ตอนที่ 549 ผมจะพาคุณไปอาบน้ำ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 549 ผมจะพาคุณไปอาบน้ำ

หลินม่ายกลับเข้าตัวเมืองหลังจากใช้เวลาทั้งวันไปกับการตระเวนตรวจสอบผักเรือนกระจกบนภูเขา

พอฟางจั๋วหรานกลับมาที่วิลล่าหลังจากเลิกงานในช่วงบ่าย เขาก็ประหลาดใจนัก เมื่อเห็นว่าวันนี้คุณย่าฟางเข้าครัวด้วยตัวเอง

หลินม่ายเป็นเด็กสาวที่ใส่ใจคนรอบข้างมากที่สุด ตั้งแต่เธอย้ายมาอยู่ที่วิลล่า เธอแทบไม่ให้คุณย่าฟางเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเองเลย

ถึงแม้บางครั้งหญิงชราจะอยากทำอาหาร หลินม่ายก็มักจะโน้มน้าวให้นางกลับมาอ่านหนังสือต่อ

เหตุผลก็คือเธอชอบทำอาหารเองมากกว่า เพราะการทำอาหารเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เธอผ่อนคลายจากการทำงาน เหมือนได้พักผ่อนไปในตัว

แต่วันนี้เหมือนกับเมื่อวานไม่มีผิด คุณย่าฟางยังคงเข้าครัวด้วยตัวเองเหมือนเย็นวานนี้

ฟางจั๋วหรานเห็นว่าคุณย่าฟางกำลังลงมือหั่นเนื้อสันใน เขาจึงรับมันมาสานต่อ กดปลายมีดหั่นเนื้อสันในโดยใช้เทคนิคเสมือนจับมีดผ่าตัด ถามว่า “ม่ายจื่อยังไม่กลับมาจากนอกเมืองอีกเหรอครับ นี่วันที่สามแล้วนะ”

เขาคิดว่าหลินม่ายคงยังไม่กลับมา คุณย่าฟางก็เลยเข้าครัวทำอาหารเย็นเอง

คุณย่าฟางชี้ขึ้นไปบนเพดาน “หล่อนกลับมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้น่าจะนอนอยู่ในห้องน่ะ”

มือที่กำลังบรรจงหั่นเนื้อของฟางจั๋วหรานหยุดชะงักไปชั่วขณะ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ทำไมม่ายจื่อเป็นแบบนั้นล่ะครับ? เธอไม่สบายหรือเปล่า?”

หลินม่ายเป็นคนสุขภาพดี เธอไม่ค่อยนอนกลางวันด้วยซ้ำ นอกจากจะงีบหลับเป็นบางครั้ง

พอได้ยินว่าหลินม่ายกลับมาถึงแล้วขึ้นไปนอนทันที เขาก็อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้

คุณย่าฟางส่ายหน้า “ไม่ได้ไม่สบายอะไรหรอก หล่อนแค่เหนื่อยน่ะ”

ถึงตอนนี้ฟางจั๋วหรานจะโล่งใจขึ้นมาบ้าง แต่เขาก็ยังกังวลอยู่ดี

งานรอบนี้ของหลินม่ายต้องเหนื่อยแค่ไหนกันนะ ถึงทำให้คนที่ไม่ชอบนอนกลางวันแบบเธอขึ้นไปนอนโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

แม้จะบาดเจ็บนิดหน่อย แต่เธอเป็นเหมือนสตรีเหล็กที่อยู่แนวหน้าได้ตลอดเวลา ต่อให้เจ็บสาหัสก็หยุดยั้งเธอจากการทำงานไม่ได้

ยิ่งฟางจั๋วหรานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไร เขาก็ยิ่งทุกข์ใจขึ้นเท่านั้น เขาไม่มีกะจิตกะใจหั่นเนื้ออีกต่อไป วางมีดทำครัวลงแล้วขึ้นไปหาหลินม่าย

เมื่อเขาเปิดประตูเบา ๆ และเดินเข้าไปในห้องของหลินม่าย เขาก็เห็นว่าเธอนอนอยู่เงียบ ๆ บนเตียง ไม่ขยับเขยื้อนหรือพลิกตัว ราวกับว่ากำลังหลับสนิท

เขาเดินเข้าไปใกล้ วางมือลงบนหน้าผากเธอเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิ

อุณหภูมิร่างกายเธอยังคงเป็นปกติ แสดงว่าเธอไม่ได้ป่วย

หลินม่ายไม่ได้หลับ แค่หลับตาและนอนนิ่ง ๆ เพื่อพักสมอง

เธอลืมตาโพลงทันที คว้าฝ่ามือใหญ่ของฟางจั๋วหรานหมับด้วยสีหน้าซุกซนพร้อมกับร้องตะโกน “ปีศาจที่ไหนกันเนี่ย กล้าดียังไงถึงมารบกวนการพักผ่อนของฉัน!”

