ตอนที่ 551 มังกรปะทะพยัคฆ์

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 551 มังกรปะทะพยัคฆ์

เหตุเปลี่ยนแปลงในมณฑลหนานโจวเป็นเรื่องใหญ่ เดิมทีหนิวโหย่วเต้าสมควรต้องกลับไป แต่เขาไม่ได้กลับไปควบคุมดูแลเลย

หลังผ่านไปสามวัน อวี้ชางก็ไม่ได้รีบร้อนจะรับตัวคนกลับมาเช่นกัน

เนื่องจากในการเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายมีการตกลงเรื่องนี้ไว้ ทางอวี้ชางก็อยากเห็นเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าจะทำได้ตามที่พูดไว้หรือไม่ จะเขี่ยสำนักหยกสวรรค์ออกจากมณฑลหนานโจวได้หรือไม่ จะแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลเด็ดขาดที่มีต่อมณฑลหนานโจวได้หรือไม่

ว่ากันตามตรงก็คืออยากเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าจะมีความสามารถขนาดนั้นหรือไม่ มีความสามารถพอที่หอจันทร์กระจ่างจะร่วมงานด้วยหรือไม่

“ขอรับ!” ตู๋กูจิ้งรับคำสั่ง

อวี้ชางหันหลังไปพลางกวักมือ พาตู๋กูจิ้งออกจากป่าไผ่ไปด้วยกัน มองเรือนพำนักเงียบสงบหลังหนึ่งที่หรูหรางดงามสง่าที่สุดในสวนไม้เลื้อย อีกทั้งเป็นที่พำนักของก่วนฟางอี๋ในสมัยก่อนด้วย ตอนนี้เป็นเรือนพำนักของพวกจวงหงสองแม่ลูก

สองศิษย์อาจารย์รออยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง หลังจากคนด้านในเข้าไปรายงานจนได้รับอนุญาตแล้ว พวกเขาถึงจะเข้าไป

พอเข้าไปพบจวงหงที่อยู่ด้านใน อวี้ชางให้ข้ารับใช้ที่อยู่รอบข้างถอยออกไป จากนั้นทำการคารวะจวงหง “เหนียงเหนียง!”

ตู๋กูจิ้งไม่ได้หลบเลี่ยงออกไป แต่ถวายคำนับไปพร้อมกัน

ตามปกติแล้วอวี้ชางจะไม่เข้าพบจวงหงตามลำพัง เพื่อเลี่ยงคำครหา

“ท่านราชครู” จวงหงพยักหน้านิดๆ เอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า “คุณชายเป็นอย่างไรบ้าง?”

อวี้ชางตอบกลับอย่างสุภาพอ่อนน้อม “เหนียงเหนียงโปรดวางพระทัย กระหม่อมส่งคนไปเยี่ยมเยือนคุณชายทุกวัน คุณชายสบายดี อีกทั้งชื่นชมในความสามารถของหนิวโหย่วเต้าอย่างมาก จึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพ่ะย่ะค่ะ”

“เล่าเรียน?” น้ำเสียงของจวงหงเจือแววเยาะหยันตนอยู่เล็กน้อย “ไปเล่าเรียนจริงๆ น่ะหรือ?”

อวี้ชางกล่าวว่า “ทรงไปเล่าเรียน อีกทั้งหลังจากนี้ก็จะติดตามศึกษาเล่าเรียนอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้าด้วย คาดว่าคงจะติดตามหนิวโหย่วเต้ามุ่งหน้าไปยังหนานโจวในแคว้นเยี่ยนเร็วๆ นี้พ่ะย่ะค่ะ”

จวงหงตกใจ ร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย “พวกเจ้าจะส่งตัวคุณชายไปหรือ? อวี้ชาง พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”

