บทที่ 502 เผ่าสวรรค์แก่งแย่งอำนาจ คู่บำเพ็ญเพียรของหานเจวี๋ย

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 502 เผ่าสวรรค์แก่งแย่งอำนาจ คู่บำเพ็ญเพียรของหานเจวี๋ย

เผ่าพันธุ์วานรแขนยักษ์!

ตำนานที่เล่าขานถึงสี่วานรวิปโยคมีมากมายจริงๆ หานเจวี๋ยไม่นึกคลางแคลงในคุณสมบัติของสี่วานรวิปโยค แต่เขาไม่คิดเลยว่าวานรแขนยักษ์จะมีฝูงด้วย

หานเจวี๋ยหรี่ตาถาม “เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”

หลี่เสวียนเอ้าปรับอารมณ์ กล่าวอธิบาย “รับวานรแขนยักษ์เข้าสำนักซ่อนเร้นโดยตรง ไม่มีเหตุผลอันใดมากนัก พวกเราจำเป็นต้องมีกองกำลังลับๆ อยู่ด้านนอกบ้าง นิกายเหรินเองก็เป็นเช่นนี้ ล้วนมีเขี้ยวเล็บของตนแฝงอยู่ในแทบทุกเผ่าพันธุ์ ฉากหน้ามีเพียงข้าและศิษย์พี่ เมื่อมหาเคราะห์เปิดฉากขึ้น แม้ข้ากับศิษย์พี่จะเข้าสู่เคราะห์สรรพสิ่งล้วนไม่คิดว่านิกายเหรินจะคุกคามกลุ่มมหาอิทธิพลมรรคาสวรรค์ได้ แต่ความจริงแล้วในเผ่าสวรรค์มีผู้บำเพ็ญนิกายเหรินอยู่มากที่สุด ในหมู่อริยะ นิกายเหรินนับว่ามีชัยสูงสุด”

หานเจวี๋ยเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย แม้เขาจะรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นเลย แต่หากเหล่าศิษย์อยากหาอะไรทำบ้างก็ย่อมได้

เขาครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “เลือกรับวานรแขนยักษ์สักตัวเข้าสำนักเถอะ จากนั้นเจ้าจะหว่านล้อมเขาอย่างไรก็ตามแต่เจ้าเถอะ”

หลี่เสวียนเอ้าปรีดายิ่ง รีบคารวะแล้วหันหลังจากไป

หานเจวี๋ยไม่ห่วงว่าเขาจะเล่นเล่ห์แม้แต่น้อย ถึงอย่างไรก็มีค่าความประทับใจถึงหกดาว อีกอย่างเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญมหามรรคต้นกำเนิดแล้ว ถูกผูกมัดไว้บนเรือลำเดียวกับหานเจวี๋ย

….

เจ็ดสิบสี่ปีต่อมา

ภายในอารามเต๋า หานเจวี๋ยกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่

“ข้าคือเทพสงครามแห่งเผ่าสวรรค์ แม่ทัพเทพสวรรค์ ขอเชิญชวนสรรพสิ่งในแดนเซียนมาสมัครเทพเซียนแห่งเผ่าสวรรค์ บุกเบิกปวงสวรรค์หมื่นโลกา ผู้ใดก็ตามที่บรรลุถึงระดับเซียนทองไท่อี่ ให้มาพบข้า ณ ชั้นฟ้าที่สิบสาม เพื่อรับตำแหน่งเซียน!”

เสียงนี้ดังกระหึ่มไปทั่วแดน เสียงดังดุจเสียงฟ้าร้อง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ท่าทางแปลกใจนัก

เผ่าสวรรค์รับสมัครเทพเซียน!

นี่ถือเป็นการบีบคั้นวังสวรรค์ไปสู่ความตาย!

หลังจากนี้เป็นต้นไป สรรพสิ่งต่างจะคิดว่าเผ่าสวรรค์คือตัวแทนของเทพเซียน เช่นนั้นวังสวรรค์จะมีประโยชน์ใดเล่า

รอจนกระทั่งเทพเซียนของวังสวรรค์ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เหลือเพียงฟางเหลียงหัวเดียวกระเทียมลีบ เกรงว่ายามนั้นคงเป็นวันตายของฟางเหลียง

หานเจวี๋ยอดนึกถึงจักรพรรดิสวรรค์ไม่ได้

จักรพรรดิสวรรค์เคยฝากฝังเขาไว้ ให้เขายื่นมือเข้าช่วยเหลือเมื่อวังสวรรค์เผชิญความลำบาก

แต่ตอนนี้วังสวรรค์ยังมิใช่ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของวังสวรรค์ และหานเจวี๋ยก็ไม่กล้าเข้าไปวุ่นวายก่อนที่จะพิสูจน์มรรคสำเร็จ

“พวกเจ้าเล่นละครกันต่อไปเถอะ รอจนผู้เฒ่าพิสูจน์มรรคสำเร็จเป็นอริยะ จะคิดบัญชีทั้งหมดในคราวเดียว!”

