นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 391 กลับมาแล้ว

นอกจากนั้นล่ะ? ตอนที่นางออกมา เหมือนว่าได้ยินเสียงน้ำมิใช่หรือ?

ถ้าหากว่าภายในเรือนมีทะเลสาบขนาดเล็ก น่าจะไม่มีเสียงดังเช่นนี้ได้ แบบนี้ก็หมายความว่า น้ำไหลอยู่ตลอดเวลา!

โจวกุ้ยหลานเบิกตาโพลงกว้าง ก้าวขาสาวเท้ายาวๆวิ่งไปทางฝั่งของเสี่ยวเก๋อ

ตอนไปถึงเห็นเสี่ยวเก๋อกำลังพูดกับคนอื่นอยู่ นางเลยรีบวิ่งไป จากนั้นพูดเรื่องที่ตนเองนึกได้ออกมาหมดเลย

“อยู่ทางฝั่งทิศตะวันตก ที่ไหนมีแม่น้ำเล็กๆลำธารเล็กๆบ้าง? แล้วสามารถนั่งรถม้าไปถึงได้ภายในหนึ่งหรือสองชั่วยาม?”

“ข้ารู้มาว่าเหมือนจะมีที่หนึ่ง…..”

ขอทานคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความลังเลใจ

โจวกุ้ยหลานดีใจมาก รู้สึกว่าเลือดอุ่นๆของตัวเองเดือดพล่านขึ้น

“ที่ไหนหรือ?”

ขอทานคนนั้นย้อนคิดอยู่สักพักหนึ่ง แล้วพูดสถานที่หนึ่งมาคร่าวๆ

โจวกุ้ยหลานกำลังจะบอกให้เขาพาไป เลยย้อนกลับมาคิดใหม่

เมื่อหยุดยืนแน่นิ่ง นางเลยใช้เสี่ยวเก๋อไปแทนนาง ให้พวกเขาเขียนสัญลักษณ์บนเส้นทาง“ถ้าถึงตอนนั้นพวกเจ้าพบเห็นหรือว่าเจอสิ่งใด อย่าออกไปเลยทันที ถึงเวลานั้นข้าจะส่งคนไป พวกเจ้าจะต้องดูแลตัวเองดีๆ!”

โจวกุ้ยหลานสั่งกำชับเขาด้วยความกังวลใจ

เสี่ยวเก๋อตบที่แผงอกของตัวเอง กล่าวด้วยความมั่นใจว่า“ท่านพี่หญิงวางใจเลย มอบหมายให้พวกเรา”

กล่าวจบ เขาก็พาคนข้างกายจำนวนหนึ่งออกไป

โจวกุ้ยหลานก็ไม่ล่าช้าเสียเวลา รีบสาวเท้าเดินกลับ

ตอนนี้จำเป็นต้องแบ่งออกเป็นสองทาง ทางที่หนึ่ง คือหาสถานที่ให้เจอ อีกทางหนึ่งคือหาคนมาช่วย

หาคนหรือ?นางไม่มีคนที่จะใช้ได้เลย แต่สวีฉางหลินมี

ในเมื่อคนคนนั้นแน่ใจว่าวันนี้สวีฉางหลินจะกลับมา อย่างนั้นก็คือพวกเขาได้รับข่าวคราวมา อย่างนี้นางอยากจะทำ ก็ต้องรีบไปหาสวีฉางหลิน

จากเมืองหยวนเหอมาถึงเมืองหลวง น่าจะมาประตูเจิ้งหยาง สิ่งที่นางจะต้องทำคือไปรอที่ประตูเจิ้งหยาง

โจวกุ้ยหลานคิดอย่างละเอียดแล้ว เลยรีบตัดสินใจ วิ่งไปทางร้านค้าของตัวเอง เพื่อหาคนมาช่วยขับรถม้าให้

ไป๋ยี่เซวียนที่อยู่ในร้านค้า รีบมาถามขึ้นว่านางกำลังทำอะไร

โจวกุ้ยหลานพยายามกล่าวพูดอย่างกระชับว่า“ตอนนี้ข้าจะต้องไปหาสวีฉางหลิน ลูกทั้งสองคน มีเพียงแค่เขาที่จะสามารถช่วยออกมาได้”

ไป๋ยี่เซวียนอึมครึมอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นยื่นมือ หยิบเอาแส้ม้าที่อยู่ด้านข้างมาไว้ในมือ“อย่างนั้นให้ข้าช่วยเจ้าขับรถม้าเถอะ”

“ไม่ต้องหรอก….”

