บริเวณนอกศาลา ต้นไม้ค่าคบแห้งโกร๋นเรียงรายไปจนสุดถนน ประหนึ่งพลทหารน่ายืนเฝ้าประจำการ
เดือนที่สองของเมืองหลวงยังคงหนาวเย็น
เจียงซื่อที่ตั้งใจว่าจะกลับไปรับประทานอาหารกับบิดาและพี่สาวที่จวนตงผิงปั๋ว ถูกบิดาห้ามไว้เสียก่อน “เจ้ารีบกลับไปพักที่จวนอ๋องจะดีกว่า เจ้ากำลังตั้งครรภ์ อย่ามัวแต่เที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกเลย”
เขาได้ยินเรื่องที่พระชายาฉีอ๋องแท้งบุตรเหตุเพราะไปร่วมงานเลี้ยงฉลองขึ้นศักราชใหม่ในวัง จึงเห็นว่าอย่างไรเสีย สตรีมีครรภ์ก็ควรอยู่แต่ในบ้านจึงจะปลอดภัยที่สุด
เมื่อเจียงอันเฉิงกล่าวเช่นนั้น นางก็ไม่อยากขัดใจผู้เป็นบิดาจึงกลับจวนอ๋องไปพร้อมอวี้จิ่น
เอ้อร์หนิวออกมาต้อนรับอย่างเริงร่า วิ่งไปมารอบๆ เจียงซื่อก่อนจะไปยืนเห่าอยู่ตรงหน้าท้องน้อยๆ ของนาง คล้ายกับเป็นการทักทายนายน้อย
อวี้จิ่นจ้องเขม็งไปที่เอ้อร์หนิวพลางกล่าวแก่เจียงซื่อ “เจ้าค่อยๆ เดิน”
ตอนนี้เจียงซื่อตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว แต่กลับไม่อุ้ยอ้ายอย่างคนท้องทั่วๆ ไป มีเพียงบริเวณหน้าท้องที่พองกลมใหญ่กว่าปกติ แขนขาของนางก็ยังคงเรียวเล็ก ท่วงท่าการเดินคล่องแคล่วไม่ต่างจากเดิมนัก
นางขยับฝีเท้าเชื่องช้าเดินเล่นกับอวี้จิ่นที่ในสวน
ในสวนมีสีเขียวแต่งแต้มเป็นหย่อม ดอกซิ่งฮวาบนกำแพงเริ่มเบิ่งบาน
“อาซื่อ เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าเขียนจดหมายไปหาสหายที่หนานเจียงแล้วว่าให้ช่วยดูแลเจียงจั้น และข้าก็ได้ส่งคนตามไปเฝ้าดูอยู่ห่างๆ”
“อื้ม ข้าได้แต่หวังให้พี่รองกลับมาเร็วๆ”
เมื่อกล่าวถึงเจียงจั้นที่ต้องออกเดินทางไกล เจียงซื่อก็ไม่อาจวางใจสงบ เพียงแต่นางไม่อาจรั้งพี่ชายไว้ได้
ครั้นอวี้จิ่นเห็นรอยยิ้มของเจียงซื่อ เขาก็เอื้อมมือไปลูบท้องของนางพร้อมถามด้วยความยินดี “เจ้าว่าลูกของเราจะใช้ชื่ออะไรดี”
“ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นชายหรือหญิง แล้วจะตั้งชื่อได้อย่างไร”
“ก็ตั้งชื่อเล่นไปก่อนก็ได้ ข้าคิดเอาไว้แล้ว หากเป็นชายจะเรียกอาหลี แต่หากเป็นหญิงก็จะเรียกว่าอาเจียว เจ้าว่าอย่างไร”
เอ้อร์หนิวที่เดินตามทั้งสองแหงนหน้าขึ้นพลางเห่าสองครั้ง
จะเรียกนายน้อยว่าอาหลีงั้นหรือ มันไม่เห็นด้วย!
อวี้จิ่นคุ้นเคยกับท่าทีไม่เห็นด้วยของเอ้อร์หนิวอยู่แล้ว เขาจึงเพียงส่งสายตาไปหาสุนัขตัวใหญ่แวบหนึ่งก่อนจะละสายตากลับไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่อยิ้มพลางพยักหน้า “จะอาหลีหรืออาเจียวก็ได้ทั้งนั้น เอาตามนี้ก็แล้วกัน”
ทันทีที่เสียงครางหงิงดังลอยมา ทั้งคู่จึงหันหลังกลับไปมองเอ้อร์หนิวที่นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น มันทำท่าเหมือนสุนัขขาดความรัก
ในความคิดของสุนัขตัวใหญ่ มันคงไม่อยากให้นายน้อยใช้ชื่อว่าอาหลี!