อวี้ชางค้อมคำนับ “เหนียงเหนียงอย่าทรงร้อนพระทัยไป เป็นการส่งคุณชายไปเล่าเรียนจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เหนียงเหนียง อายุของคุณชายก็มิใช่น้อยๆ แล้ว ค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้น จะให้อยู่เช่นนี้ไปตลอดก็มิใช่หนทางที่ดีเช่นกัน สุดท้ายก็ต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกอยู่ดี หากเหนียงเหนียงทรงเป็นกังวลก็ทรงติดตามไปเป็นเพื่อนเล่าเรียนได้พ่ะย่ะค่ะ”

“….” จวงหงมีสีหน้าตกใจ คนเหล่านี้ควบคุมการเดินทางของนางมาโดยตลอด จะปล่อยนางออกไปอย่างนั้นหรือ? นางไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก “พวกเจ้าจะปล่อยข้าออกไปจริงๆ หรือ?”

อวี้ชางมีสีหน้าคร่ำเคร่งขึ้นมา “ไยเหนียงเหนียงถึงตรัสเช่นนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ ทุกสิ่งที่พวกกระหม่อมทำลงไปล้วนทำเพื่อเหนียงเหนียงและคุณชาย ปล่อยไม่ปล่อยอันใดกัน ตรัสหนักเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมไม่อาจรับไว้ได้!”

จวงหงรีบโบกมือเอ่ยแก้ว่า “ท่านราชครูเข้าใจผิดแล้ว ความหมายของข้าคือ ข้าสามารถติดตามคุณชายไปยังหนานโจวแค้วนเยี่ยนได้จริงหรือ พวกเจ้าจะไม่ไปด้วยกันอย่างนั้นหรือ?”

อวี้ชางกล่าวว่า “อาจารย์ของคุณชายบอกว่าต้องการให้คุณชายอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย พวกกระหม่อมจะไม่เข้าไปรบกวนแล้ว หวังว่าเหนียงเหนียงเดินทางไปด้วยครานี้จะช่วยดูแลคุณชายให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”

จวงหงแทบจะเรียกได้ว่าตื่นเต้นดีใจสุดขีด แต่ยังคงพยักหน้าอย่างสำรวม เอ่ยไปว่า “บุตรชายของข้า ข้าย่อมต้องดูแลให้ดี ราชครูไม่จำเป็นต้องกังวล”

อวี้ชางเอ่ยว่า “กระหม่อมจำเป็นต้องทูลเตือนบางเรื่องแก่เหนียงเหนียงไว้ เรื่องราวบางอย่างพัวพันใหญ่โตเกินไป เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนมากมาย หากปล่อยให้คนนอกทราบเข้า จะมีคนมากมายที่ประสงค์ร้ายต่อเหนียงเหนียงและคุณชาย ไม่ควรแพร่งพรายต่อภายนอก จะบอกต่อภายนอกไม่ได้แม้แต่คำเดียว อีกอย่าง คุณชายไม่คุ้นเคยกับโลกภายนอก เรื่องราวบางเรื่องอย่าปล่อยให้คุณชายทราบตอนนี้จะดีกว่า เมื่อถึงเวลาที่สมควรทราบแล้วย่อมปล่อยให้คุณชายได้ทราบเอง”

จวงหงพยักหน้าหงึกๆ “เรื่องนี้ไม่ต้องเตือนข้าก็เข้าใจ ข้าไม่มีทางนำชีวิตของตัวเองและบุตรชายมาล้อเล่นหรอก”

“เหนียงเหนียงทรงรักษาตัวด้วย กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” พวกอวี้ชางศิษย์อาจารย์ประสานมือค้อมคำนับ ขอตัวลาไป

เมื่อออกจากเรือนเล็กอันเงียบสงบไป ตู๋กูจิ้งก็อดถามไม่ได้ “อาจารย์จะส่งตัวนางไปด้วยจริงๆ หรือขอรับ?” ความหมายในวาจาคือหนิวโหย่วเต้ามิได้ยื่นข้อเรียกร้องในเรื่องนี้ พวกเราจำเป็นต้องเพิ่มตัวประกันให้เขาไปอีกคนด้วยหรือ

