บทที่ 537 ครอบครัวโบราณ

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 537 ครอบครัวโบราณ

บทที่ 537 ครอบครัวโบราณ

“สิบหกล้าน?” ซูอันเลิกคิ้วขึ้น ทำไมตัวเลขจึงสูงขนาดนี้?

ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มคิดอยู่เช่นกันว่าจะใช้ทรัพย์สินของตัวเองเพื่อช่วยภรรยาของเขาผ่านวิกฤตนี้สักหน่อย แต่ตอนนี้มันดูเหมือนว่าหากจะช่วยด้วยเงิน เขายังขาดเลขศูนย์ไปตัวหนึ่ง

“ราชสำนักกำหนดข้อจำกัดในการขายเกลือเพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้าเกลือเทสินค้าลงสู่ตลาดตามใจชอบ หากใครประสงค์จะขอใบอนุญาตค้าเกลือก่อนเวลาเกินที่กำหนดไว้ นอกจากเงิน 1.5 ตำลึงที่ต้องจ่ายเพื่อใบอนุญาตแล้ว จะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 2.1 ตำลึงเพื่อขอซื้อใบอนุญาตแบบล่วงหน้า”

ฉู่ชูเหยียนหยุดชั่วครู่ สีหน้าของนางหม่นหมองลง “นอกจากนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ค้าเกลือมีส่วนร่วมในกิจกรรมแอบแฝง จึงกำหนดไว้โดยชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าผู้ที่ไม่ชำระเงินล่วงหน้านี้จะถูกปรับหลายเท่าของจำนวนเงินที่กำหนด”

“เงินมากกว่าครึ่งจากสิบหกล้านตำลึงของพวกเราถูกหักเป็นค่าปรับ” ฉู่เทียนเซิงพูดต่อจากที่ค้างไว้ “วิธีเดียวที่จะจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวได้คือเราต้องขายทรัพย์สินของตระกูลฉู่ทั้งหมด!”

“ข้าจะคิดวิธีแก้ปัญหานี้เอง พวกท่านไม่จำเป็นต้องทำอะไร” ฉู่ชูเหยียนกล่าวอย่างเย็นชา

“เจ้าจะไปคิดหาทางแก้ไขอีกงั้นเหรอ? พวกเจ้าทำเละเทะซะขนาดนี้ ยังจะมีปัญญาหาวิธีแก้ปัญหาแบบไหนได้อีกบ้าง?” ฉู่เทียนเซิงกล่าวอย่างดูถูกเหยียดหยาม แต่ในขณะที่เขากำลังจะพูดต่อ ก็รู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องลดลงหลายองศา และเมื่อรู้สึกว่าตอนนี้ฉู่ชูเหยียนเริ่มโกรธขึ้นมาแล้ว เขาจึงไม่กล้าที่จะกดดันนางในเรื่องนี้ต่อไป “เอาเถอะ ข้าจะรอดูว่าทางออกของเจ้าคืออะไร!”

เขาพุ่งออกจากห้องโถงไปอย่างเดือดดาล

ฉู่เยว่พั่วก็ตามออกไปเช่นกัน การแสดงออกของเขาเย็นชา ในไม่ช้าก็เหลือเพียงฉินหว่านหรู ฉู่ชูเหยียน และซูอันที่ยังคงอยู่ในห้อง

ซูอันไม่สามารถระงับความขุ่นเคืองของเขาได้ “พวกเขาไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ? พวกเขาทำตัวกำแหงทันทีที่พ่อตาไม่อยู่ นี่ถ้าหากเราอ่อนแอกว่าพวกเขา พวกเขาจะไม่วางแผนก่อกบฏหรืออะไรทำนองนั้นเลยหรือไง?”