เมื่อเห็นว่าเธอยังเล่นตลกได้ ฟางจั๋วหรานก็โล่งใจไปอีกครึ่งหนึ่ง

เขาก้มลงไปจูบเธอที่หน้าผาก “ผมไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นสามีของคุณ”

หลินม่ายหน้าแดงเพราะความเขินอาย

ฟางจั๋วหรานจับมือเล็ก ๆ ของเธอไว้พลางพูดว่า “ถึงการหารายได้จะสำคัญแค่ไหน แต่สุขภาพร่างกายของคุณสำคัญกว่า อย่าโหมงานหนักจนเกินไปสิ”

หลินม่ายสั่นศีรษะ “ฉันเปล่าโหมงานหนักซะหน่อย แต่ถนนหนทางบนเขามันทั้งขรุขระและเป็นหลุมเป็นบ่อ แถมเส้นทางยังยาวมาก ฉันใช้เวลาปั่นจักรยานไปกลับไม่ต่ำกว่าห้าชั่วโมงเลย ร่างแทบจะแหลกอยู่แล้ว ถ้าถนนบนเขาเรียบเหมือนพื้นที่ราบ คุณคิดว่าฉันจะเหนื่อยขนาดนี้หรือเปล่าล่ะ!”

ฟางจั๋วหรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “งั้นผมจะสอนคุณขับรถ คราวนี้ถ้าคุณต้องกลับไปที่ชนบทอีก คุณก็ขับรถจี๊ปของผมไปที่นั่นได้เลย จะไม่เหนื่อยจากการเดินทางมากเกินไป”

หลินม่ายพยักหน้า “ได้ค่ะ”

ชาติที่แล้วเธอมีประสบการณ์ในการขับรถมาเกินสิบปี แทบจะเรียกได้ว่าขั้นเซียน

ถ้าฟางจั๋วหรานสอนเธอขับรถจริง ๆ เธอก็จะแสดงพรสวรรค์ว่าตัวเองเรียนรู้ได้เร็วแค่ไหน ทุกคนต้องประหลาดใจกันหมดแน่

พอนึกถึงเรื่องนี้ เธอก็แอบยิ้มกับความคิดของตัวเองเหมือนคนโง่

ในขณะที่ฟางจั๋วหรานยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อคิดว่าในที่สุดเธอก็จะขับรถเป็นเพราะเขา

ทั้งสองจูบและกอดกันตามประสา แต่แล้วโต้วโต้วกลับวิ่งขึ้นมาที่ชั้นบน และผลักประตูที่เปิดแง้มอยู่ครึ่งหนึ่งเข้าไป

หล่อนโผล่หน้าเข้าไปในห้อง แล้วร้องเรียกด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “แม่จ๋า คุณลุง คุณย่าบอกให้ลงไปกินข้าวเย็นข้างล่างได้แล้วค่ะ” จากนั้นก็วิ่งกลับลงไปที่ชั้นล่างด้วยสองขาสั้น ๆ

หลินม่ายพยายามยันตัวเองลุกขึ้น ทว่าทันทีที่เธอขยับตัว กลับพบว่าขาของตัวเองเหมือนหนักเป็นพันชั่ง ถึงจะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด แต่ก็ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

เมื่อเห็นว่าเธอแสดงความเจ็บปวดออกมาทางสีหน้า ฟางจั๋วหรานก็รีบกดให้เธอนอนลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็ใช้นิ้วจิ้มจมูกเล็กน่ารักของเธอ “คุณนอนบนเตียงต่อไปเถอะ ผมจะเอาอาหารมาป้อนคุณถึงที่”

หลินม่ายยังพยายามยันตัวเองลุกขึ้นให้ได้ “คุณปู่คุณย่าท่านอายุมากแล้วยังกินข้าวด้วยตัวเองได้เลย แต่ฉันกลับนอนเฉย ๆ รอให้คุณเอาอาหารมาป้อนถึงที่ ฉันจะดูเป็นคนยังไงกัน เดี๋ยวฉันลงไปกินข้างล่างเอง”

