ตอนที่ 550 เผลอหลับในอ่างอาบน้ำ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 550 เผลอหลับในอ่างอาบน้ำ

ทันทีที่หลินม่ายได้สติคืนมาจากความตื่นตระหนก ปฏิกิริยาแรกของเธอคือเปล่งเสียงร้องลั่นสะเทือนโลกา

ฟางจั๋วหรานไม่รอให้เสียงปลุกวิญญาณนั้นเล็ดลอดออกมาจากปากเธอ รีบปิดปากเธอไว้ด้วยความเร็วดุจสายฟ้า

ทำให้เสียงร้องนั้นอู้อี้อยู่ภายใต้ฝ่ามือเขา

ไม่อย่างนั้นถ้าคุณปู่คุณย่าได้ยินเสียงแล้วรีบวิ่งพรวดเข้ามา เหตุการณ์จะยิ่งคลุมเครือจนอธิบายได้ยาก

นอกจากนั้นเขายังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขากดร่างหลินม่ายลงไปนอนราบกับเตียงทันที พร้อมกับกดทับเธอไว้ไม่ให้เธอลุกไปไหนได้

หลินม่ายใช้ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความโกรธจ้องเขม็งมองเขา

ฟางจั๋วหรานรู้สึกถึงความกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที

ตอนแรกเขากลัวว่าจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้คุณปู่คุณย่าฟังไม่ได้ แต่ตอนนี้เขากลับไม่สามารถอธิบายเรื่องทั้งหมดให้แฟนสาวเข้าใจเสียเอง!

แต่ถ้าเขาไม่อธิบายอะไรให้ชัดเจนเลยก็คงไม่ได้ ดังนั้นจึงพูดว่า “ถ้าบอกว่า… ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับคุณ คุณจะเชื่อหรือเปล่า?”

หลินม่ายอ้าปากค้าง ทำได้แค่สื่อสารในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะพูดด้วยดวงตากลมโตคู่งามที่กลอกมองไปมา

‘คุณเอาตัวมาทับฉันไว้แบบนี้ ยังกล้าบอกว่าตัวเองไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นอีกเหรอ? เห็นฉันเป็นคนโง่หรือไงกัน!’

เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีวี่แววว่าจะเชื่อ เขาก็เลยเริ่มเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น

จากนั้นก็พูดด้วยความไร้เดียงสา “ผมไม่มีเจตนาจะคิดเกินเลยกับคุณจริง ๆ ที่อุ้มคุณออกมาจากอ่างน้ำทั้งแบบนี้ก็เพราะกลัวคุณจะเป็นหวัดจากการแช่น้ำเย็นนาน ๆ นี่มันฤดูใบไม้ร่วงนะ ไม่ใช่ฤดูร้อน”

หลินม่ายพยายามดิ้นรนและสะอื้นไห้

ฟางจั๋วหรานถาม “มีอะไรอยากพูดอีกไหม?”

ตอนนี้หลินม่ายทำไม่ได้แม้แต่ผงกหัวด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงหลับตาปี๋

“ผมปล่อยก็ได้ แต่คุณอย่าร้องเอะอะเชียวนะ”

หลินม่ายหลับตาปี๋อีกครั้ง

หลังจากนั้นฟางจั๋วหรานก็ใช้มือใหญ่ปิดปากเธอไว้ก่อนเพื่อเป็นการป้องกัน แล้วขยับลงจากร่างของเธอโดยดี

หลินม่ายรีบลุกไปหยิบผ้าห่มนวมผืนบางมาห่อไว้รอบตัว ก่อนจะชี้ไปทางประตูพลางออกคำสั่งเสียงต่ำ “ออกไป!”

ฟางจั๋วหรานเห็นว่าใบหน้าเธอแดงก่ำ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโกรธหรือความเขินอาย ดังนั้นเขาจึงต้องถอยออกมา

ยิ่งเขายืนกรานว่าจะอยู่ แบบนั้นอาจทำให้หลินม่ายยิ่งอับอายมากขึ้น คงต้องปล่อยให้อารมณ์เธอมั่นคงกว่านี้

ภายในห้องจึงเหลือแค่หลินม่าย เธอลุกขึ้นไปหยิบชุดนอนกับชุดชั้นในชุดใหม่จากในตู้มาสวมใส่ จากนั้นก็มุดร่างตัวเองเข้าไปซุกอยู่ภายใต้ผ้าห่มอีกครั้ง

แต่ผ้าห่มนวมอับร้อนเกินไป ไม่ถึงห้านาทีเธอก็โผล่ศีรษะเล็ก ๆ ออกมาจากผ้าห่ม จ้องมองเพดานด้วยอารมณ์เศร้าหมองว่างเปล่าเหมือนอยากตาย

คืนนี้ฉันปล่อยให้ฟางจั๋วหรานเห็นร่างกายทุกสัดส่วนของฉันแล้ว งั้นพรุ่งนี้ฉันจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรดีล่ะ

น่าอายเป็นบ้า

ฉันแช่น้ำในอ่างจนหลับลึกขนาดนั้นได้ยังไงกัน?