“ตระกูลสายรองและสายที่สามมักจะโลภเสมอ พวกเขาต้องการจะเข้ามาแทนที่เราอยู่แล้ว” ฉินหว่านหรูอธิบาย “ไม่มีทางที่พวกเขาจะพลาดโอกาสทองแบบนี้ในการสร้างปัญหาให้กับเรา”

นับตั้งแต่ที่นางรู้ว่า ซูอันและลูกสาวของนางได้เป็นสามีภรรยากันจริง ๆ แล้ว นางจึงได้ละทิ้งอคติก่อนหน้านี้และเริ่มยอมรับเขา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่นี้เขาพูดขึ้นเพื่อปกป้องพวกนาง ดังนั้นนางจึงเต็มใจที่จะแบ่งปันความลับของตระกูลฉู่กับเขา

ซูอันถอนหายใจ “โลกนี้ก็แปลก เมื่อสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น คนแปลกหน้าอาจน่าเชื่อถือมากกว่าคนกันเอง แม้ว่าคนแปลกหน้าจะไม่ให้ความช่วยเหลือ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็จะไม่ตีเราในขณะที่เราล้มลง”

ฉินหว่านหรูหดหู่ “พูดเรื่องนี้จะมีประโยชน์อะไร? ตอนนี้เราควรหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ให้เร็วที่สุด”

ฉู่ชูเหยียนกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเราควรรวบรวมเงินเพื่อไถ่ตัวท่านพ่อกลับมาก่อน”

“เรากำลังพูดถึงเงินสิบหกล้านตำลึงนะ! เราจะหาเงินจำนวนมหาศาลขนาดนั้นได้จากไหน?” ฉินหว่านหรูเริ่มมองโลกในแง่ร้าย

ฉู่ชูเหยียนก็เงียบเช่นกัน รายรับของตระกูลฉู่ติดลบจนเป็นตัวแดงมาหลายปีแล้ว และเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของตระกูลที่ต้องใช้จ่ายอยู่ตลอด เงินสำรองของตระกูลจึงเหลือไม่มาก

หลังจากการขจัดกลุ่มวาฬ ธุรกิจค้าเกลือของพวกเขาก็เริ่มฟื้นตัว รายได้ของพวกเขาจึงเพิ่งเริ่มเติบโตเท่านั้น

หนำซ้ำ เมื่อความจริงเรื่องการใช้ใบอนุญาตค้าเกลือของปีถัดไปถูกเปิดเผยขึ้นแบบนี้ ธุรกิจเกลือของพวกเขาจึงถูกตีตราว่าผิดกฎหมายไปซะอีก ส่งผลให้พวกเขายังไม่สามารถค้าเกลือได้โดยปริยาย

ทางเดียวที่เหลือสำหรับตระกูลฉู่ตอนนี้คือขายทุกอย่างที่พวกเขาเป็นเจ้าของ อย่างไรก็ตาม หากทำเช่นนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการทำลายรากฐานของตระกูลที่เหล่าบรรพบุรุษสร้างขึ้นมาด้วยหยาดเหงื่อและโลหิต เมื่อถึงเวลานั้น ศรัทธาของผู้คนในตระกูลฉู่จะต้องพังทลายลงอย่างแน่นอน และนั่นคือการจบสิ้นลงอย่างแท้จริง…

ซูอันกล่าวว่า “ข้ามีเงินประมาณสองถึงสามล้านตำลึงซึ่งสามารถใช้ไถ่ตัวพ่อตาได้ น่าเสียดายที่สำนักดอกบ๊วยได้ถูกทำลายลงไปแล้ว ดังนั้นเงินเจ็ดล้านตำลึงที่พวกเขาติดค้างข้าจึงหายไปในอากาศ ไม่อย่างนั้น อย่างน้อยข้าก็สามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้บ้าง”

ฉู่ชูเหยียนตกตะลึง “เจ้าไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ?”

นางรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของเขากับสถาบันจันทร์กระจ่าง และนางก็รู้ด้วยว่าสำนักดอกบ๊วยไม่มีทรัพย์สินมีค่าอะไรมากมายเหลืออยู่ เขาเอาเงินสองถึงสามล้านตำลึงมาได้อย่างไร?

ซูอันกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “สามีของเจ้ายอดเยี่ยมที่สุด เจ้ายังไม่รู้หรือไง? ข้าถึงกับหาภรรยาแบบเจ้าได้เลยนะ ดังนั้นแล้วการหาเงินสักเล็กน้อยมันจะไปยากตรงไหน?”

ฉู่ชูเหยียนหน้าแดง “ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก!”

