บทที่ 552 ไทเฮาถูกวางยาพิษ
นางกำนัลรีบไปที่โรงหมอหลวงทันที ในคืนนี้มีหมอหลวงประจำอยู่เวรห้าคนและหมอทั่วไปอีกหลายคน เมื่อนางกำนัลเล่าถึงพระอาการของไทเฮา หมอหลวงทั้งหมดจึงถูกเรียกตัวไปพร้อมกัน บังเอิญว่าหวังเซี่ยวจีอยู่ที่นั่นด้วย เขาตกตะลึงไปชั่วครู่เมื่อได้ยินว่าไทเฮาทรงพระประชวรและให้ตามหมอหลวง
ก่อนหน้านี้เขาทราบมาว่าองค์ไทเฮาเป็นบุคคลพิเศษ ถ้าหากเป็นไปได้ก็อย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว โชคดีที่พระองค์ไม่ค่อยได้เรียกหมอหลวงเข้าพบบ่อยครั้งนัก แต่ครั้งนี้ท่าทางวิตกกังวลของนางกำนัลทำให้รู้ว่าพระอาการไม่น่าจะสู้ดี จำต้องเรียกใช้หมอหลวง
ตอนนี้เขาเป็นหมอหลวงเพียงคนเดียว เขาจึงต้องไปอย่างไม่เต็มใจเพียงแต่เขาไม่อยากที่จะรับมือเรื่องนี้เพียงตามลำพัง สายตาเขาเบนไปหาซูไท่หยวนทันที
“หมอซู เจ้ามากับข้า” หวังเซี่ยวจีพูด
“ขอรับ” ซูไท่หยวนรีบลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง ท่าทีเป็นไปอย่างยำเกรง
พวกเขาพากันเดินไปยังตำหนักพุทธวาส เมื่อไปถึงก็เห็นองค์ไทเฮาบรรทมอยู่บนพระแท่น พระวรกายชักกระตุกอย่างรุนแรงดูน่ากลัว ที่ด้านข้างมีองค์หญิงใหญ่ยืนทอดพระเนตรอย่างเป็นกังวล เมื่อเห็นหมอเข้ามานางจึงเอ่ยว่า
“มาตรวจองค์ไทเฮาสิ!”
หวังเซี่ยวจีรีบรุดเข้าไปจับพระหัตถ์ตรวจดูชีพจรของพระนาง เขาเห็นว่าเป็นปกติดี ไม่ได้มีปัญหา แต่เหตุใดนางจึงได้มีพระวรกายกระตุกเช่นนี้ได้เล่า?
สายพระเนตรขององค์หญิงใหญ่ที่กดดันทำให้หวังเซี่ยวจีถึงกับใจสั่น
“องค์หญิงใหญ่ กระหม่อมอยากทราบว่าไทเฮาทรงมีพระอาการเช่นนี้มานานสักแค่ไหนแล้วพะย่ะค่ะ?” หวังเซี่ยวจีทูลถาม พระนางกลับเบนพระพักตร์หันไปเอ่ยกับแม่นมฉู่
“นานแค่ไหนแล้ว?”
“ก่อนจะไปกราบทูลองค์หญิงใหญ่ก็เป็นเกือบครึ่งชั่วยามแล้วเพคะ พระนางชักทุกๆ หนึ่งเค่อกินระยะเวลาสั้นยาวไม่เท่ากันเพคะ” แม่นมฉู่ตอบ นางมองไปที่หวังเซี่ยวจีอย่างใจจดจ่อ
“ข้าขอร้องช่วยไทเฮาด้วยเจ้าค่ะ”
“ไทเฮาเป็นอะไรไปหรือ?” องค์หญิงตรัสถามหวังเซี่ยวจี
“ทูลองค์หญิงใหญ่ ไทเฮา…ชีพจรของพระนางทรงเป็นปกติดีทุกอย่างพะย่ะค่ะ” หวังเซี่ยวจีปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นที่หน้าผาก สีพระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่แปรเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาทันที
“หากไม่เป็นอะไร จะมีอาการเช่นนี้ได้อย่างไร?!”