ฟางจั๋วหรานกดเธอลงไปนอนอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมบอกให้นอนก็นอนเถอะน่า ถ้าคุณไม่ยอมเชื่อฟังดี ๆ ผมจะตีก้นน้อย ๆ ของคุณซะ คุณปู่คุณย่าท่านเป็นคนมีเหตุผล พวกเขาไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้หรอก”

หลังจากนั้นไม่นาน ฟางจั๋วหรานก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับอาหารสำหรับทั้งสองคน

จากนั้นก็ประคองหลินม่ายให้เอนหลังพิงหัวเตียง แล้วป้อนอาหารให้เธอ

ระหว่างที่เธอกำลังเคี้ยว เขาถึงค่อยตักข้าวเข้าปากตัวเอง

เห็นแบบนั้นหลินม่ายก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาเมื่อนึกถึงชาติที่แล้ว ไม่ว่าเธอจะเหนื่อย เจ็บป่วย หรือง่วงนอน เธอก็ต้องจัดการตัวเองตามลำพัง

ตอนนี้เธอเหนื่อยมาก ฟางจั๋วหรานก็คอยดูแลเธอเป็นอย่างดี ทำให้เธอรู้สึกตื้นตันมากกว่าอะไรทั้งหมด

ทันใดนั้นเธอก็ชะโงกหน้าไปจูบฟางจั๋วหราน แล้วมองเขาด้วยรอยยิ้ม

มุมปากฟางจั๋วหรานโค้งขึ้น อดแซวเธอไม่ได้ “ซนจริง ๆ”

หลังมื้ออาหาร หลินม่ายนั่งอยู่บนเตียงเพื่ออ่านหนังสือ ฟางจั๋วหรานเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับขวดน้ำมันดอกคำฝอย พูดกับเธอว่า “คุณทำธุระของตัวเองไปเถอะ ไม่ต้องสนใจผม ผมแค่จะเข้ามานวดคลายเส้นให้คุณด้วยน้ำมันดอกคำฝอย”

พูดจบแล้วเขาก็เดินไปที่เตียงของเธอแล้วนั่งลง ยกผ้านวมผืนบางที่คลุมไว้บนตักออก จากนั้นก็เลิกชายชุดนอนเธอขึ้น ก่อนจะลูบน้ำมันดอกคำฝอยไปแถวบริเวณต้นขา

เมื่อต้องปั่นจักรยานเป็นระยะเวลานาน กล้ามเนื้อต้นขามักจะตึง

หลินม่ายเป็นเหมือนลูกนกที่ตื่นกลัว กดชายกระโปรงเอาไว้แน่น “ดะ… เดี๋ยวฉันทำเองก็ได้”

ฟางจั๋วหรานรู้ว่าเธอเป็นคนขี้อาย จึงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวผมนวดแค่น่องให้แล้วกัน”

หลินม่ายถึงยอมปล่อยมือ แล้วจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือต่อไป

ฟางจั๋วหรานชโลมน้ำมันดอกคำฝอยลงบนน่องทั้งสองข้างของเธออย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เริ่มบีบนวด

น้ำหนักมือในการนวดของเขาอยู่ในระดับที่เหมาะสม ทำให้หลินม่ายรู้สึกสบายตัวมาก

เธอแอบคิดกับตัวเอง ต่อให้ฟางจั๋วหรานไม่ได้เป็นศัลยแพทย์ เขาเบนสายไปเป็นหมอนวดแทนก็ยังรุ่ง

ฟางจั๋วหรานออกแรงนวดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง จนหลินม่ายต้องเป็นคนบอกให้เขาหยุดนวดในที่สุด

ตอนนั้นฟางจั๋วเยวี่ยกำลังพาโต้วโต้วขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปหาแม่ของเธอ ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่หลินม่ายกำลังพยายามเกลี้ยกล่อมฟางจั๋วหรานให้หยุดนวดเสียที

เขาได้ยินหลินม่ายร้องเบา ๆ ตลอดเวลา “เอาล่ะ พอแล้ว หยุดเถอะนะ ขอร้องล่ะ!”