หลินม่ายอยากตีอกชกหัวตัวเองหลาย ๆ ครั้ง

เธอนอนอยู่บนเตียง กลิ้งจากหัวเตียงไปปลายเตียงอยู่สักพัก แล้วก็กลิ้งจากปลายเตียงขึ้นมาตรงหัวเตียงใหม่ กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นานจนในที่สุดก็ผล็อยหลับไป

ในขณะเดียวกันฟางจั๋วหรานกลับข่มตานอนไม่หลับ ภาพเรือนร่างของหลินม่ายที่เปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมแขนเขาฉายวนในใจซ้ำ ๆ

อยากกินสาวน้อยเหลือเกิน อยากกินจริง ๆ!

ทางด้านฟางจั๋วเยวี่ยหลับสนิท ถึงอย่างนั้นเขาก็ฝันดีตลอดทั้งคืน

ในความฝัน เขากำลังตามจีบผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพี่เถา!

รุ่งเช้าเขาสะดุ้งตื่นจากความฝัน ก่อนจะมึนงงกับตัวเองอยู่นาน

ไอหยา! ทำไมฉันต้องฝันถึงพี่เถาตลอดทั้งคืนอีกแล้ว ในฝันฉันยังไปกวนประสาทหล่อนอีก!

เขาไม่ได้ดูถูกหรือด้อยค่าผู้หญิงที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว แค่รู้สึกว่ามันออกจะแปลกอยู่สักหน่อย เขาเคยติดต่อกับเถาจืออวิ๋นแค่สองสามครั้งเท่านั้นเอง แล้วทำไมหล่อนถึงมาปรากฏตัวในความฝันของเขาได้?

อาจเป็นเพราะถึงเวลาแล้วที่เขาอยากมีใครสักคน อยากพัฒนาความรักร่วมกัน รวมถึงอยากแต่งงาน

เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไป อายุอานามเลยวัยยี่สิบมาสองสามปี

เพื่อนร่วมงานบางคนที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาเป็นพ่อคนแล้วด้วยซ้ำ

พอหลินม่ายตื่นขึ้นในตอนเช้า เธอก็จำได้ทันทีว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นจึงไม่มีความกล้าแม้แต่จะลุกขึ้นจากเตียง

หลังจากฝืนบังคับจิตใจอยู่นาน เธอก็กระโดดดึ๋งขึ้นจากเตียงราวกับปลาคาร์ฟ

ระหว่างนั้นก็คิดปลอบใจตัวเองไปด้วย ไม่ช้าก็เร็วเธอก็ต้องแต่งงานกับฟางจั๋วหราน ถ้าเขาจะเห็นเรือนร่างของเธอก่อนก็ไม่สำคัญหรอก

เธอพยายามอัดฉีดความมั่นใจให้ตัวเองไปพลาง ๆ แล้วเดินออกมาจากห้องอย่างกล้าหาญ

ทันทีที่เปิดประตูออกไปก็เห็นฟางจั๋วหรานมายืนจ่อรออยู่หน้าประตู ใบหน้าจึงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเหมือนลูกมะเขือเทศอีกครั้ง

ฟางจั๋วหรานถามอย่างอ่อนโยน “เมื่อคืนนอนหลับสบายไหม?”

หลินม่ายตอบรับคำถามของเขาอย่างลวก ๆ แล้วรีบเบี่ยงตัวเดินเข้าห้องน้ำไป

หลังจากอาบน้ำล้างตัวเรียบร้อยแล้ว เมื่อออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าฟางจั๋วหรานยังคงรออยู่ข้างนอก

ใบหน้าของเธอซึ่งเพิ่งกลับเป็นปกติก็กลายเป็นสีแดงอีกครั้ง และหูของเธอก็ไหม้อย่างรุนแรงจนเธออายเกินกว่าจะมองหน้าเขา

ฟางจั๋วหรานชอบเวลาที่เธอทำท่าทางเขินอาย มันน่ารักมากจนหยุดมองไม่ได้ จากนั้นก็ถาม “ขาของคุณยังปวดอยู่หรือเปล่า?”