แต่แล้วเมื่อนึกได้ว่าขณะนี้แม่ของตัวเองกำลังมองอยู่ นางจึงหันไปก้มหัวให้แม่ของนางอย่างรู้สึกผิด

ฉินหว่านหรูไม่ได้โกรธอะไร น้ำเสียงของนางกล่าวออกด้วยความรู้สึกตื้นตัน “อาซู ขอบคุณที่คิดช่วยเหลือตระกูลฉู่ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ชูเหยียนไม่ได้เลือกสามีผิด อย่างไรก็ตาม ตระกูลฉู่ของเรายังไม่ถึงจุดที่เราต้องพึ่งพาทรัพย์สินส่วนตัวของลูกเขย หากเป็นเช่นนั้น เราอาจจะกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองได้”

ซูอันพูดไม่ออก นี่มันฟังดูเหมือนพวกครอบครัวโบราณที่มักปฏิเสธที่จะแตะต้องสินสอดทองหมั้นของลูกสะใภ้เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤต การยึดมั่นในความภาคภูมิใจที่ไม่จำเป็นเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร?

“อาซู เจ้าควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว” ฉินหว่านหรูกล่าว “ข้ายังมีเรื่องจะปรึกษากับชูเหยียน”

อันที่จริง ซูอันไม่เคยอยากจะยุ่มย่ามกับเรื่องของตระกูลฉู่ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยกับการปฏิเสธของฉินหว่านหรู

เมื่อออกมาด้านนอก ฉู่ฮวนเจาวิ่งตรงเข้ามาในอ้อมแขนของซูอันเมื่อเห็นเขา “พี่เขย ท่านพ่อจะได้กลับมาไหม?”

บรรดาทหารยามเห็นกันจนชินตาแล้วว่าทั้งสองคนนี้มีพฤติกรรมใกล้ชิดกันมาก ดังนั้นเมื่อเห็นภาพนี้ พวกเขาจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ช่วงนี้แม้การกระทำที่ใกล้ชิดของทั้งคู่จะเกิดขึ้นบ่อยมาก แต่เนื่องจากทั้งฮูหยินและคุณหนูใหญ่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาจึงคิดว่าคนรับใช้อย่างพวกเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าคุณหนูรองเป็นผู้ริเริ่มที่จะสวมกอดนายน้อย…

นายน้อยมีพลังประหลาดอะไรกันแน่? แม้ว่าเขาจะค่อนข้างหล่อ แต่ก็ไม่ได้วิเศษวิโสในด้านอื่น ๆ เขาจะได้รับความโปรดปรานอย่างแท้จริงจากคุณหนูใหญ่และทำให้คุณหนูรองหลงใหลในตัวเขาได้ยังไง?

สิ่งที่เข้าใจยากยิ่งกว่าก็คือ แม้แต่ฮูหยินก็ดูเหมือนจะปฏิบัติต่อนายน้อยดีขึ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้

เฮ้อ…เราทุกคนต่างก็อิจฉา!

ซูอันสังเกตเห็นคะแนนความโกรธแค้นที่หลั่งไหลเข้ามา คนพวกนี้แสดงได้ดีจริง ๆ ภายนอกดูไม่ใส่ใจ แต่ภายในกลับน่าจะพากันสาปแช่งเขาอยู่!

พวกเจ้าไม่โกรธมากขึ้นอีกหน่อย? ตัวเลขหลักเดียวเหล่านี้คืออะไร?

พวกเจ้าไม่กล้าแม้แต่จะโกรธด้วยซ้ำ ไม่น่าแปลกใจที่พวกเจ้าทุกคนทำได้เพียงชื่นชมความยอดเยี่ยมของข้า

เขาคงจะได้รับคะแนนความโกรธแค้นอย่างมหาศาลแน่นอนหากเขาพูดสิ่งที่ตัวเองคิดในหัวออกไปดัง ๆ

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้สอนให้เขาชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสีย ในบางสถานการ์ชายหนุ่มก็ควรจะกอบโกยคะแนนความโกรธแค้นให้สุด ๆ แต่ในบางครั้ง มันก็ไม่คุ้มที่จะกอบโกยคะแนนจากคนใกล้ชิด เพราะมันจะมีผลเสียมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น การที่ผู้หญิงสองคนตีกันแล้วหันมาโกรธเขาไปด้วย