……
บรรยากาศสงบเงียบภายในจวนเยี่ยนอ๋องไม่อาจฉุดรั้งกระแสน้ำเชี่ยวกรากจากภายนอกได้
ในที่สุด บรรดาขุนนางต่างก็ยื่นคำร้องให้แต่งตั้งไท่จื่อโดยเร็วที่สุด
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางจำนวนหนึ่งก็กรูออกมาเสนอเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาททันที
ยามที่เขามีท่าทีโอนอ่อน ก็จะถูกเหล่าขุนนางก้าวร้าวกดดัน และยามที่แสดงท่าทีไม่เห็นด้วย เหล่าขุนนางก็จะค้านหัวชนฝา
ยามที่เขาเย็นชาแข็งกร้าว เหล่าขุนนางจะทำทีฟูมฟายโอดครวญ พร่ำร้องว่าหากตำแหน่งองค์รัชทายาทว่างเว้น ประเทศชาติจะเกิดความระส่ำระสาย พวกเขาไม่อยากเป็นตราบาปของต้าโจว
จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับมาที่ห้องทรงพระอักษร เขาฟาดมือลงที่โต๊ะอย่างเดือดดาล “ไอ้คนพวกนี้ แสดงละครกันได้สมบทบาทเสียจริง! หากมีพรสวรรค์เช่นนั้น ไฉนจึงไม่ไปอยู่คณะละครเล่า!”
พานไห่ก้มเก็บตำราที่ร่วงพื้นขึ้นมาก่อนจะวางลงบนกองฎีกาอย่างไร้สุ้มเสียง
เรื่องของไท่จื่อมิใช่เรื่องที่เขาจะแสดงความคิดเห็น
อารมณ์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ยังคงคุกรุ่น เขาฟาดโต๊ะอีกครั้งก่อนจะกล่าว “ข้าก็ยังไม่แก่หงำเหงือกปานนั้น ตำแหน่งไท่จื่อเพิ่งว่างยังไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ ไอ้พวกนี้ทนรอนิดรอหน่อยไม่ได้เลยหรืออย่างไร จะแต่งตั้งใครกันล่ะ คนพวกนี้อยากจะแต่งตั้งใคร จิ้นอ๋องหรือว่าฉีอ๋อง!”
เสียงของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดังสนั่น ข้าหลวงที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกหลุบตามองพื้น ไม่กล้าส่งเสียง
“ฝ่าบาท ขอทรงถนอมพระวรกายไว้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ บรรดาใต้เท้าคงเป็นห่วงบ้านเมืองและราษฎรเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ…” พานไห่เกรงว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะเป็นอะไรไปจึงรีบโน้มน้าว
จิ่งหมิงฮ่องเต้เลิกคิ้ว “บ้านเมืองและราษฎร? บ้านเมืองนี้เป็นของผู้ใด แล้วราษฎรเหล่านี้เป็นของผู้ใด ควรจะแต่งตั้งใครเป็นไท่จื่อ และควรจะแต่งตั้งเมื่อไหร่ ข้ารู้ดี มิเห็นต้องรอให้คนพวกนี้มากำกับ!”
เมื่อถึงเวลาเสด็จว่าราชการในเช้าวันถัดมา ทันทีที่มีขุนนางเอ่ยถึงเรื่องแต่งตั้งไท่จื่อ จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่กำลังเกรี้ยวกราดก็พ่นถ้อยคำปริภาษเหล่านั้นออกมา
ในท้องพระโรงเงียบสงัดเพียงชั่วอึดใจก่อนที่ผู้ตรวจการจะก้าวเท้าออกมาพร้อมกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยพวกกระหม่อมผิดไปพ่ะย่ะค่ะ ขุนนางเป็นราษฎรของต้าโจว มีหน้าที่แบ่งเบาภาระของประมุข ไม่อาจทนดูพระองค์ละล้าละลัง ไม่ตัดสินพระทัยเช่นนี้ เพราะมิฉะนั้นพวกกระหม่อมอาจมีความผิดฐานไม่รับผิดชอบต่อบ้านเมืองและราษฎรพ่ะย่ะค่ะ…”
“เจ้า!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ชี้นิ้วไปที่ผู้ตรวจการคนนั้นด้วยท่าทีเดือดดาลอย่างยิ่งยวด ภาพเบื้องหน้ามืดสนิทในชั่วพริบตา ร่างของฮ่องเต้เอนเอียงไปด้านข้าง
บรรดาขุนนางเริ่มโกลาหลขึ้นมาทันใด
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท…”
ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย พานไห่ก็ปรากฏตัวขึ้นในท้องพระโรงด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
คำร้องเรียนหยุดลงทันใด เหล่าขุนนางเข้ามารุมล้อมพานไห่พร้อมแย่งกันถาม “พานกงกง ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”
พานไห่กล่าวเย็นเยียบ “ใต้เท้าทั้งหลายวางใจได้ ฝ่าบาทเพียงแต่ทรงรู้สึกอ่อนล้าเท่านั้น หมอหลวงแจ้งว่าให้ฝ่าบาทพักฟื้นพระวรกายสักสองสามวัน ก็จะทรงดีขึ้น”
เหล่าขุนนางถอนหายใจออกมา “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี”
“ใต้เท้าทั้งหลายแยกย้ายไปก่อนเถิด”
บางคนเตรียมจะแยกย้ายกลับไป ทว่ามีบางคนยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ “พานกงกง หากเป็นเช่นนี้แล้ว ฝ่าบาทจะเสด็จว่าราชการในวันพรุ่งนี้หรือไม่”
พานไห่กลอกตาพลางบอก “ฝ่าบาทต้องพักฟื้นพระวรกาย จำต้องงดเสด็จว่าราชการไปก่อน ฝ่าบาทตรัสว่า หากใต้เท้ามีธุระอันใด ก็ให้เขียนฎีกาส่งขึ้นไป…”
เมื่อกลับไปถึงตำหนัก ภายที่จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังบรรทมอยู่บนเตียงทำให้พานไห่ลอบถอนหายใจออกมา
การจะเป็นฮ่องเต้นี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ นอกจากจะเป็นลมล้มพับไปแล้ว ยังต้องแสร้งทำเป็นป่วยเพื่อจะหนีการกดดันของเหล่าขุนนางด้วย
“กลับกันไปหมดแล้วรึ”
“กลับไปกันหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อื้ม กลับไปหมดแล้วก็ดี สองสามวันนี้อย่าให้คนพวกนี้มากวนใจข้า!”
พานไห่ครุ่นคิดก่อนจะกล่าวเตือน “ฝ่าบาท ในเมื่อพระองค์ประชวร อีกเดี๋ยวบรรดาท่านอ๋องและองค์หญิงน่าจะพากันมาเข้าเฝ้า หากถึงเวลานั้น…”
“ก็ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาก็แล้วกัน” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเนิบนาบ
ในเมื่อไม่อาจบ่ายเบี่ยงเรื่องแต่งตั้งไท่จื่อ เขาก็จะฉวยโอกาสนี้ใคร่ครวญเรื่องนี้เสียหน่อย
……
เมื่อทราบข่าวว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ ‘ประชวร’ จิ้นอ๋องกลับแอบรู้สึกยินดี
ตั้งแต่พระชายาฉีอ๋องแท้งบุตร ดูเหมือนว่าเจ้าสี่จะได้รับผลกระทบมากทีเดียวถึงได้หยุดลั่นกลองรบไปแล้ว
เสด็จพ่อประชวรเช่นนี้ และหากพระอาการทรุดลง อีกไม่นานเรื่องการแต่งตั้งไท่จื่อคงร้อนขึ้นมา คราวนี้เขาจะได้เป็นใหญ่เสียที
แม้จิ้นอ๋องจะอยากไปเยี่ยมเยียนถามไถ่อาการของจิ่งหมิงฮ่องเต้เพื่อสร้างความประทับใจ แต่ถึงกระนั้นก็คิดได้ว่าอาจดูชัดเจนไปเสียหน่อย จึงได้แต่รอให้คนอื่นออกตัวก่อน แล้วตนค่อยตามไปทีหลัง
ฉีอ๋องเองก็คิดเช่นนี้
ไกจะลั่นใส่หัวนกที่ยื่นออกมาจากโพรง เขาท่องประโยคนี้ไว้ให้ขึ้นใจ
อีกอย่าง ตอนนี้เขาวางแผนหลอกล่อจิ้นอ๋องไว้แล้ว เขาต้องทำให้จิ้นอ๋องเชื่ออย่างสนิทใจว่า เขาไม่มีความคิดจะแย่งชิงตำแหน่งไท่จื่อ ฉะนั้นห้ามทำตัวกระโตกกระตากเด็ดขาด
คนที่เข้าไปเยี่ยมจิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นคนแรกคืออวี้จิ่น
แม้เป็นสิ่งที่จิ่งหมิงฮ่องเต้คาดไม่ถึง แต่กระนั้นเขากลับรู้สึกยินดีไม่น้อย
ขณะที่สองพ่อลูกกำลังสนทนา พานไห่ก็เข้ามารายงาน “ฝ่าบาท จิ้นอ๋องพาซื่อจื่อมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้พวกเขาเข้ามา”
ไม่ช้าไม่นาน จิ้นอ๋องก็จูงบุตรชายเดินเข้ามา และถวายบังคมจิ่งหมิงฮ่องเต้
สายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่ฝูเกอเอ๋อร์ ซื่อจื่อของจิ้นอ๋อง
ฝูเกอเอ๋อร์เป็นเด็กขี้อาย ขณะอยู่ต่อหน้าเสด็จปู่จึงไปหลบอยู่ข้างหลังของจิ้นอ๋องด้วยท่าทีขวยเขิน
ใบหน้าของจิ้นอ๋องไม่ได้แสดงอาการ ทว่าในใจกลับร้อนรน ไอ้ลูกคนนี้ช่างไม่เป็นงานเอาเสียเลย!
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยบางอย่าง ข้าหลวงก็รายงานอีกครั้ง “จิ้งอ๋องพาซื่อจื่อมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”