หวังเซี่ยวจีรีบทรุดลงนั่งคุกเข่า
องค์หญิงใหญ่ทอดพระเนตรมองไปที่ซูไท่หยวน
“เจ้ามาดูสิ! ถ้าทำไม่ได้ก็ให้คนอื่นทำ ไม่เช่นนั้นจะได้ยุบโรงหมอทิ้งไปเสียเลย!” พระสุรเสียงเย็นชาวางอำนาจ ซูไท่หยวนทำท่าหวาดผวาเดินไปข้างพระแท่นบรรทมอย่างสั่นเทา เขาเอื้อมมือไปจับพระกรของไทเฮา ใช้เวลาตรวจวินิจฉัยอยู่นาน จนองค์หญิงใหญ่เริ่มร้อนพระทัย ก่อนที่ความอดทนของพระนางจะหมดลง ซูไท่หยวนจึงดึงมือออก
“ทูลองค์หญิงใหญ่ ไทเฮามีพระอาการของโรคลมบ้าหมู โชคดีที่เป็นแค่พระอาการเบื้องต้นเท่านั้นไม่รุนแรงมากนัก ยังสามารถรักษาให้หายได้พะย่ะค่ะ”
“งั้นก็รีบรักษา! จะมางุนงงอยู่ทำไม!”
ซูไท่หยวนรีบเปิดล่วมยา หยิบขวดยาเปิดฝาออกนำโสมออกมาชิ้นหนึ่งใส่ในพระโอษฐ์ของไทเฮา เขาหยิบเข็มเงินขึ้นมา ทำการฝังเข็มให้พระนาง หลังจากฝังเข็มไปได้สักพัก พระอาการกระตุกชักเกร็งขององค์ไทเฮาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
หลังจากนั้นไม่นานพระอาการชักก็หมดไป ซูไท่หยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาถอนเข็มออก องค์ไทเฮาจึงได้ลืมพระเนตรขึ้น กวาดสายตาไปรอบๆ ห้องอย่างมึนงง
“ไทเฮาเพคะ พระองค์ฟื้นแล้ว!” แม่นมฉู่ประหลาดใจมาก องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางเดินไปหาซูไท่หยวนบราวนี่ออนไลน์
“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า” ซูไท่หยวนเดินตามนางออกไปด้วยความนอบน้อม
องค์หญิงใหญ่มีพระวรกายค่อนข้างท้วม พระพักตร์ของนางกลมแลดูพระทัยดี แต่ในยามที่นางชำเลืองสายพระเนตรมองผู้คนกลับดูกระด้างเย็นชาไม่น้อย
“เจ้าเพิ่งบอกว่าไทเฮาทรงพระประชวร…”
“ลมบ้าหมูเป็นโรคที่กระหม่อมพบเจอมาหลายครั้งแล้ว อาการของไทเฮาสามารถควบคุมได้ด้วยการฝังเข็มพะย่ะค่ะ”
ซูไท่หยวนรู้สาเหตุดีว่าเหตุใดไทเฮาถึงได้มีพระอาการชักเกร็ง นั่นเป็นเพราะเขาเตรียมยาเม็ดที่ทำให้ไทเฮาอาจจะเกิดอาการคล้ายลมบ้าหมูและรักษาให้หายได้โดยการฝังเข็ม เพื่อที่จะได้มีข้ออ้างในการเข้าเฝ้าเป็นบางครั้ง
“จะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่?” องค์หญิงใหญ่ตรัสถาม ซูไท่หยวนตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะรีบทูลตอบว่า
“หากไม่รักษาพระอาการให้ดี อาการชักเกร็งเช่นนี้จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปอาจจะถึงกับเสียชีวิตได้พะย่ะค่ะ”
พระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่เปลี่ยนไปทันที
“รักษาพระนางให้ดี หากมีอะไรเกิดขึ้นกับไทเฮา เจ้าและโรงหมอหลวงจะต้องถูกฝังไปพร้อมกับนางเข้าใจหรือไม่?!”
“กระหม่อมรับทราบพะย่ะค่ะ” ซูไท่หยวนรีบตอบทันที
“เจ้าชื่ออะไร?” องค์หญิงใหญ่ตรัสถาม
“กระหม่อมมีนามว่าซูไท่หยวนพะย่ะค่ะ”
“ซูไท่หยวน ข้าจะถามเจ้าอีกครั้งนอกจากอาการลมบ้าหมูนี่แล้วไทเฮาทรงมีพระอาการอะไรอีก? พระนางจำเปิ่นกงไม่ได้ด้วยซ้ำไป” สายพระเนตรขององค์หญิงใหญ่ที่จ้องมองเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“กราบทูลองค์หญิงใหญ่ ไทเฮาไม่มีพระอาการอื่นพะย่ะค่ะ ส่วนความจำของพระองค์อาจจะเป็นเพราะความชราจึงทำให้หลงลืมพะย่ะค่ะ” ความเย็นชาในดวงตาขององค์หญิงใหญ่จางหายไปเล็กน้อย
“พระนางชรามาแล้ว ข้ารู้…” องค์หญิงใหญ่โบกพระหัตถ์ของนาง บอกให้ทั้งสองกลับไปที่โรงหมอหลวง ทั้งหวังเซี่ยวจีและซูไท่หยวนจึงจากไป
องค์หญิงใหญ่ยืนอยู่ที่หน้าประตู นางมองไปที่ห้องบรรทมของไทเฮาด้วยสีพระพักตร์ที่ไม่มีผู้เดาคาดเดาได้
คนเสียสติ! ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก!