อวี้ชางถอนหายใจพลางเอ่ยไปว่า “ข้าก็ไม่ได้อยากส่งตัวนางไปให้หรอก…ช่างเถอะ นางเองก็มิได้รู้อะไรมากนัก คนที่สำคัญคือคุณชาย คุณชายยังอยู่นางถึงจะมีความสำคัญ หากคุณชายไม่อยู่ นางจะอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว หากคุณชายไม่อยู่กับทางนี้ ข้าเก็บตัวน้องสะใภ้หม้ายเอาไว้ข้างกาย คอยดูแลไปในระยะยาว แบบนั้นจะให้คนนอกคิดอย่างไรเล่า? อีกอย่างคนที่เคยพบกับทางนี้ล้วนทราบถึงความงามของน้องสะใภ้ผู้นี้ของข้าดี จะไม่ให้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านเลยก็ยากแล้ว หากต่อไปไม่ได้พบบุตรชายเป็นระยะเวลานาน นางจะต้องเอาแต่บ่นอยากพบอยู่ร่ำไปแน่ เฮ้อ ให้นางไปด้วยเสียเลยแล้วกัน!”

ตู๋กูจิ้งพยักหน้ารับพลางใคร่ครวญตาม คิดๆ ไปก็พบว่าจริงอย่างว่า ด้วยสถานะของคนผู้นั้น จะแตะต้องก็ไม่ได้ จะว่ากล่าวก็มิได้ หากเอาแต่บ่นอยากพบบุตรชายอยู่ร่ำไปก็คงจะวุ่นวายจริงๆ ปล่อยนางไปจะดีกว่า

….

“วิหคยักษ์สิบตัวนั้นของข้าอยู่ที่ไหน?”

ภายในสวนรวมสุคนธา อวี้ชางมาส่งพวกจวงหงสองแม่ลูก พอมองเห็นวิหคยักษ์ทั้งหลายที่ร่อนลงมาในสวน อวี้ชางก็ขยับเข้าไปหาหนิวโหย่วเต้าแล้วกระซิบถาม

“เกิดเหตุต่อสู้ฆ่าฟันเช่นนี้ ย่อมมีการบาดเจ็บล้มตายเป็นธรรมดา ตายไปหมดแล้ว ท่านคงไม่คิดว่านกพวกนี้เป็นของท่านกระมัง? นกพวกนี้เป็นของข้า ทางข้าก็มีวิหคยักษ์อยู่เช่นกัน ท่านก็ใช่ว่าจะไม่รู้” หนิวโหย่วเต้าบอกปัดอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาไหนเลยจะยอมรับว่าถูกตนยึดเอามาหมดแล้ว ทางเขาเองก็เสียวิหคยักษ์ไปสามตัวเช่นกัน

อวี้ชางฟังแล้วปวดประสาทนัก พบว่าหาเรื่องให้ตนปวดหัวเข้าแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดจริงหรือไม่ เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมรับล่ะก็ หากเจ้าไม่สามารถลากคออีกฝ่ายไปขึ้นเครื่องประหารได้ ก็อย่าหวังเลยว่าอีกฝ่ายจะยอมคายออกมา

สุดท้ายกลุ่มวิหคยักษ์ก็ทะยานขึ้นสู่นภา นภาสูงเมฆาล่องลอยไพศาล เมืองหลวงแคว้นฉีอันใหญ่โตเบื้องล่างค่อยๆ ห่างไกลออกไป

“อาจารย์ พวกเราจะไปที่ใดกันหรือขอรับ?”

เซี่ยลิ่งเพ่ยที่โดยสารวิหคยักษ์ตัวเดียวกับหนิวโหย่วเต้าลองสอบถามดู เขาคือคนที่สับสนงงงวยที่สุดในคณะเดินทางแล้ว ไม่มีผู้ใดบอกเล่าความจริงแก่เขา

“อ่านตำราหมื่นเล่มมิเทียบเท่าเดินทางไกลหมื่นลี้ ไยต้องถามมากความ?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเฉไฉขอไปที

ว้าว! เซี่ยลิ่งเพ่ยกลับร้องอุทานอยู่ในใจ พบว่าท่านอาจารย์ก็ยังคงสมเป็นท่านอาจารย์นัก คารมคมคาย เอ่ยมาเพียงประโยคเดียวก็แฝงหลักปรัชญาไว้แล้ว ทำให้เขานำมาตรึกตรองอยู่นานสองนาน พลันแสดงสีหน้าเลื่อมใสและชื่นชมออกมาทันที

ก่วนฟางอี๋จับแขนเขาไว้ คอยดูแลไม่ห่าง ความจริงแล้วคือการคุมตัวไว้นั่นเอง ก่อนจะแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วจริงๆ เรื่องการเป็นพันธมิตรที่เจรจาไว้ยังคงถือเป็นคำพูดเลื่อนลอย ทางนี้ต้องคอยยึดกุมชีวิตน้อยๆ ของเซี่ยลิ่งเพ่ยเอาไว้ในกำมือให้แน่นตลอดเวลา

เรื่องที่ทำให้หนิวโหย่วเต้าแปลกใจคือเกิดเหตุการณ์หนึ่งแถมหนึ่งขึ้น อวี้ชางมอบตัวจวงหงให้เขามาด้วย สองแม่ลูกล้วนตกมาอยู่ในมือเขา ทำให้เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอย่างไรกันแน่

หากมิใช่เพราะพิสูจน์แล้วว่าจวงหงมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร เขาก็คงไม่กล้ารับไว้เท่าไร

เดิมทีอวี้ชางจะส่งคนกลุ่มหนึ่งมาคอยดูแลสองแม่ลูก แต่หนิวโหย่วเต้าจะเก็บตัวปัญหามากมายปานนั้นไว้ใกล้ตัวได้อย่างไร สุดท้ายก็ยอมตกลงให้ศิษย์คนหนึ่งของอวี้ชางที่มีนามว่ากัวสิงซานตามมาด้วย

หากจะไม่ปล่อยให้ตามมาเลยสักคนก็ออกจะไร้เหตุผลไปเสียหน่อย ทางฝั่งอวี้ชางเองก็ต้องมีคนคอยติดตามเพื่อยืนยันความปลอดภัยของสองแม่ลูกอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ขณะเดียวกันก็ต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อสื่อสารด้วย

ที่ฝั่งอวี้ชางยอมตอบตกลงก็เพราะพิจารณาแล้วว่าความปลอดภัยของสองแม่ลูกมิใช่ปัญหาใหญ่ ด้วยศักดิ์ฐานะของตัวเขาอวี้ชาง ไม่ว่าผู้ใดจะมีปัญหากับหนิวโหย่วเต้าเพียงใด ก็จะพุ่งเป้าไปที่หนิวโหย่วเต้าเท่านั้น ไม่จำเป็นจะต้องมาแตะต้องคนของเขาเพื่อหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเลย

ขอเพียงหนิวโหย่วเต้าไม่ก่อเรื่องขึ้น สองแม่ลูกก็น่าจะปลอดภัย

ระหว่างที่โบยบินอยู่เหนือท้องนภา จวงหงมีสีหน้าเบิกบานสุขสันต์ ทอดสายตามองทิวทัศน์งดงามในใต้หล้า

หลายปีมานี้ดูเหมือนจะได้รับการปกป้อง แต่อันที่จริงนางทราบแก่ใจดี ความจริงแล้วคือพวกนางถูกกักบริเวณมาโดยตลอด อายุยังไม่ถึงยี่สิบนางก็ตกพุ่มหม้ายแล้ว นับตั้งแต่ถูกกักบริเวณจนถึงปัจจุบันนี้นางเพิ่งจะอายุสามสิบกว่าเท่านั้น สตรีคนหนึ่งที่อยู่ในวัยแย้มสะพรั่งที่สุดกลับต้องใช้ชีวิตอย่างเปลี่ยวเหงา ความอ้างว้างภายในใจ ความปรารถนาต่อโลกภายนอกภายในใจ เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้วว่านั่นเป็นความรู้สึกแบบใด

