บทที่ 499 ฝันร้าย
บทที่ 499 ฝันร้าย
หลินซือยืนอยู่หน้าประตูมานานพอสมควรแล้ว ครั้นรู้สึกอยากจะเคาะประตูก็กลัวว่าจะรบกวนผู้อื่น หลังจากลังเลอยู่นาน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงหายใจหอบถี่ของเจี่ยงเถิง
หลินซือไม่สนใจอีกต่อไป นางรีบเคาะประตูโดยพลันและตะโกนเรียกเจี่ยงเถิงให้เปิดประตู
ไม่นานประตูก็เปิดออก หลินซือค่อย ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ แต่เมื่อเห็นใบหน้าอันขาวซีดของเจี่ยงเถิงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ หลินซือจึงกลับมาเป็นกังวลอีกครั้ง
“พี่อาเถิง ท่านเป็นอะไรไป?” หลินซือหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดใบหน้าของเด็กหนุ่ม
แต่จู่ ๆ เจี่ยงเถิงก็กุมมือของเด็กสาวไว้ จ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา
หลินซือที่ถูกกอบกุมเช่นนั้นพลันรู้สึกเขินอายเล็กน้อย จึงเอ่ยถามขึ้น “เป็นอะไรไป? ป่วยหรือไม่?”
“ข้าฝันร้าย” เจี่ยงเอ่ยขึ้นเบา ๆ พลางพาหลินซือเข้าไปในห้อง
หลินซือรู้สึกงุนงงเล็กน้อยที่ถูกพาเข้าไปในห้อง
ในท้ายที่สุด ภาพลักษณ์ของเจี่ยงเถิงในหัวใจของนางก็อยู่ระดับเดียวกันกับบิดาผู้ที่สามารถทำได้แทบทุกอย่าง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งตกใจเพราะฝันร้ายก็ส่งผลกระทบอย่างมาก
แต่ความฝันก็แสดงถึงเรื่องราวในวันนี้ได้น่ากลัวมากจริง ๆ
“พี่อาเถิง ฝันร้ายอะไรหรือ” หลินซือเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
เจี่ยงเถิงมองตาเด็กสาว ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ก่อนรินน้ำจับเลี้ยงให้ตนเอง
หลินซือเข้าใจแล้ว ว่าความฝันนั้นต้องเกี่ยวกับตนเองแน่ ๆ
ในตอนที่กลับมา อารมณ์ของเจี่ยงเถิงก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ต้องเป็นเพราะเรื่องที่ตนเองวิ่งเพ่นพ่านจนทำให้พี่อาเถิงตกใจเป็นแน่
พี่อาเถิงเจียดเวลาจากงานที่แสนยุ่งพาตนเองออกมาเที่ยวเล่น แต่ตนเองกลับทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วงเสียได้
หลินซือรู้สึกผิดทันที เด็กสาวก้มหน้าลงและเอ่ยขึ้นด้วยความจริงใจ “พี่อาเถิง ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่เชื่อฟังคำพูดของท่าน ไม่ควรวิ่งเพ่นพ่าน แล้วยังโกหกท่านอีก”
“ไม่” เจี่ยงเถิงดื่มน้ำจับเลี้ยงหนึ่งถ้วย “เป็นความผิดของข้าเอง ข้าอวดดีเกินไป”
“ไม่ใช่นะ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า!” หลินซือมองดูท่าทางที่หดหู่ของเจี่ยงเถิงจนใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ “ล้วนเป็นเพราะข้าไม่เชื่อฟัง ตั้งแต่เด็กจนโต ล้วนเป็นท่านที่จัดการเรื่องยุ่ง ๆ ให้ข้า ข้าเอาแต่สร้างปัญหาเสมอ มันเป็นความผิดของข้าเอง”
นางมีความฉลาดตั้งแต่เล็ก ๆ แต่สมองของนางก็เหมือนกับไม้ไผ่หนึ่งปล้อง จะกล่าวอย่างไรดีเล่า? นางสามารถทำให้คนที่ทำร้ายนางเสียใจและปล่อยให้พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานได้ แต่ยามอยู่ต่อหน้าเจี่ยงเถิง นางก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยคนหนึ่ง
“อาซือ” เจี่ยงเถิงถอนหายใจอีกครั้ง ค่อย ๆ กอดหลินซือไว้ในอ้อมแขน “เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ ที่ต้องปกป้องน้องสาว ข้าไม่ใช่พี่ของเจ้าหรืออย่างไร?”
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่นะ…”
หลินซือซบศีรษะในอ้อมแขนของเจี่ยงเถิง และพูดสามคำนี้ซ้ำ ๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมาว่าในท้ายที่สุดมันหมายความว่าอะไร
เจี่ยงเถิงกอดหลินซือที่กำลังร้องไห้จนร่างกายสั่นเทิ้มไว้ และไม่ได้ถามอะไรออกไป
“พี่อาเถิง” ในที่สุดหลินซือก็ร้องไห้พอแล้ว ตอนที่เด็กสาวลุกขึ้น หน้าอกของเจี่ยงเถิงก็เปียกชุ่มไปหมด
“ระบายออกมาพอแล้วหรือ?” เจี่ยงเถิงเห็นหลินซือสงบลง จึงเริ่มหยอกล้อนาง “ดีนะที่เตรียมเสื้อมามากกว่าหนึ่งตัว ไม่เช่นนั้นล่ะก็ต้องได้ใส่เสื้อเปียก ๆ ตัวนี้เสียแล้ว”
หลินซือหัวเราะพร้อมน้ำตา ก่อนเอ่ยขึ้นมาแผ่วเบา “ข้าเองก็มีนะ ถ้าจะให้ท่านใส่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
เจี่ยงเถิงรู้สึกขอบคุณแต่ไม่อาจรับไว้ เขาเช็ดน้ำตาให้กับหลินซือ “รีบไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ยังต้องเที่ยวอีกตั้งหนึ่งวันนะ”
หลินซือไม่เต็มใจที่จะจากไป เจี่ยงเถิงมองดูอีกฝ่ายด้วยความสงสัย “เป็นอะไรไป?”