หลินม่ายเลื่อนสายตาไปมองข้างล่างข้างบนเฉซ้ายเฉขวา แต่พยายามไม่มองสบตาเขา ตอบด้วยเสียงกระซิบ “ไม่ปวดแล้วค่ะ”

ความจริงเธอยังปวด ๆ อยู่นิดหน่อย แต่เธอไม่อยากบอกเขาไปตามตรง เพราะกลัวว่าเขาจะอาสานวดน้ำมันให้เธออีก

ถ้าพวกเขาทั้งสองได้สัมผัสใกล้ชิดกันอีกครั้ง กลัวว่าคราวนี้คงเผลอฆ่ากันตายไปข้าง

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “งั้นก็ดีแล้ว”

หลินม่ายถอนหายใจยาว

แต่แล้วก็ได้ยินฟางจั๋วหรานพูดเสริมอีกประโยคหนึ่ง “ถึงจะไม่ปวดแล้ว แต่ก็ยังต้องนวดบรรเทาเพื่อคลายเส้นเอ็น กลับไปที่ห้องเถอะ เดี๋ยวผมจะนวดน้ำมันดอกคำฝอยให้”

หลินม่ายปฏิเสธเสียงราบเรียบ “ฉันทำเองได้”

หลังจากนั้นเธอก็วิ่งกลับเข้าไปในห้องนอนตัวเอง ชโลมน้ำมันดอกคำฝอยลงบนต้นขา ก่อนจะลงไปชั้นล่างเพื่อกินข้าวมื้อเช้า

อาหารเช้าวันนี้มีเกี๊ยวนึ่งที่ซื้อมาจากร้านเปาห่าวซือของหลินม่าย และโจ๊กไก่ใส่เห็ดที่ฟางจั๋วหรานเป็นคนลงมือเข้าครัวทำด้วยตัวเอง

เขารู้ว่าหลินม่ายชอบกินโจ๊กเป็นมื้อเช้า จึงไม่ลืมใส่ผักโขมของโปรดเธอลงไปในหม้อต้มโจ๊กด้วย

เมื่อเขายื่นชามโจ๊กไก่ใส่เห็ดให้หลินม่าย มือทั้งสองเผอิญเลื่อนมาสัมผัสกันพอดี

หลินม่ายรีบดึงมือออกราวกับถูกไฟฟ้าช็อต

ทุกคนสงสัยกับพฤติกรรมของเธอมาก

หลินม่ายหมั้นหมายกับฟางจั๋วหรานแล้ว ไม่มีใครคิดว่าจนถึงตอนนี้แล้วเธอยังขี้อายไม่เข้าเรื่องอยู่อีก จึงคิดไปว่าฟางจั๋วหรานคงจะเผลอทำโจ๊กลวกมือเธอโดยไม่ตั้งใจ

คุณย่าฟางชี้ปลายตะเกียบไปที่ฟางจั๋วหรานพร้อมกับตำหนิ “เธออายุเกือบจะสามสิบอยู่แล้วนะ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้ทำไมถึงไม่รู้จักใส่ใจระวัง”

ฟางจั๋วหรานไม่คิดจะอธิบาย ได้แต่ยิ้มรับ

ฟางจั๋วเยวี่ยหันไปมองพี่ชายตัวเองสลับกับมองหลินม่ายด้วยความประหลาดใจ

หลังมื้ออาหาร หลินม่ายก็เดินทางไปทำงานที่โรงงาน

เมื่อเห็นว่าเธอเหมือนตกอยู่ในภวังค์ตลอดเวลา เถาจืออวิ๋นจึงถามว่าเธอเป็นอะไรไป

หลินม่ายดึงแขนหล่อนเข้าไปในห้องทำงานของตัวเองทันที จากนั้นก็ปิดประตู นั่งลงบนโซฟา แล้วเล่าเรื่องน่าอับอายที่ตัวเองประสบเมื่อคืนนี้ให้ฟัง

เธอเกิดเป็นมนุษย์มาสองชาติแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพบเจอกับสถานการณ์แบบเมื่อคืนนี้ เป็นธรรมดาที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

หลังจากเถาจืออวิ๋นได้ยินแบบนั้น หล่อนก็ก้มหน้าลงและหัวเราะคิกคัก ถามด้วยความสงสัย “แค่นี้เองเหรอ? ไม่มีอย่างอื่นแน่นะ”

หลินม่ายมองค้อนด้วยสีหน้าไม่พอใจไปที่อีกฝ่าย ถามกลับว่า “พี่หมายความว่ายังไง?”

