บทที่ 392 รอข้าอยู่ด้านนอกนะ

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 392 รอข้าอยู่ด้านนอกนะ

เหล่าไท่ไท่ผละจากอ้อมกอดของโจวกุ้ยหลาน แล้วกล่าวว่า“เจ้าดูสิ ข้าสบายดี! พี่ชายและพี่สาวของเจ้า พวกเขาก็สบายดี มา เจ้าไปทักทายพวกเขาหน่อย”

กล่าวพูดแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็ดึงแขนโจวกุ้ยหลานไปทักทายคนที่กำลังจะลงรถม้า

ตอนนี้โจวกุ้ยหลานจะมีอารมณ์ที่ไหนกัน? พอรู้ว่าพวกเขาสบายดีไม่เป็นไร นางก็โล่งอก

โจวกุ้ยหลานดึงมือของเหล่าไท่ไท่ออก ไม่สนใจความแปลกใจของเหล่าไท่ไท่ นางไปดึงสวีฉางหลินมา แล้วกล่าวว่า“เร็วเข้า! เรียกคนของท่านมา มีเรื่องด่วน!”

สวีฉางหลินเห็นสายตาเป็นกังวลของนาง มือกอบกุมมือของนางไว้แน่น หันกลับไปกล่าวพูดกับเหล่าไท่ไท่ว่า“ท่านแม่ พวกท่านหาโรงเตี๊ยมแถบประตูพักก่อนนะขอรับ อีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนมารับพวกท่าน”

กล่าวพูดจบ ไม่รอให้เหล่าไท่ไท่ตอบรับ เขาก็ดึงโจวกุ้ยหลานไปหลังรถม้า ให้คนขี่ม้าที่อยู่ด้านหลังเอาม้าให้เขา

เขากอดอุ้มโจวกุ้ยหลานขึ้นรถม้า โจวกุ้ยหลานนั่งยังไม่ดี เกือบจะหล่นลงมา นางคว้าชุดของสวีฉางหลินไว้ เพื่อไม่ให้ตนเองหล่นลงไป สวีฉางหลินเลยใช้มือข้างหนึ่งโอบนางไว้ในอ้อมแขน

ชั่วประเดี๋ยวเดียว ม้าก็วิ่งเข้าไปในเมือง

คนที่ขี่ม้าตามด้านหลังรถม้า วิ่งตามมาทางด้านนี้ โจวกุ้ยหลานมองดู นางคิดไม่ถึงว่าจะมีหลายคน

และเหล่าไท่ไท่ก็ยังมึนงงอยู่กับที่

เมื่อเห็นว่าพวกเขาไปไกลแล้ว ตัวเองยังยืน อยู่กับที่ นางใช้มือทั้งสองข้างตบขาใหญ่อยู่หลายครา อ้าปากกล่าวขึ้นก็ด่าว่า“เด็ก! อะไรกันนี่!”

เสียงตะคอกดังขึ้น ทำให้คนที่ผ่านไปๆมาๆต่างมองมา

โจวต้าไห่ลงรถม้ามาไม่ทันได้กล่าวทักทาย เลยกล่าวกับเหล่าไท่ไท่ว่า“ท่านแม่ พวกเราหาที่พักกันก่อนเถอะขอรับ พวกเด็กๆเหนื่อยกันหมดแล้ว”

“หา! หาโรงเตี๊ยมเอาเป็นห้องที่ดีที่สุด ให้เด็กคนนั้นมาจ่าย!”เหล่าไท่ตอบรับด้วยความโมโห จากนั้นเหล่าไท่ไท่ได้ขึ้นรถม้าภายใต้การประคองของโจวต้าไห่

เมื่อนึกถึงตัวเองถูกลูกสาวและลูกเขยทิ้งแบบนี้ นางก็โมโหขึ้นมา!

รอพวกเขาขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว คนขับรถม้าเลยได้ขับเคลื่อนรถม้าอีกครั้งเพื่อเข้าไปในเมือง

หลังจากพวกเขาเข้ามาในเมือง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกโจวกุ้ยหลานแล้ว

โจวกุ้ยหลานอยู่ในอ้อมกอดของสวีฉางหลิน นางเล่าเรื่องของเสี่ยวรุ่ยอานกับเสี่ยวรุ่ยหนิงให้สวีฉางหลินฟังทั้งหมด

“สวีฉางหลิน แท้ที่จริงแล้วท่านมีคนที่อาฆาตอะไรท่าน แล้วจ้องจะเอาชีวิตท่าน?”

