บทที่ 497 ถุงเงิน

บทที่ 497 ถุงเงิน

“ที่นั่น ที่นั่น อยากไปตรงนั้น!” หลินซือดิ้นไปดิ้นมาบนหลังของเจี่ยงเถิง เด็กสาวอดรนทนไม่ไหวอยากจะไปร้านที่ตนต้องการ

“แม่คุณทูนหัวเอ้ย ข้าไม่อาจอุ้มเจ้าได้แล้ว” เจี่ยงเถิงบ่นอุบอิบ แต่มือก็ยังกระชับเข่าของหลินซือไว้แน่น

“เช่นนั้นท่านก็รีบไปสิ” หลินซือสงวนท่าทางมากขึ้น และหันไปตบไหล่เจี่ยงเถิงเป็นการกระตุ้นเด็กหนุ่ม

เจี่ยงเถิงทำได้แค่เร่งฝีเท้าเพื่อพานางไปที่ประตูร้านเครื่องประดับเท่านั้น หลินซือตบบ่าของเจี่ยงเถิงอีกครั้งเพื่อให้ชายหนุ่มวางตนเองลง

“เจ้าไม่ได้ต้องการจะกลับไปที่เดิมหรอกหรือ?” เจี่ยงเถิงจงใจล้อเลียนเด็กสาว

“ท่านเร็วหน่อยสิ” มีคนมองมาจากในร้าน หลินซือจึงหน้าแดงเล็กน้อย “เมื่อครู่ยังไม่ได้เข้าไปในร้าน ท่านรีบวางข้าลงเถอะ คนอื่นมองดูอยู่นะ”

เช่นนี้เจี่ยงเถิงจึงวางหลินซือลง

“ปีใหม่แล้วเหตุใดจึงไม่อ้วนขึ้นเลยเล่า?” เด็กหนุ่มยังคงหยอกล้อและเดินตามนางเข้าไปในร้าน “รู้สึกว่าเบากว่าตอนที่แบกเจ้าครั้งที่แล้วเสียอีก”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” หลินซือกลอกตา “ที่ท่านแบกข้าครั้งนั้นก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้วนะ ข้าสูงขึ้นมาเยอะเลยใช่ไหมล่ะ?”

“จริงหรือ?” เจี่ยงเถิงขมวดคิ้ว “แต่ว่าครั้งที่แล้วเจ้ายังสูงถึงคิ้วของข้า แต่ตอนนี้เหตุใดจึงถึงแค่ติ่งหูเล่า?”

“ท่าน!” หลินซือหยุดเดินแล้วหันหลังกลับทันใด ชั่วพริบตาเดียวก็ยกกำปั้นเท่ากระสอบทรายขึ้นใส่เจี่ยงเถิง

เจี่ยงเถิงพลันหุบปาก และทำท่าทางยอมแพ้

ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะคันไม้คันมืออยากจับกำปั้นของหลินซือเอาไว้ แต่ภายใต้สายตาของผู้คนนั้น หลินซือคงจะรู้สึกอายไม่ใช่น้อย

“จริง ๆ แล้วเจ้าดูผอมลงมานิดหน่อย” เมื่อหลินซือหยิบถุงเงินออกมา เจี่ยงเถิงก็พูดขึ้นหนึ่งประโยค

หลินซือถอนหายใจ “ข้ายุ่งมากน่ะสิ ปีนี้เปิดร้าน หลังจากนั้นเข้าพิธีปักปิ่น ถ้าหากว่าท่านแม่กลับมาไม่ทัน ข้าคงจะเหนื่อยตายไปแล้ว บางทีก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าว จะเอาที่ไหนมาอ้วนขึ้นเล่า”

“ไม่มีเวลากินข้าว?” เจี่ยงเถิงจับประเด็นสำคัญได้ “ยุ่งจนไม่ได้กินข้าวเลยหรือ?”

เวลานั้นหลินซือเผลอหลุดปากไป เด็กสาวรู้สึกผิดเล็กน้อยจึงไม่กล้าสบตาเจี่ยงเถิง เด็กสาวเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “ก็มีครั้งสองครั้ง”

แท้ที่จริงแล้วในเวลาที่ไม่มีใครเห็น เด็กสาวก็จะไม่กินข้าว

ประการแรก ในเวลาที่นางยุ่งวุ่นวายจะไม่รู้สึกอยากอาหาร ประการที่สองคือเสียเวลา เด็กสาวคิดตลอดว่าเมื่อเรื่องวุ่นวายจบหมดแล้วจึงจะกินข้าวได้ ทว่าเมื่อเรื่องวุ่นวายจบลงท้องฟ้าก็มืดแล้ว

แน่นอนว่าเจี่ยงเถิงไม่เชื่อในสิ่งที่หลินซือเอ่ยออกมา เขาจึงตั้งเป้าให้หลินซือเพิ่มน้ำหนักในช่วงปีใหม่ทันที เด็กหนุ่มจึงขู่ขึ้นด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ถ้าหากว่าเจ้าทำไม่ถึงมาตรฐานนี้ ข้าจะไปบอกกับท่านอาซูและพี่ใหญ่ของเจ้าว่าเจ้าไม่ยอมกินข้าว ผลจะเป็นอย่างไรเจ้ารู้ใช่หรือไม่?”

แน่นอนว่าหลินซือรู้คำตอบดี คงไม่พ้นต้องถูกขังไว้ในบ้านและถูกขุนให้อ้วนราวกับหมูตัวหนึ่ง

“เอาละ เอาละ ข้ารู้แล้ว” หลินซือเปลี่ยนหัวข้อ “ท่านไปเอาถุงเงินสองอันนั้นให้ข้าที อันที่เป็นเสือหนึ่งตัวและกระต่ายหนึ่งตัวตรงนั้น”

เจี่ยงเถิงยื่นมือทั้งสองข้างออกไปหยิบถุงเงินให้กับหลินซือ หลินซือมองอย่างละเอียดแล้วก็โยนถุงเงินปักลายเสือไปให้เจี่ยงเถิง “ให้ท่านหนึ่งอัน ส่วนข้าจะเอาอันนี้”

ว่าพลางก็โบกถุงเงินรูปกระต่ายเล็ก ๆ ในมือและพึมพำ “ท่านรังแกข้าตลอด ก็เหมือนกับเสือตัวใหญ่นี่”

เจี่ยงเถิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกพลางมองดูกระเป๋าในมือที่ดูน่าขัน และถือมันในตอนที่พานางไปดูร้านขายเครื่องประดับ

“เอาละ ไปจ่ายเงินกันเถอะ” ในท้ายที่สุดหลินซือก็ไม่ชอบสิ่งของชิ้นอื่น เมื่อตอนเดินเข้าประตูไปก็โบกมือให้กับเจี่ยงเถิงแล้วเอ่ยขึ้น

“นี่ไม่ใช่ว่าเจ้าให้ข้าหรือ?” เจี่ยงเถิงยิ้มขึ้น

“ถูกต้อง” หลินซือเป็นคนชอบธรรม “ข้าให้ท่านก่อนและไปจ่ายเงินกับท่านมันมีปัญหาอะไรหรือ?”

เจี่ยงเถิงจึงยอมแพ้ “ไม่มีอะไร ไม่มี ปัญหาสักนิดก็ไม่มี”

หลินซือมองดูเจี่ยงเถิงไปจ่ายเงินอย่างภาคภูมิใจ และยังโบกถุงเงินใบเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือคอยอวดกับผู้อื่น “นี่คือวิธีประหยัดต้นทุนในการทำกิจการค้าขาย”

เจี่ยงเถิงรีบคว้าถุงเงินจากมือของหลินซือ และยัดถุงเงินของตัวเองเข้าไปในอุ้งมือของหลินซือที่กำลังตกตะลึง “ตอนนี้เจ้ารังแกข้า เสือตัวนี้ควรจะเป็นของเจ้าสิ”

“ข้าไม่ต้องการ!” หลินซือเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าในมือของเจี่ยงเถิง “รีบคืนให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ!”

ทันใดนั้นเจียงเถิงก็แบกหลินซือไว้บนหลังของตน ชายหนุ่มหันหลังเตรียมจะกลับ หลินซือตกใจมากนางจึงจับคอเจี่ยงเถิงไว้แน่นไม่กล้าขยับกาย

“เจ้า ดี ๆ หน่อยสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะล้มแน่ ๆ ”เจี่ยงเถิงไม่ลืมคำขู่

หลินซือจึงทำได้แค่อยู่บนหลังของอีกฝ่าย และหันไปหาเรื่องกับถุงเงินลายเสือเจ้าปัญหาแทน

“เหตุใดเจ้าถึงน่าเกลียดเช่นนี้”

“ปากเจ้าก็ปักไม่ตรง”

“หูข้างหนึ่งเล็กอีกข้างใหญ่ ไม่น่ามองเลย”

เจี่ยงเถิงปล่อยให้อีกฝ่ายกล่าวประชดประชันไป เด็กหนุ่มเดินซื้อของไปอย่างมีความสุขโดยที่มีหลินซืออยู่บนหลัง

ตกเย็น เจี่ยงเถิงรู้สึกว่าได้ยินเสียงโครกครากดังมาจากด้านหลังของตน หลินซือเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ข้าหิวแล้ว”

เจี่ยงเถิงวางอีกฝ่ายลง และแกล้งทำท่าถู ๆ ท้อง “ข้าเองก็หิวแล้ว จะทำเช่นไรดีล่ะ?”