ตามด้วยเสียงอ่อนโยนแต่ทุ้มต่ำของฟางจั๋วหราน “กำลังดีเลย อีกสักนิดเถอะนะ”

ฟางจั๋วเยวี่ยรีบปิดหูสองข้างของโต้วโต้วทันที จากนั้นก็ใช้รักแร้หนีบตัวหล่อนไว้แล้วรีบวิ่งลงมาที่ชั้นล่าง

ไอ้หยา ฉันไม่คิดเลยว่าพี่ชายกับพี่สะใภ้จะทำเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายให้เด็กเข้าใจได้กันในห้อง ดีนะที่ดอกไม้แห่งมาตุภูมิ(1)ไม่ทันได้ยิน

โต้วโต้วกระตุกชายเสื้อของฟางจั๋วเยวี่ยอย่างแรง

ฟางจั๋วเยวี่ยจึงยอมปล่อยมือที่ใช้ปิดหูทั้งสองข้างของเธอไว้

โต้วโต้วถามอย่างงงงวย “คุณอาเล็ก พวกเราเพิ่งขึ้นมาเอง ทำไมลงมากันอีกแล้ว?”

ฟางจั๋วเยวี่ยวางเธอลงกับพื้น “พอดีแม่เขามีเรื่องจะพูดกับอาของหนูน่ะ ดังนั้นอย่าไปรบกวนพวกเขาเลย”

โต้วโต้วขมวดคิ้ว “งั้นใครจะเล่านิทานก่อนนอนให้หนูฟังล่ะ…”

ฟางจั๋วเยวี่ยตบหน้าอกตัวเอง “ก็ต้องเป็นคุณอาเล็กที่แสนฉลาดและทรงพลังของหนูน่ะสิ”

กว่าจะรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปถึงสี่ทุ่มกว่า หลินม่ายปิดหนังสือ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก กำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ

ฟางจั๋วหรานก็ผลักประตูห้องเปิดออกแล้วเดินเข้ามา

หลินม่ายเหลือบมองค้อนเขา “คุณมาอีกแล้วเหรอคะ?”

ฟางจั๋วหรานรีบสาวเท้าไปหยุดอยู่ด้านข้างเธอทันที จากนั้นก็ช้อนร่างเธอขึ้นมาอุ้ม ก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง “ผมจะพาคุณไปอาบน้ำเอง”

ใบหน้าของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับลูกมะเขือเทศ รีบปฏิเสธพัลวัน “ฉันอาบน้ำเองได้”

ฟางจั๋วหรานแอบยกยิ้มมุมปาก

เขาแค่บอกว่าจะพาเธอไปอาบน้ำเท่านั้นเอง ยังไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะช่วยอาบให้ ดูเหมือนเธอเข้าใจเจตนาเขาผิดถนัด หรือว่าเขาพูดอะไรผิดไปกันแน่?

เมื่อฟางจั๋วหรานเดินไปจนถึงหน้าประตูห้องพร้อมกับหลินม่ายที่อยู่ในอ้อมแขน หลินม่ายก็นึกอะไรที่สำคัญขึ้นมาได้ “ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย!”

ฟางจั๋วหรานจึงต้องพาเธอไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่

หลินม่ายเปิดประตูตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนและชุดชั้นในออกมาจากข้างในตู้

จากนั้นฟางจั๋วหรานก็พาเธอไปที่ห้องน้ำ

เขาเตรียมน้ำสำหรับอาบเอาไว้ให้เธอแล้ว

ทันทีที่ไปถึงห้องน้ำ เขาก็วางร่างหลินม่ายให้นั่งลงบนเก้าอี้ข้างอ่างอาบน้ำ ก่อนที่ตัวเองจะนั่งลงตาม แสร้งทำเป็นเอื้อมมือไปช่วยเธอถอดกระโปรงออก

หลินม่ายจับขอบกระโปรงตัวเองเอาไว้แน่นด้วยความประหม่า ละล่ำละลักขอร้อง “ไม่เอา!”

ฟางจั๋วหรานแค่อยากแกล้งเธอเท่านั้น ไม่ได้คิดจะถอดกระโปรงให้เธอจริง ๆ ถึงแม้ว่าใจจริงจะอยากทำแบบนั้นมากแค่ไหนก็เถอะ

เขาลูบศีรษะน้อย ๆ ของเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “งั้นผมขอออกไปก่อนนะ ถ้าอยากได้อะไรให้เรียกได้เลย ผมจะรออยู่ข้างนอก”

หลินม่ายพยักหน้าอย่างเขินอาย

เมื่อฟางจั๋วหรานออกไปแล้ว เธอถึงค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าตัวเองออก แล้วหย่อนตัวลงไปในอ่างอาบน้ำช้า ๆ

อ่างอาบน้ำมีขนาดใหญ่มาก ปริมาณน้ำจึงมากตามไปด้วย ระดับอุณหภูมิที่พอเหมาะทำให้การแช่ตัวผ่อนคลายยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ

วิลล่าหลังนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคสาธารณรัฐจีน ในห้องน้ำไม่มีการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น