“คนที่อยากได้ชีวิตข้ามีมากมาย”สวีฉางหลินตอบอย่างราบเรียบ และกอดโจวกุ้ยหลานแนบแน่นขึ้น

การเดินทางนี้ ตั้งแต่เข้าเมืองก็ไม่มีใครขวางพวกเขาเลย

คนที่อยู่บนถนนเห็นม้าผ่านมา ต่างทยอยหลบหลีก ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ ความเร็วในการเดินทางของสวีฉางหลินก็ยังช้ากว่าตอนอยู่ด้านนอก

“อย่างนั้นพวกลูกๆจะทำอย่างไร? ถึงแม้จะเจอพวกเขา ข้าก็กลัวว่าพวกเขาคงต้องคิดหาวิธีจัดการกับลูกสองคนให้…..”

โจวกุ้ยหลานพูดถึงตรงนี้ ก็พูดต่อไปไม่ได้แล้ว

คำพูดไม่ดีเหล่านั้น นางไม่อยากเอาไปพูดถึงลูกของนางสองคนเลย

“ข้าไม่มีทางให้พวกเขาเป็นอะไรเด็ดขาด”

สวีฉางหลินกล่าวพูด แล้วฟาดแส้ลงไป ให้ม้าวิ่งเร็วยิ่งขึ้น

ทิศทางนี้ เป็นทิศทางไปที่จวนหู้กั๋วกง โจวกุ้ยหลานเกิดความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามออกมา

นางอิงแนบกายของสวีฉางหลิน สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของเขา หัวใจที่ว้าวุ่นก่อนหน้านี้ ตอนนี้สงบลงได้แล้ว

เมื่อนางอยู่ข้างกายของผู้ชายคนนี้ ราวกับว่าไม่ต้องหวาดกลัวทุกสิ่งอย่างเลย

ตอนม้ามาถึงจวนหู้กั๋วกง สวีฉางหลินรีบพลิกตัวลงจากม้า และพาโจวกุ้ยหลานลงมาด้วย เขาให้นางรออยู่ด้านหน้า ส่วนตัวเองเข้าไปด้านใน

คนที่รอเป็นเพื่อนของโจวกุ้ยหลาน คือผู้ชายหน้านิ่งหกคน

หลังจากประมาณหนึ่งชั่วยาม สวีฉางหลินกลับมา แล้วพาโจวกุ้ยหลานขึ้นม้าอีกครั้ง เขาก้มศีรษะ แล้วเอาคางเกยอยู่บนศีรษะของนาง“ตอนนี้ พาข้าไปหาสหายของเจ้าที่รู้สถานที่เถอะ”

โจวกุ้ยหลานรับรู้ได้ถึงแรงกดบนศีรษะ หัวใจเลยผ่อนคลายลงบ้าง

นางเป็นคนชี้ทิศทาง ส่วนสวีฉางหลินขี่ม้าไปตามทิศทางที่นางชี้

“ท่านจะไปช่วยลูกของพวกเราอย่างไรหรือ?”

โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ที่จะถามเขา

ถึงแม้เมื่อวานตอนเย็น นางจะนั่งอยู่ทั้งคืน ก็ไม่ได้คิดวิธีอะไรดีๆออกเลย นางเลยคิดแค่ว่าจะต้องมาหาสวีฉางหลิน

ทั้งหมดนี้ นางไม่มีความสามารถที่จะแก้ไข แล้วก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องมาแก้ไขด้วย

น้ำเสียงทุ้มต่ำของสวีฉางหลินดังขึ้นอีกครั้งว่า“ในเมื่อพวกเขาต้องการชีวิตของข้า เช่นนั้นข้าเอาของแลกเปลี่ยนชีวิตข้ากลับมาก็จบแล้ว”

เพราะฉะนั้นเขาเลยมาที่จวนหู้กั๋วกง?

