“เมื่อเห็นว่าเสด็จพ่อลงโทษเจ้าห้าสถานหนัก เพียงเพราะเจ้าห้าไปต่อยหน้าอดีตไท่จื่อ เจ้าสามคงทบทวนสถานะของอดีตไท่จื่อในความคิดของเสด็จพ่อเสียใหม่ ส่วนลูกจะแสร้งทำเป็นถอนตัวจากการแย่งชิงครั้งนี้ โดยอ้างเหตุผลที่หลี่ซื่อแท้งบุตร เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าสามก็จะพุ่งเป้าไปที่อดีตไท่จื่อแทน…” ฉีอ๋องคาดคะเน
เสียนเฟยพยักหน้าก่อนจะกำชับ “เรื่องนี้เจ้าจะรีบร้อนไม่ได้ จำไว้ว่าห้ามให้เสด็จพ่อรู้เป็นอันขาดว่าเป็นฝีมือเจ้า…”
“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จแม่ทรงวางพระทัย”
เสียนเฟยถอนหายใจยาวออกมา “แค่เห็นว่าเจ้ามิได้เศร้าสร้อย ข้าก็ค่อยสบายใจหน่อย”
“เศร้าสร้อย?” ฉีอ๋องหัวเราะ “เสด็จแม่วางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ ลูกมิได้ใจเสาะเพียงนั้น”
หากเด็กที่อวัยวะยังไม่ทันครบสมบูรณ์ยังทำให้เขาเป็นทุกข์ได้ เขาจะเอาปัญญาที่ไหนไปสู้คนอื่นๆ คงได้เหมือนเจ้าเจ็ดที่วันๆ สาละวนอยู่แต่กับเมียกับลูก
“ฮ่องเต้เสด็จ…”
ข้าหลวงที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตะโกนรายงาน เสียนเฟยและฉีอ๋องรีบออกไปต้อนรับ
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปเห็นฉีอ๋องที่เดินมาข้างๆ เสียนเฟยจึงถามขึ้นว่า “เจ้าสี่ก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
ฉีอ๋องถวายความเคารพฮ่องเต้พลางบอก “เสด็จแม่ทรงทราบเรื่องที่หลี่ซื่อแท้งบุตรเมื่อคืนเลยเป็นห่วง ถึงได้เรียกลูกเข้ามาถามไถ่อาการของหลี่ซื่อพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วชายาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเล่า” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามพลางเดินเข้าไปด้านใน
แม้ว่าเขาไม่ได้อยากมาเหยียบที่ตำหนักอวี้เฉวียนเท่าใดนัก แต่เนื่องจากสะใภ้ของเสียนเฟยแท้งบุตร จึงควรมาเยี่ยมเยียนนางเสียหน่อย
“เมื่อคืนก็หนักหนาเอาการพ่ะย่ะค่ะ…แต่ทว่าเสด็จพ่อไม่ต้องกังวลพระทัยไปพ่ะย่ะค่ะ หญิงใดที่แท้งบุตรก็อาการเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น หากบำรุงร่างกายให้แข็งแรง เดี๋ยวก็คงหายดีพ่ะย่ะค่ะ” ฉีอ๋องกล่าวเนิบนาบ พยายามเก็บซ่อนความเจ็บปวดไว้ภายใน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจพลางเอ่ย “เดือนนี้กิจการมิได้มากมาย เจ้าก็อยู่ดูแลนางเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ ลูกรับทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากลับไปได้แล้ว”
ฉีอ๋องโค้งคำนับก่อนจะกล่าวลา
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปปลอบใจเสียนเฟย “ลูกกับพ่อแม่ย่อมมีวาสนาต่อกัน ถึงเวลาก็มาเองแหละ”
“ที่ฝ่าบาทตรัส หม่อมฉันเข้าใจดีเพคะ เพียงแต่อดทุกข์ใจไม่ได้…” เสียนเฟยฉวยโอกาสทำตัวน่าสงสาร
ฮ่องเต้ไม่ได้มาพักอยู่ที่ตำหนักอวี้เฉวียนนานแล้ว
แม้อายุของนางในตอนนี้จะหมดความน่าเสน่หาไปแล้ว แต่การที่ฮ่องเต้ประทับอยู่ที่ตำหนักใดก็เป็นการแสดงถึงความสำคัญของบุคคลผู้นั้น อย่างในวันที่สิบห้าของเดือนแรก ฮ่องเต้ก็จะพักอยู่ที่ตำหนักคุนหนิง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ถนัดเรื่องการปลอบใจ เอ่ยปากออกมาจึงมีเพียง “อย่าทุกข์ใจไปเลย อีกไม่นานสะใภ้เจ็ดคงคลอดหลานชายน่ารักน่าชังออกมาให้เจ้า”
เสียนเฟย “…” ถ้าตบปากฮ่องเต้ได้ นางคงทำไปแล้ว!
เสียนเฟยพยายามห้ามใจตัวเอง ปากของนางกระตุกเล็กน้อย “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงอวยพรเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลอบถอนหายใจ เสียนเฟยคงจะทุกข์ใจมากซินะ นางพยายามเก็บซ่อนความขมขื่นจนปากซีดเซียวไปหมดแล้ว เอาเถอะ รีบกลับก่อนจะดีกว่า นางจะได้มีเวลาเป็นส่วนตัว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ออกมาจากตำหนักอวี้เฉวียน
ปล่อยให้เสียนเฟยที่อัดอั้นไปด้วยความขับแค้นใจยืนกลอกตากุมหน้าอกอยู่ตรงนั้น นางหันไปหยิบถ้วยชาไร้ฝาปาลงพื้น
ฝ่ายจิ่งหมิงฮ่องเต้กลับไปที่ห้องทรงพระอักษร เขาหย่อนตัวนั่งลงอ่านตำนานนิทานพื้นบ้านที่เพิ่งออกใหม่ได้ไม่นานก็เห็นพานไห่รี่เข้ามา
“มีเรื่องอีกแล้วรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้มีลางสังหรณ์
พานไห่ก้มศีรษะต่ำพยายามหลบตาฮ่องเต้ “ตั่วหมัวมัวทนทัณฑ์ทรมานไม่ไหว เสียชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลับตา ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาหยิบบทนิทานพื้นบ้านขึ้นมาฉีกระบายโทสะ
“ฝ่าบาท อย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ…” ทันทีที่เห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้ฉีกหนังสือ พานไห่ก็อดตัวสั่นไม่ได้
ฝ่าบาทกริ้วยยิ่งนัก แต่ว่านิทานเล่มนั้น บุปผาขาวเพิ่งจะออกวางขายเมื่อปลายปีที่แล้วเองนะ!
เมื่อโยนตำราที่ขาดวิ่นลงพื้นไปแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงค่อยๆ สงบลง “ไปตามหงหลูซื่อชิงมาพบข้า”
แม้ว่าเขาจะทำใจไว้แล้วว่าอาจไม่ได้ความจริงจากปากตั่วหมัวมัว แต่เมื่อได้ยินว่านางตายไปเช่นนี้ เขาไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นปานนั้น เพียงแต่รู้สึกคับข้องใจ เป็นความคับข้องใจเสียมากกว่า!
เผ่าอูเหมียวในสายตาของจักรพรรดิต้าโจวคือกลุ่มคนลึกลับที่ไม่ควรไปข้องแวะหรือยั่วยุ และเนื่องจากต้าโจวและหนานหลานทำสงครามสู้รบกันมาตลอด ฉะนั้นหากหลีกเลี่ยงกลุ่มชนเผ่าที่อยู่คั่นกลางระหว่างต้าโจวและหนานหลานได้ ต้าโจวก็พยายามจะเลี่ยงเสีย
แต่ทว่าตอนนี้ อีกฝ่ายกลับยื่นมือเข้ามาก่อน หากเขาไม่จัดการอะไร ตำแหน่งจักรพรรดิก็คงแลดูไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง
หงหลูซื่อชิงที่กำลังไปเยี่ยมเยือนญาติสนิทมิตรสหายถูกบ่าวรับใช้ตามกลับมา เขาเร่งรี่เข้ามาที่วัง
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
ครั้นเห็นหงหลูซื่อชิงในชุดอาภรณ์สีสดใสที่นิยมใส่ในงานเทศกาล อารมณ์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ดีกว่าเดิมมาก “ไปคารวะปีใหม่มารึ”
หงหลูซื่อชิงผงะไปชั่วครู่ก่อนจะรีบตอบ “เอ่อ ไปคารวะปีใหม่มาพ่ะย่ะค่ะ…”
ก็นี่เพิ่งจะเข้าวันที่สองของศักราชใหม่ ไม่ให้ไปคารวะปีใหม่แล้วจะให้ไปไหน ว่าแต่ฝ่าบาทเรียกมามีธุระอันใดงั้นหรือ
ครั้นได้ยินคำตอบห้วนๆ ของขุนนาง พานไห่ก็บุ้ยปากทันที
“เดี๋ยวอากาศก็จะเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ” หงหลูซื่อชิงเริ่มเหงื่อตก
อากาศอุ่นขึ้นรวดเร็วเพียงใดเขาไม่ทราบ รู้เพียงว่าตอนนี้ร้อนจนแทบอยากจะเปลื้องผ้าอยู่แล้ว
“พอแม่น้ำที่ก่อตัวเป็นน้ำแข็งละลาย ให้เจ้าคัดคนฝีมือดีล่องเรือไปที่เผ่าอูเหมียว”
ดวงตาของหงหลู่ซื่อชิงพลันเบิกกว้าง
ให้ไปทำภารกิจที่เผ่าอูเหมียวงั้นหรือ นี่ไม่ใช่ภารกิจที่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย เพราะไม่ว่าจะเลือกใครไป ก็คงไม่มีใครยอมไป สุดท้ายเขาคงจนปัญญา ต่อให้ทำงานนี้จะได้เงินเล็กๆ น้อยๆ แต่คนใต้บังคับบัญชาของเขาคงยินดีไปต่อเมื่อมีเงินยัดใส่มือ…มากหน่อย
ขณะที่กำลังครุ่นคิดเพียงลำพังก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสขึ้นว่า “ถึงเวลานั้นอ้ายชิงจะไปกับเจ้าด้วย เพื่อให้เห็นว่าพวกเราต้าโจวให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพียงใด”
ร่างของหงหลู่ซื่อชิงโยกเยกไปมา พยายามฝืนตัวเองไม่ให้ร้องไห้ เขาได้แต่ปลอบใจตัวเอง ให้เป็นหัวไก่ยังดีกว่าเป็นหางหงส์ ทันทีที่ไปถึงเผ่าอูเหมียว เขาคงได้รับปฏิบัติอย่างดีเยี่ยงแขกคนสำคัญ
จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเสริม “ส่วนเรื่องอ้ายชิงทางนั้นเจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวล คนจากหน่วยองครักษ์จิ่นหลินจะเดินทางไปกับเจ้าด้วย”
หนทางข้างหน้าช่างมืดมิด หงหลู่ซื่อชิงได้แต่ทำใจยอมรับความจริงอันโหดร้าย
……
เดือนแรกของปีผ่านไปพร้อมกลุ่มเมฆมืดทะมึน
เมื่อเข้าสู่เดือนที่สอง อุณหภูมิอุ่นขึ้น หงหลู่ซื่อชิงนำทัพออกจากเมืองหลวง มุ่งหน้าสู่ดินแดนเผ่าอูเหมียว
อีกคนที่เดินทางออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกองขบวนนี้คือเจียงจั้น
วันที่ออกเดินทาง มีฝูงชนคลาคล่ำยืนอออยู่เต็มศาลานอกเมือง
“น้องรองอยู่ที่นั่น เจ้าก็อย่าอวดเก่งให้มาก จำไว้ว่าไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับความปลอดภัยของเจ้าอีกแล้ว” เจียงอีที่ตาแดงเล็กน้อยส่งห่อผ้าให้เจียงจั้น
เจียงจั้นหัวเราะพลางถาม “พี่ใหญ่เตรียมสิ่งใดให้ข้าอย่างนั้นหรือ”
“มีชุดสองชุด แล้วก็รองเท้าสองคู่”
“ดีจริงๆ เป็นของที่จะได้ใช้ทั้งนั้น รอข้ากลับมาเมื่อไหร่ ข้าจะซื้อของดีๆ กลับมาฝากทุกคนเลย”
“ที่แบบนั้นจะมีของดีอะไร เจ้ากลับมาแต่ตัวก็พอ!” เจียงอันเฉิงกลอกตาพร้อมเสียงหัวเราะไม่จริงใจ พลางยกมือขึ้นฟาดบุตรชาย
เจียงจั้นลูบแขนที่ถูกฟาดพร้อมบ่นปอดแปด “ท่านพ่อ ตอนนี้ลูกเป็นถึงแม่ทัพขั้นที่สี่แล้วนะขอรับ พวกลูกน้องก็ยืนดูอยู่นะขอรับ”
เจียงอันเฉิงกวาดตามองกองขบวนที่ยืนอยู่ด้านนอกศาลาก่อนจะหันมาจ้องเจียงจั้น แต่คราวนี้กลับไม่ได้ต่อว่าอะไร
เจียงจั้นมองไปที่เจียงซื่อแล้วยกมือขึ้นเตรียมจะลูบไหล่ของนาง แต่แล้วก็ลดมือลงเพราะสบเข้ากับสายตาอาฆาตของใครอีกคน
“น้องสี่ ข้าคงต้องฝากเจ้าดูแลจวนด้วย หากมีเรื่องอะไรก็อย่าลืมเขียนจดหมายมาบอกข้า”
“พี่รองวางใจได้เจ้าค่ะ”
เจียงจั้นหลุบตามองลง พลางส่งยิ้ม “หลานของข้าคลอดเมื่อไหร่ ก็อย่าลืมเขียนจดหมายมาบอกข้าด้วยล่ะ”
เจียงซื่อรับปากก่อนจะส่งห่อผ้าขนาดเล็กให้พี่ชาย “ของที่เตรียมไว้ข้างในเป็นของที่พี่รองน่าจะได้ใช้ พี่รองห้ามทำหายเด็ดขาดนะเจ้าคะ”
“ข้าไม่มีทางทำหายแน่นอน”
เจียงจั้นเป็นคนเรียบง่าย สิ่งที่ต้องพูดก็พูดไปหมดแล้ว เมื่อรับเชือกจูงม้าจากคนดูแลม้าแล้ว เจ้าตัวก็กระโดดขึ้นไปบนอานม้า โบกมือให้คนในครอบครัว ก่อนจะกระตุกเชือกให้ม้าวิ่งออกไป