ทันใดนั้นเถาจืออวิ๋นก็ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อครู่ “ขาเธอเจ็บไม่ใช่เหรอ?”

หลินม่ายรู้สึกสับสน “พี่รู้ได้ยังไงว่าฉันเจ็บขา?”

เธอยังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ตัวเองปวดขาให้อีกฝ่ายฟังเลย

เถาจืออวิ๋นขยิบตาให้ด้วยท่าทางที่เข้าใจกัน “มิน่าล่ะวันนี้ท่าเดินเธอถึงได้ดูแปลก ๆ ที่แท้ขาเธอก็เจ็บจากเหตุการณ์เมื่อวานนี่เอง”

ถ้าหลินม่ายเป็นแค่เด็กสาวแรกรุ่นอายุสิบแปดจริง ๆ เธอคงไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเถาจืออวิ๋นแน่

แต่เธอไม่ใช่น่ะสิ

ถึงเธอจะเคยแต่งงานก็จริง แต่นั่นเป็นแค่การแต่งงานในนาม ไม่มีประสบการณ์ทำนองนั้นอยู่ในชีวิตแต่งงานเลยแม้แต่น้อย

แต่เธอไม่เคยกินหมูก็ใช่ว่าไม่เคยเห็นหมู ดังนั้นจึงรู้ทุกอย่างที่ควรจะรู้

ฉะนั้นอาการปวดขาในความหมายของเถาจืออวิ๋นก็คงไม่ได้หมายถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากการปั่นจักรยานเป็นเวลานาน แต่เป็นเพราะแง่มุมนั้นต่างหาก

เธอชำเลืองมองเถาจืออวิ๋นแล้วอธิบาย “ที่ท่าเดินของฉันดูแปลก เพราะเมื่อวานฉันปั่นจักรยานขึ้นเขาลงเขานานกว่าห้าชั่วโมง จะไม่ให้ฉันรู้สึกร้าวไปทั้งขาได้ยังไง”

เถาจืออวิ๋นเหมือนไม่ค่อยเชื่อในเหตุผลของเธอนัก ถามยิ้ม ๆ “จริงเหรอ?”

หลินม่ายพูดไม่ออก “หรือจะให้ฉันแยกขาให้พี่ดูไหมล่ะ?”

พูดจบแล้วเธอก็ยืนขึ้น ค่อย ๆ กางขาออกทีละน้อยภายใต้การจ้องมองของเถาจืออวิ๋น ก่อนจะนั่งลงกับพื้นจนอีกฝ่ายมองเห็นเส้นเอ็นที่ปูดโปนผิดธรรมชาติของเธอ

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ

เถาจืออวิ๋นแสดงสีหน้าประหลาดใจ “เธอสองคนยังไม่ไปถึงขั้นนั้นจริง ๆ ด้วย ศาสตราจารย์ฟางไม่ทำอะไรแบบนั้นจริงเหรอเนี่ย? ได้ยินว่าถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้ว แต่กลับไม่ล่วงเกินเธอสักนิดเนี่ยนะ?”

เพื่อนรักกลายเป็นเพื่อนร้ายทันที หล่อนเคยหย่าร้างมาก่อน ในตอนนี้จึงเชียร์ให้เพื่อนเสียพรหมจรรย์เหมือนตัวเอง

ภาพการตกหลุมรักและการทะเลาะเบาะแว้งเหมือนจะฆ่ากันตาย กลายเป็นสิ่งที่หล่อนทนเห็นไม่ได้อีก

หลินม่ายลุกขึ้นจากพื้น ตบฝุ่นบนร่างกายตัวเองและจ้องมองไปทางเพื่อนรุ่นพี่ “ใช่ว่าเขาไม่อยากล่วงเกินหรอก แต่เขากำลังควบคุมตัวเองอยู่ต่างหาก”

เถาจืออวิ๋นยิ้มพร้อมกับตบไหล่เธอ “ดีแล้วที่เธอปกป้องตัวเองก่อนแต่งงาน ถ้าเธอปล่อยให้ฝ่ายชายตักตวงความสุขเอาง่าย ๆ หลังแต่งงานเขาอาจไม่สนใจเธออีก”

ถึงหลินม่ายจะรู้ดีว่าฟางจั๋วหรานไม่ใช่คนประเภทนั้น แต่เธอก็ยังพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม

สิ่งที่คาดเดาไม่ได้ที่สุดคือใจคน

คนที่เคยประเสริฐเลิศเลอในตอนนี้ ใครรับประกันได้บ้างว่าในอนาคตเขาจะยังดีเหมือนเดิม?