โจวกุ้ยหลานไม่ได้ถามอีกต่อไป ความรู้สึกบอกว่าของพวกนี้รู้เยอะมากไปก็ไม่ได้มีประโยชน์

นางเชื่อใจสวีฉางหลิน เลยเอาทุกอย่างมอบให้เขาจัดการ

โจวกุ้ยหลานทอดถอนหายใจอย่างโล่งอก นางพาสวีฉางหลินมาสถานที่ที่เสี่ยวเก๋อชอบอยู่ ตอนนี้ไม่เห็นเงาของเสี่ยวเก๋อเลย

บนกำแพงมีวงกลมใหญ่ๆ มองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ยังมีอีกชั้นหนึ่ง มองดูแล้วเหมือนมีชั้นเป็นขนมปัง โจวกุ้ยหลานก็เลยคาดเดาว่าเป็นการที่เสี่ยวเก๋อทิ้งสัญลักษณ์ไว้หรือไม่

นางเดินตามสัญลักษณ์ไป ก็เห็นสัญลักษณ์แบบเดียวกันอีก

โจวกุ้ยหลานก็สบายใจแล้ว นางพาสวีฉางหลินเดินตามสัญลักษณ์ไปทางทิศตะวันตก

ฟ้าได้มืดลงแล้ว คนกลุ่มหนึ่งยังอยู่บนหลังม้า แต่ทว่าคนที่อยู่บนถนนกลับน้อยลงเรื่อยๆ

ท้องของโจวกุ้ยหลานร้อง“จ๊อกๆ” นางถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองกินแค่ข้าวเช้าทั้งวัน

เสียงหัวเราะของสวีฉางหลินที่อยู่ด้านหลังดังขึ้น

ถ้าในวันปกติ เวลานี้นางจะต้องต่อล้อต่อเถียงกับเขา แต่ตอนนี้ นางไม่มีกระจิตกระใจเลย เลยทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน

ชั่วพริบตาเดียว ก็เห็นว่าในมือของสวีฉางหลินถือห่อกระดาษอันหนึ่งอยู่ซึ่งไม่รู้ว่าถือไว้ตั้งแต่ตอนไหน

เขาส่งมันมาให้นาง พร้อมกับกล่าวข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า“กินเถอะ”

โจวกุ้ยหลานแกกระดาษออก ด้านในมีน่องไก่ ตอนนี้ยังได้กลิ่นหอมตลบอบอวลอีกด้วย

“ท่านมีน่องไก่ได้อย่างไร?”

“ตอนกลับไป เห็นว่าหู้กั๋วกง กำลังกินข้าว เลยถือเอามาด้วย”

สวีฉางหลินกล่าวพูดไปอย่างนั้นแหละ ทว่าภายในใจของโจวกุ้ยหลานกลับมีความรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา

ผู้ชายคนนี้ มักจะคิดได้อย่างละเอียดรอบคอบอยู่เป็นนิจ

นางไม่มีอารมณ์กินอาหาร แต่นึกถึงสถานการณ์ที่อาจจะต้องเจอ นางเลยกินน่องไก่เข้าปากหนึ่งคำ ตามด้วยส่งน่องไก่ไปให้สวีฉางหลินที่อยู่ด้านหลังกินด้วย

สวีฉางหลินไม่พูดอะไรกับนางมาก เขากัดมันหนึ่งคำ

ทั้งสองคนกินอาหารด้วยกัน จนกินน่องไก่หมดเกลี้ยง

เมื่อมีอาหารมารองท้อง โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกว่าตนเองดีขึ้นมากแล้ว

หลังจากที่ท้องฟ้ามืดลง พวกเขาก็หาสัญลักษณ์ได้ช้าลงมาก โจวกุ้ยหลานพาสวีฉางหลินลงจากม้า แล้วเดินไปด้านหน้าเพื่อหา

รอตอนโจวกุ้ยหลานได้ยินเสียงน้ำ นางก็รู้ว่าเข้าใกล้แล้ว

สวีฉางหลินสั่งทุกคนให้ผูกม้าไว้ใกล้ๆ โจวกุ้ยหลานเดินไปตามสัญลักษณ์ในหัวสมองของตนเอง นางพาพวกเขามาถึงบ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าที่อยู่ด้านข้าง

“รอข้าอยู่ด้านนอก”สวีฉางหลินกดที่แขนโจวกุ้ยหลาน

โจวกุ้ยหลานปฏิเสธว่า“ข้าจะเข้าไปกับท่านด้วย”

“เชื่อใจข้านะ”สวีฉางหลินค่อยๆลงน้ำหนักมือ ดวงตาจ้องมองโจวกุ้ยหลาน

ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อโจวกุ้ยหลานได้เห็นความยืดหยัดแน่วแน่ในดวงตาของเขา แล้วนางรู้สึกว่าตนเองไร้เรี่ยวแรง พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว