บทที่ 551 ไทเฮาผู้เสียสติ

ซูไท่หยวนจำได้ว่าจุดประสงค์ของเขานั้นคือการเข้าวังไปเพื่อรักษาองค์ไทเฮา เขาจึงทำตัวให้ต่ำต้อยที่สุด ปกปิดความฉลาดเฉลียวของตัวเองไว้ ทำตัวดังเช่นหมอทั่วไปเพื่อให้ดูกลมกลืน ทำในสิ่งที่ควรทำและไม่แตะต้องในสิ่งที่ไม่ควรแตะ ไม่ก้าวก่ายและทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จเท่านั้น

เขาให้ความเคารพและหลีกเลี่ยงหวังเซี่ยวจี อย่างไรก็ตามต่อให้เขาหลีกเลี่ยงปัญหาอย่างไร ทุกอย่างก็วิ่งเข้าโถมหาเขาอยู่ดี ในโรงหมอหลวงนั้นจะมีหมอหลวงและหมอที่ประจำอยู่ทุกคืน ในคืนนั้นเองหวังเซี่ยวจีและหมอหลวงอีกคนพาซูไท่หยวนและหมออีกหลายท่านไปปฏิบัติหน้าที่ที่โรงหมอหลวง มีเหตุบังเอิญที่สตรีคนหนึ่งรู้สึกไม่สบายจึงมาหาหมอ

งานนี้ถูกมอบหมายให้กับหวังเซี่ยวจี แต่สถานะของนางต่ำเกินไปและไม่เป็นที่โปรดปราน ทำให้หวังเซี่ยวจีไม่อยากไปรักษา จึงให้ซูไท่หยวนไปแทน ต่อมาด้วยเหตุผลบางประการ จู่ๆ ฮ่องเต้ก็โปรดปรานพระสนมคนนี้ขึ้นมาอย่างกระทันหัน

นางสำนึกบุญคุณซูไท่หยวนและมอบรางวัลให้แก่เขาอย่างไม่คาดคิด

ครั้งนี้หวังเซี่ยวจีเห็นซูไท่หยวนเป็นที่ขัดหูขัดตา เขารู้สึกว่าผลงานควรจะเป็นของเขา จึงได้แต่เก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ เขาจัดการให้ซูไท่หยวนอยู่เวรในยามกลางคืน และไม่ยอมเปลี่ยนกะเวรให้แก่เขา

การกลั่นแกล้งของซูไท่หยวนผ่านไปสิบวัน อย่างไรก็ตามหมอซูไม่ได้บ่นหรือขุ่นเคืองใดๆ

เรื่องทุกอย่างดำเนินไปอย่างเงียบๆ ซูไท่หยวนทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังและไม่ปล่อยให้หวังเซี่ยวจีจับผิดได้ บางครั้งเขาเงยหน้าออกไปนอกหน้าต่างเพื่อเฝ้ารอโอกาสที่จะได้เห็นไทเฮา

……

ณ ตำหนักพุทธวาส

แม่นมฉู่เทยาออกมาขวดกระเบื้องลายครามป้อนให้กับไทเฮา นางจำได้ว่าของสิ่งนี้เป็นขนมที่หอมหวาน ไทเฮาจึงอ้าพระโอษฐ์เปิดรับขนมชิ้นนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น

“เจ้าให้เสด็จแม่เสวยอะไร?!”

เสียงที่ดังขึ้นทำให้แม่นมฉู่มือสั่นจนเกือบจะทำขวดยาตกลงบนพื้น นางรีบรีบคุกเข่าถวายความเคารพแก่ฮ่องเต้ทันที

“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”

ฮ่องเต้ไม่ได้เสด็จมาที่ตำหนักมาพุทธาวาสหลายปีแล้ว นางไม่คาดคิดว่าจู่ๆ พระองค์จะเสด็จมาอย่างกระทันหันเช่นนี้ แม่นมฉู่เหงื่อเย็นเยียบซึมไปทั่วแผ่นหลัง เสียงในหัวกระซิบบอกให้นางใจเย็นๆ ไทเฮาทอดพระเนตรไปที่ฮ่องเต้ด้วยแววตาว่างเปล่า พระนางก้มลงไปดึงแม่นมฉู่ราวกับว่าจะให้นางยืนขึ้น

“ลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้ตรัส

แม่นมฉู่ลุกขึ้นก้มหน้าต่ำลง

“เจ้าให้เสด็จแม่เสวยอะไร?” ฮ่องเต้ตรัสถามอีกครั้ง

“ทูลฝ่าบาท เป็นน้ำตาลกรวดเพคะ ไทเฮาทรงโปรดของหวานเพคะ” ฉู่มามาพูด

“อืม…ไทเฮาทรงโปรดของหวานจริงๆ” ฮ่องเต้มีสีพระพักตร์อ่อนโยนนุ่มนวลขึ้น พระองค์ทอดพระเนตรมองแม่นมฉู่อย่างมีนัยให้นางถอยออกไปจากห้อง

“หม่อมฉันขอตัวเพคะ” นางกล่าว

ไทเฮาทรงหวาดกลัว นางรีบจับเสื้อของแม่นมฉู่เอาไว้ทันที

“ไทเฮา ฝ่าบาททรงคิดถึงพระองค์ ต้องการสนทนากับพระองค์เพคะ”

แม่นมฉู่พูดด้วยรอยยิ้ม สายพระเนตรของไทเฮาสับสน ไม่รู้ว่าเข้าใจมากน้อยเพียงใด พระนางมีทีท่าโอนอ่อนลง แม่นมฉู่ก้าวถอยหลังออกไปจากห้อง ฮ่องเต้โจวทอดพระเนตรมองนางอย่างหลากพระทัย

เสด็จแม่ในความทรงจำของเขาเป็นสตรีอ่อนโยน มีน้ำพระทัยกว้าง ท่วงท่าสง่างาม แต่ตอนนี้พระองค์ทรงมีชันษามากขึ้น พระเกศาขาวโพลน มีริ้วรอยมากมายบนพระพักตร์ พระวรกายดูสมบูรณ์มากขึ้นกว่าเดิม สายพระเนตรที่ทอดมองเขาเห็นเขาเป็นเด็กเล็กๆ เสมอ

ฮ่องเต้โจวเอื้อมพระหัตถ์ต้องการจะจับพระพาหาของพระนาง แต่พระนางกลับหลีกเลี่ยง ทำให้สีหน้าของฮ่องเต้ตื่นตระหนก

“เสด็จแม่ท่านไม่อยากเห็นหน้าข้าหรือ?” ไทเฮาก้มพระพักตร์ลง ไม่ตรัสวาจาออกมา

“เสด็จแม่ แม้ว่าข้าจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน แต่ข้าก็ไม่คิดทำร้ายท่าน ข้าอยากให้ท่านจดจำเอาไว้” ฮ่องเต้โจวกล่าวอย่างเศร้าพระทัย

“ข้าเพียงแต่หวังให้ต้าโจวเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งด้วยมือของตัวข้า ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อราชวงศ์ของเรา ข้าพยายามทำทุกอย่างเพื่อต้าโจว…”

ไทเฮายังทรงนิ่งเงียบเช่นเดิม นางเงยพระพักตร์ขึ้นด้วยสายพระเนตรที่ว่างเปล่าประหนึ่งไร้การรับรู้

ฮ่องเต้โจวจึงรู้ว่าที่เขาได้เอ่ยออกไปนั้นล้วนไร้ประโยชน์ ตอนนี้เสด็จแม่จำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร

“เสด็จแม่…ข้าคือ…อาเหยียน” ฮ่องเต้โจวตรัส

“อาเหยียน…” เมื่อได้ยินชื่อนี้ ไทเฮาทอดพระเนตรมายังเขา จากนั้นจึงได้ส่ายพระเศียร

“อาเหยียนตัวน้อย…” นางยกพระหัตถ์เสมอพระเพลา จากนั้นทอดพระเนตรมองฮ่องเจ้โจวอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ใช่อาเหยียนของนาง อาเหยียนตัวเล็กกว่านี้มากนัก

“เสด็จแม่…หม่อมฉันโตแล้วไม่ใช่เด็กน้อยที่ท่านต้องคอยปกป้องอีกต่อไปแล้ว” ฮ่องเต้โจวตรัส

ในตอนนั้นเสด็จแม่ของเขายังคงเป็นฮองเฮา นางได้เลือกเด็กๆ จากบรรดาพระสนมมาเลี้ยงดู ก่อนที่เขาจะถูกพระนางเลือกมา เดิมทีเขาเป็นแค่องค์ชายที่ไร้อำนาจ ใครๆ ก็สามารถรังแกเขาได้เพราะมารดาผู้ให้กำเนิดเป็นเพียงนางกำนัลในวังเท่านั้น นางเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเด็ก พระบิดาก็ไม่ได้ใส่พระทัย

เขาพยายามดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดในวังหลังแห่งนี้

แทบเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่เขามีชีวิตรอดมาถึงได้ถึงห้าหกขวบ หลังจากที่ฮองเฮาเลือกเขามาเลี้ยงดู เขากลายเป็นพระโอรสของพระนาง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หากเขาไม่ได้ฮองเฮาเลี้ยงดูแล้ว เขาจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร

เสด็จแม่ของเขาอ่อนโยนไม่เคยกริ้วหรือแม้แต่โกรธเคืองผู้ใด พระนางดีกับเขามาก แม้ว่าจะไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิด แต่การเลี้ยงดูที่เต็มไปด้วยความเมตตาของพระนางสำคัญกว่าการให้กำเนิดเขาเสียอีก

สายพระเนตรของฮ่องเต้โจวเปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่นและรู้คุณ

ฮ่องเต้โจวประทับนั่งลง พูดคุยเรื่องราวแต่หนหลัง ไทเฮาเอื้อมพระหัตถ์มาแตะที่เศียรของฮ่องเต้โจวเสมือนเขายังเป็นเด็กเล็กๆ ทำให้ฮ่องเต้โจวทรงพระสรวลขึ้นมาทันที เป็นรอยแย้มสรวลที่มาจากน้ำพระทัยอย่างแท้จริง นานมากแล้วที่ฮ่องเต้โจวไม่ได้มีจิตใจที่เบิกบานเช่นนี้ ฮ่องเต้ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับพระนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสด็จจากไป

“เสด็จแม่ หากมีเวลาข้าจะมาเยี่ยมท่านอีกครั้งพะย่ะค่ะ”

หลังจากนั้นแม่นมฉู่จึงได้มาเข้าเฝ้าไทเฮาเช่นเดิม นางคิดในใจว่าฝ่าบาทมาเข้าเฝ้าเยี่ยมเยียนพระมารดาเช่นนี้แต่เหตุใดไม่หาหมอหลวงมาตรวจวินิจฉัยดูพระอาการของไทเฮาเลย?

แม่นมฉู่ช่วยพยุงให้ไทเฮาประทับนั่งลง พระนางทรงเหม่อลอยราวกับไร้วิญญาณ ทำให้แม่นมฉู่รู้สึกทั้งหดหู่และไม่สบายใจ

นางไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะรักษาอาการพระอาการของไทเฮาได้หรือไม่

ในเย็นวันต่อมานางได้บังเอิญชนกับสาวใช้ในวังหลวง นางกำนัลคนนั้นรีบคุกเข่าขอโทษและขอความเมตตา แม่นมฉู่ตำหนินางอย่างเย็นชาจากนั้นจึงได้เดินเข้าตำหนักไป หลังจากนั้นนางจึงได้พบว่ามีสิ่งของแปลกปลอมอยู่ในร่างกายของตนเอง เป็นกระดาษที่เขียนด้วยลายมือคุ้นตา ว่าให้ไปโรงหมอหลวงเวลาไหนเพื่อพบหมอ นอกจากนี้ก็มียาเม็ดอีกด้วย นางรีบเอาของทั้งสองอย่างซ่อนเอาไว้

แม่นมฉู่เดินกระสับกระส่ายไปมาอยู่ในห้อง จากนั้นจึงตัดสินใจไปเข้าเฝ้าองค์ไทเฮา แม่นมฉู่มอบยาให้กับพระนาง ไม่นานหลังจากเสวยยาเม็ดเข้าไป พระวรกายเริ่มชักกระตุกขึ้นมา แม่นมฉู่รู้ดีว่านี่คือผลข้างเคียงของยา จะทำให้ร่างกายมีอาการชักอย่างน่ากลัวแต่จะไม่ทำร้ายพระวรกายขององค์ไทเฮา

นางรู้ว่านี่เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าองค์ไทเฮามีพระอาการดีไม่น่าเป็นห่วง องค์หญิงใหญ่จะไม่เคยหาหมอมาดูพระอาการของพระนางเลย แต่พอเห็นพระวรกายที่ชักกระตุกไม่หยุดเช่นนี้ นางอดเป็นกังวลไม่ได้ นางพยายามระงับอาการกังวลของตน แล้วร้องเรียกบ่าวรับใช้ในตำหนักทันที

“ไปตามหมอหลวงมาเร็ว! ไทเฮาทรงพระประชวร!”

เมื่อบ่าวรับใช้มาเห็นภาพตรงหน้า พวกเขารีบไปทูลถวายรายงานองค์หญิงใหญ่ทันที เผอิญเวลานั้นองค์หญิงใหญ่อยู่ในวังหลวง พระนางจึงรีบส่งหมอหลวงไปตรวจพระอาการขององค์ไทเฮาอย่างเร่งรีบ

ไทเฮาเสียสติได้ แต่นางจะตายไม่ได้!!