจัดตั้งกองกำลังถือเป็นเรื่องที่ยากเย็นมาก หลายครั้งที่เหล่าทหารต้องต่อสู้กับผู้รุกราน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ทุกคนจะได้กินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญเช่นเวลาปกติ

ถึงอย่างนั้นอาเฉียนก็มักจะหาทางช่วยเขาเสมอ หล่อนบอกว่าเขาจะมีแรงกำลังต่อสู้ก็ต่อเมื่อกินอาหารให้อิ่ม

ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตอนนั้นเขาถึงได้หึงหวงจนขาดสติไตร่ตรอง…

ภาพความทรงจำในอดีต ทำให้ลำคอฝืดเกินกว่าจะกลืนน้ำลาย

เมื่อรับประทานอาหารเช้ากันไปได้ครึ่งทาง จู่ ๆ คุณย่าฟางก็ถามฟางเว่ยกั๋วว่า “ตอนนี้แกกับหวังเหวินฟางเป็นยังไงบ้าง? แยกกันอยู่แล้วหรือ?”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

อยากลองกินอยู่เหมือนกันนะคะหม้อไฟเก็กฮวยเนี่ย เคยกินแต่ชาเก็กฮวย ชงดีๆ คืออย่างหอม ดับร้อนได้ดีทีเดียว

ไหหม่า(海馬)