ยามนี้ได้โบยบินอิสระ ในใจปรีดาจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เสมือนนกน้อยที่ได้บินออกจากกรงทอง

ก่วนฟางอี๋มองเมืองหลวงแคว้นฉีที่อยู่ห่างไกลออกไป ต้องจากเมืองหลวงแคว้นฉีไปอีกครั้ง แต่ความรู้สึกกลับแตกต่างออกไปจากการจากลาในครั้งแรก

นางมองเซี่ยลิ่งเพ่ยที่อยู่ในการควบคุมอีกครั้ง จากนั้นก็มองหนิวโหย่วเต้าที่ยืนรับลมอยู่ด้านหน้า รู้สึกทอดถอนใจยิ่งกว่าเดิม

สิ่งใดคือความสามารถ สิ่งใดเรียกว่าฝีมือ นับว่านางได้ประจักษ์อย่างแท้จริงตลอดการเดินทางนี้แล้ว

เผชิญกับวิกฤตเรื่องแล้วเรื่องเล่าในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ปล่อยให้คลื่นลมซัดสาด แต่ตนยังคงนั่งตกปลาอย่างสงบมั่นคงอยู่ในเรือ

ขณะที่นางยังตื่นตระหนกหวาดหวั่นอยู่ คนผู้นี้กลับลงมือพลิกแพลงสถานการณ์ พลิกมือซัดมรสุมเหล่านั้นกลับไป

กระทำการลับๆ ล่อๆ ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์จนได้วิหคพาหนะมาครองห้าตัว โน้มน้าวสำนักเขามหายานมาเข้าพวก ตามไล่ล่าไปถึงมณฑลเป่ยโจว บีบให้เซ่าผิงปอต้องหลบหนีไป จากนั้นก็ตามล่าเซ่าผิงปอมาถึงเมืองหลวงแคว้นฉี บีบให้เซ่าผิงปอต้องหนีไปยังแคว้นจิ้นต่อ ล่วงรู้ฐานะของอวี้ชางเข้า ถูกหอจันทร์กระจ่างไล่ล่าสังหาร ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ว่าใครก็ต้องรีบหลบหนีไปให้ไกล คนผู้นี้กลับย้อนกลับมายังเมืองหลวงแคว้นฉี บุกเข้าถ้ำเสือ พลิกสถานการณ์เปลี่ยนร้ายให้เป็นดี เอาตัวเข้าไปเสี่ยง กลับกลายเป็นว่ารอดพ้นจากเงื้อมมือหอจันทร์กระจ่างมาได้อย่างปลอดภัย

ในระหว่างนี้ก็ดำเนินการพลิกสถานการณ์ในมณฑลหนานโจวและมณฑลเป่ยโจวไปอย่างเงียบเชียบด้วย ขจัดมรสุมในมณฑลหนานโจวออกไป

ฝ่ายเซ่าผิงปอเองก็ไม่ธรรมดา ร่วมมือกับสำนักหยกสวรรค์โจมตี หลังจากทำพลาดก็ยินดีจองจำตนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แม้นจะอยู่ในสถานการณ์วิกฤตก็ยังไม่เห็นสำนักเขามหายานอยู่ในสายตา หลบหนีออกไปได้อย่างใจเย็น พอติดอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีก็ใช้อุบายคลี่คลายสถานการณ์ แม้จะโดดเดี่ยวด้อยกำลัง แต่ก็ยังใช้อุบายชักจูงแคว้นต่างๆ ได้ ทำให้การตามล่าของทางนี้คว้าน้ำเหลวไป สุดท้ายจากสุนัขจรพลัดถิ่นกลับได้รับเกียรติมีฉลองพระองค์ของฮ่องเต้แคว้นจิ้นห่มกาย จากที่ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบกลับพลิกตัวได้ ได้รับแรงสนับสนุนที่ทรงพลังยิ่งขึ้น สุดท้ายก็ทำให้ทางนี้ต้องเกิดความระแวง ต้องระงับแผนการไว้ไม่กล้าผลีผลามต่อไป ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าสุดท้ายผู้ใดจะได้ชัยไปครอง