“ข้าตัดสินใจแล้ว”ไป๋ยี่เซวียนยืดหยัดแน่วแน่

โจวกุ้ยหลานดูเจตจำนงของเขาออก นางเม้มริมฝีปากแน่น แล้วจึงพยักหน้า

เมื่อรถม้าเตรียมเรียบร้อยแล้ว โจวกุ้ยหลานเลยขึ้นรถ ไป๋ยี่เซวียนนั่งอยู่บนแอกรถม้า จากนั้นยกแส้ม้าฟาดลงบนก้นม้า ขับเคลื่อนไปทางประตูเจิ้งหยาง

โจวกุ้ยหลานหลับตาลง พยายามย้อนคิดเรื่องเมื่อคืนนี้ทั้งหมด

ตอนนี้ นางยิ่งคิดออกมาได้มากขึ้นเรื่อยๆ มันย่อมดีสำหรับพวกเขา

ไป๋ยี่เซวียนหันกลับมามองด้านในรถม้าแวบหนึ่ง เมื่อหันกลับไปแล้ว จึงได้เร่งระดับของการขับเคลื่อนรถม้าเร็วขึ้นอีกระดับ

รอจนพวกเขามาถึงหน้าประตูเจิ้งหยาง ไป๋ยี่เซวียนได้เคลื่อนรถม้าไปต่อคิวรอ เมื่อตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว รถม้าถึงได้ทะยานออกไปอย่างราบรื่น

พอมาถึงใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง รถม้าได้หยุด โจวกุ้ยหลานจึงเรียกไป๋ยี่เซวียนเข้ามานั่ง ไม่ให้เขาตากลมอยู่ด้านนอก

ไป๋ยี่เซวียนเองก็ไม่ลังเล รีบเข้าไปนั่งด้านในทันที

ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน ต่างคนต่างไม่มีใครพูดเป็นเวลานาน ไป๋ยี่เซวียนเลยเกลี้ยกล่อมโจวกุ้ยหลานว่า“ถ้าในใจของเจ้ารู้สึกไม่ดี ก็พูดกับข้าได้นะ”

โจวกุ้ยหลานชะงักงัน ยกมือขึ้นเช็ดหางตาของตัวเอง แล้วกล่าวอย่างจนปัญญาว่า“ตอนนี้ข้าไม่มีสิทธิรู้สึกไม่ดีหรอก มีเพียงวันนี้ ถึงจะมีโอกาสช่วยลูกของข้าทั้งสองคนได้”

อีกอย่าง เมื่อวานตอนเย็น นางได้เตรียมใจไว้แล้ว

ไป๋ยี่เซวียนอ้าปากค้าง และรู้สึกว่ามีบางคำพูดเมื่อพูดออกมาช่วงเวลานี้มันไม่ค่อยเหมาะสม

จากนั้นจู่ๆ เขาก็เอ่ยปากถามโจวกุ้ยหลานว่า“เจ้าแน่ใจว่าวันนี้นายพลสวีจะกลับมาทางนี้แน่นะ?”

“ข้ากำลังพนัน พนันว่าข่าวคราวของผู้ชายคนนั้นจะถูกไหม”โจวกุ้ยหลานตอบอย่างราบเรียบ แต่นางรู้ว่าภายในใจของตัวเองสับสนแค่ไหน

ไป๋ยี่เซวียนหลุบตาลง ขยับนิ้วมือ สุดท้ายก็แสยะริมฝีปากอย่างจนปัญญา ยิ้มอย่างอบอุ่น กล่าวว่า“เจ้ามักจะทำให้แปลกใจอยู่เสมอ”

เมื่อวานตอนเย็น เขานึกว่าโจวกุ้ยหลานจะหมดอาลัยตายอยาก แต่พอผ่านไปคืนหนึ่ง สีหน้าท่าทางของนางฟื้นคืนสู่สภาพปกติ มองดูมีแค่เหนื่อยล้าอ่อนแรงเท่านั้นเอง

ถ้าหากเขาไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เกรงว่าจะรู้สึกแค่ว่านางนอนพักผ่อนไม่เพียงพอเท่านั้นเอง

โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า ไม่ได้ตอบกลับอีก ทั้งสองคนเลยนั่งอยู่เงียบๆ

เมื่อใกล้ถึงช่วงเที่ยง ด้านนอกไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย โจวกุ้ยหลานกัดฟัน นั่งรออยู่เงียบๆ