เธอรินชาสองถ้วยให้ตัวเองกับเถาจืออวิ๋นคนละถ้วย จากนั้นก็ยืนเท้าโต๊ะแล้วถาม “หลิวหย่งเจียงยังรบกวนพี่อยู่หรือเปล่า?”

เถาจืออวิ๋นถือถ้วยชาไว้ในมือพลางส่ายหน้า “ไม่แล้ว ฉันบอกเขาไปตามตรงว่าอย่ารบกวนชีวิตอันสงบสุขของฉันเลย เขาก็ขอโทษที่ทำให้ฉันลำบากใจ โชคดีที่เขาเป็นคนมีมารยาทและเข้าใจง่าย”

หลินม่ายพยักหน้า “ดีแล้วล่ะ”

ทันใดนั้นเถาจืออวิ๋นก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเย้ยหยัน แล้วเล่าเรื่องบางอย่างที่ชวนโกรธเคืองให้หลินม่ายฟัง

สองวันก่อน หม่าเทาซมซานกลับมาหาหล่อนอีกครั้ง

หลินม่ายถามด้วยความกังวล “อย่าบอกนะว่าเขามาตื๊อพี่อีกแล้ว”

“เปล่า รอบนี้เขาเล่าความจริงให้ฉันฟังหลายอย่างแบบจริงจัง จากนั้นก็บอกว่าลูกชายฉันอาจขาดความอบอุ่นถ้าไม่มีพ่อ เขาเลยขอให้ฉันแต่งงานใหม่ ฉันไม่อยากฟังเขาพูดไร้สาระ ก็เลยบอกให้เขาเลิกยุ่งกับฉันซะ ลองเดาสิว่าเขาพูดอะไร”

หลินม่ายแกล้งถามอย่างให้ความร่วมมือ “เขาว่ายังไงเหรอ?”

“เขาบอกว่าถ้าฉันไม่กลับไปแต่งงานกับเขาก็ไม่เป็นไร แต่เขาอยากขอฉีฉีคืน ถึงยังไงนั่นก็เป็นลูกชายของเขาเหมือนกัน”

หลินม่ายพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ก่อนที่เขาจะหย่ากับพี่ ทำไมถึงไม่คิดว่าฉีฉีเป็นลูกชายของตัวเองบ้าง เพิ่งจะมาตรัสรู้เอาตอนนี้หรือไง? ฉันคิดว่าเขาแค่อยากใช้ฉีฉีเป็นเครื่องมือเพื่อที่เขาจะได้รีดไถเงินจากพี่มากกว่า”

เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ต่อให้หม่าเทาจะไม่มีความคิดอะไรทำนองนั้น ฉันก็ไม่มีวันยกฉีฉีให้เขาอยู่ดี เพราะเขาไม่คู่ควรกับการเป็นพ่อใครทั้งนั้น แต่สัตว์ร้ายหม่ากลับข่มขู่ฉันว่า ถ้าฉันไม่ยอมยกฉีฉีให้เขา เขาจะไปฟ้องศาลเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูฉีฉี”

หลินม่ายตบแขนหล่อนเบา ๆ “งั้นพี่ก็ไล่ให้เขาไปฟ้องศาลเลย ตอนนี้เขาไม่มีงานการที่มั่นคงทำ ไม่มีแม้กระทั่งบ้านให้ซุกหัวนอน ไม่มีแหล่งรายได้ พวกเขาทั้งสามคนไม่มีความสามารถหรือกำลังในการเลี้ยงดูเด็กด้วยซ้ำ แล้วศาลจะยอมยกสิทธิ์การเลี้ยงดูฉีฉีให้เขาได้ยังไง”

เห็นได้ชัดว่าเถาจืออวิ๋นไม่ค่อยรู้ข้อกฎหมายมากนัก หลังจากได้ยินคำพูดของหลินม่าย หล่อนก็รู้สึกโล่งใจมาก “อย่างนั้นก็ดี ฉันกังวลเรื่องนี้จนข่มตานอนไม่หลับมาสองคืนแล้ว แม้แต่จะกินข้าวยังกินไม่ลง”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สถานการณ์ชวนเข้าใจผิดจริงๆ เลย

สัตว์ร้ายแซ่หม่านั่นจะมีน้ำยาอะไรเลี้ยงลูกได้ ฟ้องเท่านั้นค่ะ

ไหหม่า(海馬)