ยุคสมัยนี้ในประเทศจีนยังไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นขาย ดังนั้นห้องน้ำตามบ้านทั่วไปจึงไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น

ทุกครั้งที่จะอาบน้ำ คนในบ้านต้องต้มน้ำแล้วผสมกับน้ำอุณหภูมิปกติในอ่าง

เมื่อนึกว่าฟางจั๋วหรานต้องแบกหม้อต้มน้ำร้อนขึ้นมาเติมลงอ่างอาบน้ำจนกระทั่งปริมาณเพียงพอ หลินม่ายก็รู้สึกถึงความหวานล้ำราวกับได้ดื่มน้ำผึ้ง

ผู้ชายคาดหวังว่าหญิงสาวอันเป็นที่รักจะเข้าครัวทำอาหารให้ตัวเองกิน ผู้หญิงก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้รับการดูแลจากฝ่ายชายเช่นเดียวกัน

ความรักที่หล่อหลอมขึ้นจากความเสียสละของทั้งสองฝ่าย นับเป็นสิ่งที่หอมหวานที่สุดแล้ว

ฟางจั๋วหรานยืนพิงผนังด้านนอกห้องน้ำรอเธอนานกว่าครึ่งชั่วโมง

จนกระทั่งเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ถึงเขาจะไม่รู้ว่ากระบวนการอาบน้ำของหญิงสาวต้องใช้เวลานานแค่ไหน แต่เขาจำได้ว่าเธอใช้เวลาอาบน้ำจนเสร็จไม่เกินครึ่งชั่วโมง

นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่แปลกที่สุด ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือเขาแทบไม่ได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้นดังมาจากในห้องน้ำเลย

เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ร้องเรียกชื่อหลินม่ายผ่านทางประตูสองสามครั้ง แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับจากข้างใน

หัวใจของเขาจมดิ่งลงทันที สารพัดความคิดแย่ ๆ พลันพรั่งพรูเข้ามา

เขารีบหมุนลูกบิดเพื่อเปิดประตู ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกกับสิ่งที่เห็น

แฟนสาวของเขายังคงสบายดี แต่เธอเพิ่งจะผล็อยหลับไปในอ่างอาบน้ำ

เขาเดินเข้าไปเรียกเธอเบา ๆ สองสามครั้ง

ปรากฏว่าแฟนสาวของเขานอนหลับสนิทจนไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบสนองเลย

เขาลองแตะน้ำในอ่างดู พบว่ามันเย็นจนเกือบจะเป็นอุณหภูมิปกติ ไม่สามารถนอนแช่ได้อีกต่อไป

ฟางจั๋วหรานเพิ่มระดับเสียงขึ้นแล้วเรียกชื่อเธออีกหลายครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าหลินม่ายก็ยังไม่ตอบสนอง

ตอนแรกเขาลังเล แต่หลังจากนั้นก็ตัดสินใจเคลื่อนไหวอย่างกล้าหาญ

นั่นคือการอุ้มหลินม่ายออกมาจากอ่างอาบน้ำ แล้วพาไปส่งถึงห้องนอนของเธอโดยตรง

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาว ช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติและงดงามมาก

เสียอย่างเดียว… หน้าอกเล็กไปหน่อย

ถึงอย่างนั้นข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจกลบข้อดีทั้งหมด จุดอื่นของเธอยังสวยงาม จนทำให้ร่างกายเขาเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง

เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ชอบให้เขาใช้กำลังโดยที่เธอไม่ยินยอม ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่… อดทน…

เขาวางร่างหญิงสาวลงบนเตียง จากนั้นก็หยิบผ้าขนหนูแห้งมาซับหยดน้ำที่พร่างพรายบนตัวเธอ

แต่แล้วจู่ ๆ หลินม่ายก็เบิกตาโพลงราวกับนกฮูก

ตรงจังหวะกับตอนที่ผ้าขนหนูในมือของฟางจั๋วหรานเลื่อนไปซับน้ำตรงหน้าอกเธอพอดี

สองหนุ่มสาวจ้องตากัน อากาศในห้องเย็นเยียบลงภายในพริบตา

………………………………………………………………………………………………………………

ดอกไม้แห่งมาตุภูมิ คือเด็กน้อยที่จะเติบโตขึ้นเป็นอนาคตของชาติ

สารจากผู้แปล

อกเล็กก็เซ็กซี่ได้นะคะพี่หมอ

โอ่ยยย จังหวะนรกอะไรเช่นนี้

ไหหม่า(海馬)