“ข้า…เมื่อกี้ข้าเองก็ฝันร้าย” หลินซือพูดขึ้นเบา ๆ
การแสดงออกของเจี่ยงเถิงดูเคร่งขรึมขึ้น แต่น้ำเสียงยังคงผ่อนคลาย เด็กหนุ่มถามขึ้นอย่างสบายใจ “ฝันร้ายอย่างไร?”
การแสดงออกของหลินซือยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกขอโทษ แต่ว่าด้วยคำถามของเจี่ยงเถิงนางจึงพูดต่อไป “ข้าฝันถึงเห็นเรื่องการบูชายัญ สัตว์ที่ถูกบูชายัญพวกนั้นล้วนไล่ตามข้ามา ข้าวิ่งหนีไม่หยุด น่ากลัวมาก ๆ”
เจี่ยงเถิงยิ้ม “เช่นนี้น่ะหรือ ตอนนั้นข้าถาม เจ้าก็บอกว่าไม่กลัวไม่ใช่หรือ?”
“ตอนนั้นข้าไม่ได้กลัวนะ!” หลินซือหลินซือมองตาเจี่ยงเถิงด้วยความระมัดระวัง “พี่อาเถิง ข้านอนกับท่านจะได้ไหม เช่นนั้นข้าจะได้ไม่ฝันร้าย”
ภายในหนึ่งวันเจี่ยงเถิงผิดคำพูดของตนเองสองรอบแล้ว
อาซือนอนกับเด็กหนุ่มแล้วนางจะไม่ฝันร้าย แต่ว่าฝันของเด็กหนุ่มไม่แน่นอนเสียแล้ว
ถึงแม้ตอนเด็ก ๆ พวกเขาจะร่วมเตียงเดียวกัน แต่เวลานั้นต่างก็เป็นเด็กที่ยังไร้เดียงสา ตอนนี้อาซือผ่านพิธีปักปิ่นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้
โดยเฉพาะถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไร แต่ถ้าหากว่าท่านอาซู หลินจื้อ รวมไปถึงมารดาของตนรู้เรื่องนี้เข้า เจี่ยงเถิงรับประกันได้ว่าเขาจำต้องแบกรับผลที่ตามมาเป็นแน่แท้
“พี่อาเถิง ได้ไหมเจ้าคะ?” หลินซืออ้อนวอน
ลูกกระเดือกของเจี่ยงเถิงขยับ ถ้าหากไม่ใช่หลินซือที่พูดกับตน เขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายกำลังยั่วยวนตนเองอยู่แน่ ๆ
แต่ติดที่ว่าอีกฝ่ายเป็นหลินซือ เมื่อจ้องตาของนางแล้ว เจี่ยงเถิงก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายมองตนเป็นความสบายใจเท่านั้น มองว่าตนเป็นพี่ชายที่คอยบังลมและฝนให้
“อาซือ” เจี่ยงเถิงเอ่ยขึ้นด้วยความยากลำบาก แต่ตัดสินใจว่าจะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ “เจ้าก็โตแล้ว ทั้งยังผ่านพิธีปักปิ่นมาแล้ว พวกเราไม่สามารถนอนด้วยกันได้”
เดิมทีหลินซือที่รู้สึกหวาดกลัวจึงมาหาเด็กหนุ่มเพียงเท่านั้น เมื่อถูกดึงสติกลับมาใบหน้าพลันขึ้นสีแดง เอ่ยขึ้นตะกุกตะกัก “อ๋อ…ได้สิ…ได้…อื้ม…เช่นนั้นข้ากลับแล้วนะ ฝันดีนะพี่อาเถิง”
เอ่ยขึ้นนางก็รีบกลับห้องไป เจี่ยงเถิงเองก็รู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่ก็ยังคงส่งหลินซือกลับไป
หลินซือนอนอย่างว่าง่ายบนเตียง ใบหน้าของนางยังแดงระเรื่อไม่จางหาย แต่ดวงตามองไปที่เจี่ยงเถิงอย่างตัดใจไม่ลง
เจี่ยงเถิงถอนหายใจ ในท้ายที่สุดเขาก็ยอมแพ้ ดึงเก้าอี้ให้นั่งลงข้างหัวเตียงของหลินซือ เอ่ยกระซิบ “อาซือ ข้าจะอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนเจ้า รอให้เจ้าหลับแล้วข้าจะไป”
หลินซือพยักหน้าและยื่นมือออกมาจากผ้าห่ม เจี่ยงเถิงก็เข้าใจในความหมาย เด็กหนุ่มจับมือขาวเรียวไว้แน่น
เช่นนี้หลินซือจึงหลับตาลงด้วยความอุ่นใจ
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามารำไร เจี่ยงเถิงจับจ้องใบหน้าที่หลับใหลและเงียบสงบของหลินซือ โดยที่มือเล็ก ๆ อันอบอุ่นของอีกฝ่ายยังคงอยู่ในมือเจี่ยงเถิง เด็กหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจของเขาเอ่อล้นด้วยความสุข
เจี่ยงเถิงเริ่มง่วงนอนและผล็อยหลับที่ข้างเตียงของหลินซือ
สองมือข้างหนึ่งใหญ่และอีกข้างเล็กยังคงกอบกุมกันแน่น
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สุภาพบุรุษมากเลยอาเถิง หาใครที่ไหนดีไม่เท่าคนนี้อีกแล้ว
ไหหม่า(海馬)