ส่วนไป๋ยี่เซวียน เวลานี้มีความกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเหลือบมองโจวกุ้ยหลานเป็นบางเวลา เห็นนางมีท่าทางนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เขารู้จักนางมานานแล้ว เลยสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของนาง

เขาได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะให้โจวกุ้ยหลานรออยู่ที่นี่ จากนั้นเขาเปิดม่านรถม้าขึ้น แล้วลงไปจากรถม้า สาวเท้าก้าวเดินไปทางประตูเมือง แล้วถือโอกาสไปที่เพิงม้าซื้อม้ามาหนึ่งตัว และขี่มันออกไปทางตระกูลไป๋

เวลาค่อยๆคลืบคลานผ่านไปช้าๆ โจวกุ้ยหลานเปิดม่านขึ้น มองออกไปทางด้านนอก รออยู่แบบนี้ จนผ่านช่วงเที่ยงไปแล้ว แต่ยังไม่มีคนมาเลย

นางเริ่มสงสัยในคำพูดของคนคนนั้นแล้ว ถ้าเกิดว่ามีอะไรขัดข้องระหว่างการเดินทางของสวีฉางหลินทำให้ล่าช้า อย่างนั้นนางจะทำอย่างไรดี?

นางไม่อยากรอต่อไปแล้ว นางลงจากรถม้า สาวเท้าเดินเลียบไปตามทาง เมื่อได้เห็นคนมาจากแดนไกล นางเลยถามว่าเห็นใกล้ๆระแวงนี้มีนายทหารมาหรือไม่

มีคนบอกกับนางว่า ประมาณยี่สิบลี้ใกล้ๆนี้มีกลุ่มของทหาร แต่ไม่รู้ว่าใช่กลุ่มที่นางพูดถึงหรือไม่

โจวกุ้ยหลานคิดอยู่สักพักหนึ่ง เลยตัดสินใจเดินเลียบตามทางไปดู อย่างมากอีกประเดี๋ยวเดียวค่อยกลับมาก็ได้

นางยกชุดกระโปรงขึ้น สาวเท้าเดินไปทางด้านนั้น ระหว่างทางบนถนนมีคนขี่ม้าผ่านอยู่เป็นนิจ นางเลยเหลือบมองดู

“กุ้ยหลาน?”

เสียงที่คุ้นเคยดังมาข้างหู นางเงยหน้ามอง จึงเห็นรถม้าที่อยู่ไม่ไกล ภายใต้ผ้าม่านมีใบหน้าอันคุ้นเคย โจวกุ้ยหลานชะงักงันอยู่สักพักหนึ่ง ต่อมาได้วิ่งแจ้นไปทางด้านนั้นโดยทันใด

“ท่านแม่!”

โจวกุ้ยหลานได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง และด้านข้างหูมีเสียงลมลอยพัด

รถม้าจอดอยู่ข้างกายนาง ผ้าม่านเปิดขึ้น เมื่อด้านในเผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย โจวกุ้ยหลานเม้มริมฝีปากแน่น อารมณ์ความรู้สึกพลุ่งพล่านประเดประดังขึ้นมา

สวีฉางหลินลงมาจากรถม้า แล้วเอาเก้าอี้ลงมาวางบนพื้น จากนั้นประคองเหล่าไท่ไท่ลงมาจากรถม้า

โจวกุ้ยหลานเช็ดซับน้ำตาของตัวเอง แล้วเข้าสวมกอดเหล่าไท่ไท่

ก่อนหน้านี้นางเป็นห่วงเหล่าไท่ไท่มาก ตอนนี้เห็นนางสบายดี หินก้อนใหญ่ที่อยู่ก้นบึ้งหัวใจก็หล่นลงทันที

“เด็กเอ๋ย พอเจอหน้าก็ร้องไห้ทำไมกัน? เป็นท่านแม่ของเด็กสองคนแล้ว ยังเหมือนเด็กอยู่เลย!”

เหล่าไท่ไท่ปากบ่นพึมพำ ดวงตาก็แดงก่ำ

นางตบที่แผ่นหลังของโจวกุ้ยหลานเบาๆ แล้วพูดปลอบประโลมว่า“อย่าร้องไห้ ทำให้หลานชายของเจ้าเห็นความตลกเข้าแล้ว!”

“ท่านแม่ พวกท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ?”

โจวกุ้ยหลานสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดที่ไร้เรี่ยวแรงไม่กระปรี้กระเปร่าของเหล่าไท่ไท่ เลยรู้สึกสงสารจับใจเหลือเกิน