ทั้งสองคนประหนึ่งมังกรปะทะพยัคฆ์

ผู้เพลี่ยงพล้ำแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ไม่ตกเป็นรอง ได้รับการสนับสนุนจากแคว้นจิ้น

ผู้ชนะได้รับผลประโยชน์ ได้กำไรมหาศาล อีกทั้งได้รับกำลังสนับสนุนจากหอจันทร์กระจ่างมาเช่นกัน

หากวัดผลแพ้ชนะ ผู้ชนะได้ชัย แต่ผู้แพ้ก็ได้ชัยเช่นกัน

ก่วนฟางอี๋ตระหนักได้แล้ว แล้วก็มองออกแล้วเช่นกัน สองคนนี้ฟาดฟันกันสุดกำลัง ไม่เพียงแต่จะบั่นทอนกันและกันเท่านั้น แต่กลับเป็นการผลักดันกันและกันให้ก้าวไปสู่ระดับที่สูงยิ่งขึ้นด้วย ดึงดูดความสนใจเป็นจำนวนมากจากผู้กล้าทั่วหล้า

ตลอดระยะเวลาที่ตามมา ได้ประจักษ์ด้วยตาตน ก่วนฟางอี๋ทอดถอนใจด้วยความทึ่งอย่างแท้จริง เมื่อเผชิญหน้ากับคนหนุ่มอ่อนเยาว์คู่นี้ นางเกิดความรู้สึกว่าชีวิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของตนช่างเปล่าประโยชน์นัก

เรื่องอื่นอาจไม่ทราบแน่ชัด แต่มีเรื่องหนึ่งที่นางเข้าใจดี หากคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้มาเล่นงานนาง พวกเขาล้วนจัดการนางให้ตายได้ง่ายๆ นางต้านไม่ไหวเลยจริงๆ

….

“บุตรชายของน้องชายร่วมสาบานของอาจารย์อวี้ชางอย่างนั้นหรือ?”

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว ภายในสวนช่วงเวลาเย็นย่ำ ขณะที่ทุกคนกำลังเดินเล่น หลานรั่วถิงมาพร้อมกับข่าวอย่างหนึ่ง หลังจากเหมิงซานหมิงได้ฟังก็เอ่ยถามด้วยความมึนงง

หลานรั่วถิงพยักหน้า “ใช่ขอรับ ไม่ผิดแน่นอน ข่าวแพร่ไปทั่วแล้ว มีคนไปขอคำยืนยันจากอาจารย์อวี้ชางด้วยตัวเองแล้ว ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริง”

ทั้งกลุ่มมองหน้ากัน ชื่อเสียงของอาจารย์อวี้ชางโด่งดังไม่ธรรมดา ศิษย์ในสังกัดเป็นผู้มีอำนาจในแว่นแคว้นต่างๆ เต้าเหยี่ยกลับกลายเป็นอาจารย์ของหลานชายของอาจารย์อวี้ชางได้

เหมิงซานหมิงส่ายหน้าพลางยิ้มแห้งๆ “เต้าเหยี่ยผู้นี้ช่างทำให้คนพูดไม่ออกเสียจริง”

ในเวลานี้เอง องครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋อง เผิงอวี้หลานมารดาของพระชายามารออยู่ด้านนอกจวน ต้องการขอพบท่านแม่ทัพเหมิงขอรับ”

ทุกคนตะลึงงัน สีหน้าซางเฉาจงคร่ำเคร่งลง “นางยังมีหน้ามาอีกหรือ คิดจะมาสังหารข้าอีกหรือไง? ตอบไปว่าไม่พบ!”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครานั้นมีพวกพ้องสิ้นชีพไปมากถึงเพียงนั้น มีหลายคนที่เป็นคนเก่าคนแก่เคยติดตามอยู่ข้างกายบิดาเขา ซ้ำผู้ลงมือยังเป็นคนของทางบ้านฝั่งภรรยาเขาอีก จะให้เขาทำอย่างไรเล่า?

………………………………………………………………