หากตายไปเลยก็ดี อย่างน้อยคนตายก็ย่อมเก็บความลับได้
แต่อย่างไรก็ตามฮ่องเต้ยังคงเป็นห่วงและมีความรักต่อพระนางอยู่ เขาไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้นางตายไป!
…….
หวังเซี่ยวจีและซูไท่หยวนกลับไปที่โรงหมอหลวง ระหว่างทางหวังเซี่ยวจีเอาแต่พูดจาเย้ยหยัน
“ข้าไม่คิดว่าหมอซูจะเก่งกาจเพียงนี้ ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ”
เขาลืมไปแล้วว่าหากไม่มีซูไท่หยวนที่รักษาอาการพระประชวรได้ เขาอาจจะถูกประนามว่าเป็นถึงหมอหลวงแต่ไม่สามารถวินิจฉัยพระอาการได้
นี่จะไม่ใช่เรื่องเสียหน้าครั้งใหญ่หรือ?
“องค์หญิงใหญ่ตรัสอะไรกับเจ้า?” หวังเซี่ยวจีถาม
“พระนางให้ข้าช่วยรักษาพระอาการขององค์ไทเฮาต่อไปขอรับ” ซูไท่หยวนกล่าว
“นี่เจ้ากำลังโอ้อวดหรือ? ซูไท่หยวนเอ๋ย เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องดีหรือ? การเป็นหมอขององค์ไทเฮาน่ะ ก่อนหน้านี้เคยมีหมอไปรักษาพระอาการชองพระนาง แล้วเจ้าเดาสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา” ซูไท่หยวนมองไปที่เขา
“สุดท้ายคนพวกนั้นก็ตายหมด!” หวังเซี่ยวจีแสดงสีหน้าหวาดกลัว
“อ้อ…” ซูไท่หยวนไม่มีความกลัวบนใบหน้าของเขาเลย เขาเลือกที่จะรับคำเสียงเบาๆ เท่านั้น หวังเซี่ยวจีตื่นเต้นที่ได้เห็นท่าทีของเขา
“ซูไท่หยวนเจ้าทำสีหน้าเช่นนี้หมายความว่าอะไร?”
ในขณะนั้นเอง จู่ๆ หวังเซี่ยวจีก็รู้สึกว่าเข่าของเขาอ่อนปวกเปียกขึ้นมากระทันหัน ร่างกายคะมำไปข้างหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ เขาล้มลงไปกับพื้นอย่างแรงพร้อมกับโอดครวญ
“โอ๊ย…ข้าเจ็บจะตายแล้ว”
ซูไท่หยวนมองไปที่เด็กฝึกยาสองคนที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าโรงหมอหลวง รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาพลันหายไป พวกเขารีบเข้ามาช่วยพยุงหวังเซี่ยวจี
“ท่านหมอหวังเป็นอย่างไรบ้าง นี่มืดแล้วท่านควรมองพื้นให้ดีๆ สิขอรับ” เด็กฝึกยาสองคนวิ่งไปเอาล่วมยามาให้ซูไท่หยวน
ชื่อของเด็กทั้งสองนี้เคยเป็นตัวเลขมาก่อน ซูไท่หยวนจึงตั้งชื่อให้พวกเขาใหม่ว่า เฉาเย่าและหม่ายตง
ซูไท่หยวนมองไปที่หม่ายตง เด็กคนนั้นแลบลิ้นใส่เขา ซูไท่หยวนไม่สนใจหวังเซี่ยวจีอีกต่อไป เขาจับมือของเด็กทั้งสองเข้าไปในโรงหมอ หลังจากที่พาเด็กทั้งสองกลับไปยังห้องของตัวเองแล้ว ใบหน้าของซูไท่หยวนก็เคร่งขรึมขึ้น
หลังจากที่ได้จับชีพจรเขาจึงรู้ว่าอาการบ้าคลั่งของไทเฮานั้นเกิดจากการวางยาพิษ