“อ้อใช่แล้ว อาซือได้บอกว่าตอนกลางคืนจะไปกินข้าวที่ร้านอาหารใช่หรือไม่” เจี่ยงเถิงลูบศีรษะเด็กสาวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เด็กหนุ่มเอ่ยถึงอาหารที่นางชอบ จนเกือบทำให้น้ำลายของอีกฝ่ายไหลออกมา

“อยากไปกินไหม?” เจี่ยงเถิงยิ้มแล้วถามขึ้น

“อยากสิ!” หลินซือกลืนน้ำลายแล้วพยักหน้า

“ดีเลย ตอนนี้พวกเราอยู่ด้านทิศใต้ของเมือง ร้านอาหารร้านนั้นอยู่ที่ด้านทิศเหนือ พวกเราเดินกลับไปกันเถอะ” เจี่ยงเถิงอมยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

“อ่อ…” หลินซือมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เด็กสาวตระหนักได้ว่าเจี่ยงเถิงยังคงโกรธที่ตนนั้นไปขัดขวางแผนการของเขาเมื่อตอนเที่ยง เมื่อรู้ถึงสถานการณ์แล้วจึงทำตัวให้เล็กลงและดึงแขนเสื้อเจี่ยงเถิง “พี่อาเถิง พวกเราไปกินข้าวที่อื่นกันดีไหม? ตอนค่ำเรากินอะไรหลายอย่างมันไม่ดี อาหารจะไม่ย่อยนะ”

“เช่นนั้นอาซือจะไปที่ไหนล่ะ?” เจี่ยงเถิงถามกลับ

แน่นอนว่าหลินซือไม่รู้ว่าจะไปที่ใด นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาที่นี่ สามารถแยกแยะเหนือใต้ออกตกได้ก็เก่งแล้ว

“พี่อาเถิงคิดว่าพวกเราจะไปที่ไหนกันดี” หลินซือกะพริบตาให้เจียงเถิง “ข้าหิวมากเลยนะ”

จากนั้นหลินซือก็อุทานขึ้นเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก ก่อนออกแรงดึงเจี่ยงเถิงให้วิ่งตาม “งานวัด?! พวกเรารีบไปกันเถอะ!”

“อาซือ ช้าหน่อย” เจี่ยงเถิงวิ่งตามอาซืออย่างช่วยไม่ได้ “งานวัดไม่หนีไปไหนหรอก เจ้ารีบร้อนอะไรเช่นนี้ วิ่งแล้วเหงื่อออกจะทำเช่นไร?”

หลินซือไม่ได้ยินในสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด ทั้งสองคนใช้เวลาวิ่งเพียงแค่ครึ่งเค่อเท่านั้นก็ไปถึงงานวัด

หลินซือมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ ตอนนี้ดูเหมือนว่างานวัดเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ยังมีคนไม่มาก แต่การเซ่นไหว้ได้เริ่มขึ้นแล้ว

นักบวชผู้เฒ่าที่มีใบหน้าเปื้อนสีน้ำมัน และชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ แต่ละคนต่างก็ถือเครื่องบูชายัญ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มโยนเครื่องบูชายัญลงไปในน้ำ และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็ถูกฆ่าทันที หลินซือพลันหลับตาลงด้วยความหวาดกลัว

เจี่ยงเถิงยืนอยู่หน้าหลินซือด้วยความเสียใจ อีกฝ่ายก็กอดตนไว้แน่นจนศีรษะแนบชิดกับแผ่นอก แต่ก่อนเจี่ยงเถิงได้ยินมาว่างานวัดนั้นมากไปด้วยสีสัน ไม่คิดว่าจะมีฉากฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเช่นนี้ ไม่รู้ว่าอาซือเห็นแล้วจะหวาดกลัวหรือไม่

“อาซือ ไม่มีอะไรแล้ว” เจี่ยงเถิงลูบหลังเด็กสาวเบา ๆ “มันจบลงแล้ว”

หลินซือจึงลดแรงที่จับไว้ลง เด็กสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เมื่อพบว่าไม่ได้มีอะไรแล้วนางจึงปล่อยเจี่ยงเถิงด้วยความสบายใจ

…………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ศีลเสมอกันมาก มองยังไงสองคนนี้ก็ควรคู่กันน่ะค่ะ

ไหหม่า(海馬)