หานเจวี๋ยบ่นฮึดฮัด เผ่าสวรรค์คิดจะเล่นงานเขา ยามนี้ยังวางแผนเล่นงานวังสวรรค์อีก วันหน้าต้องจัดการให้สาสม

จู่ๆ หานเจวี๋ยก็นึกถึงเซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรคนแรกของตนขึ้นมา นางก็อยู่ในเผ่าสวรรค์เช่นกัน

เขาพลันเกิดความคิดหนึ่ง จึงสำแดงความฝันอันธการไปเข้าฝันเซวียนฉิงจวิน

ทั้งสองคนเข้าสู่แดนความฝันทันที

เขาเขียวธารใส นภาครามเมฆขาว กลางป่าเขาสายลมบริสุทธิ์พัดโชย ปลอบประโลมจิตใจคน

หานเจวี๋ยได้พบเซวียนฉิงจวินอีกครั้ง เทียบกับเมื่อสองหมื่นปีก่อน นางเปลี่ยนไปมากนัก สวมชุดกระโปรงสีม่วง บุคลิกงามสง่า ใบหน้าเฉิดฉันดูเยือกเย็นยิ่ง แววตาหยิ่งผยอง

หวนนึกถึงตอนพบกันครั้งแรก เซวียนฉิงจวินปลอมตัวอยู่ในรูปโฉมธรรมดาสามัญ

เมื่อเซวียนฉิงจวินเห็นหานเจวี๋ย อดไม่ได้ที่จะนึกระแวง แสงเทพจากหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราบดบังหน้าตาของหานเจวี๋ยไว้ ทำให้นางไม่อาจมองให้ชัดได้

นางกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ จู่ๆ ก็ถูกดึงเข้าสู่แดนความฝัน ทำให้นางตื่นตัวตามสัญชาตญาณ

จากนั้นคล้ายนางจะนึกอะไรได้ เอ่ยถามอย่างระแวดระวัง “หานเจวี๋ยหรือ”

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้สบายดีหรือไม่”

ครั้งก่อนที่พบหน้ากันในแดนความฝัน ก็ผ่านมานับหมื่นปีแล้วเช่นกัน

พออายุมากขึ้น เมื่อได้พบคนคุ้นเคย มักจะรู้สึกปลงอนิจจังอย่างไม่อาจเลี่ยง

เหตุผลหลักเป็นเพราะชีวิตนี้หานเจวี๋ยมีคนรู้จักไม่มากนัก หากตายไปหนึ่งคนก็ลดน้อยลงหนึ่งคน

เซวียนฉิงจวินยิ้มออกมา พินิจดูหานเจวี๋ยกล่าวว่า “ข้าสบายดี ดูเหมือนเจ้าก็สบายดีเช่นกัน สำนักซ่อนเร้นคงเป็นสำนักที่เจ้าก่อตั้งขึ้นกระมัง”

หานเจวี๋ยก็ไม่รู้สึกแปลกใจเช่นกัน ฐานะของเขาปกปิดไว้ไม่อยู่มานานแล้ว โดยเฉพาะกับคนที่รู้จักเขาดี

“ถูกต้อง ยามนี้ความเป็นอยู่ของเจ้าในเผ่าสวรรค์เป็นอย่างไรบ้าง”

หานเจวี๋ยสอบถาม เมื่อครั้งอดีตเซวียนฉิงจวินเคยมอบทรัพยากรในการบำเพ็ญให้เขา เรื่องนี้เขาจดจำไว้เสมอมา

เซวียนฉิงจวินตอบ “มีตำแหน่งเป็นเทพ แต่ก็เป็นเพียงกลยุทธ์กวนน้ำจับปลาเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจอย่างแท้จริง ใช่แล้ว ระยะนี้เผ่าสวรรค์กำลังจะพุ่งเป้าไปที่เขตเซียนร้อยคีรี เจ้าระวังตัวด้วย”

หานเจวี๋ยเอ่ยไปว่า “ข้าทราบเรื่องแล้ว ไม่ได้มาพบเจ้านานยิ่ง หากเจ้าอยู่ที่เผ่าสวรรค์แล้วไม่มีความสุข ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ส่วนแผนการของเผ่าสวรรค์ แม้กระทั่งครึ่งอริยะเผ่ามนุษย์ยังบุกเข้ามาในเขตของข้าไม่ได้ เผ่าสวรรค์ก็ไม่มีทางทำได้เช่นกัน”

เซวียนฉิงจวินตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ ข้ายินดีเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น”

ง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ

หานเจวี๋ยตะลึงไปเล็กน้อย

เซวียนฉิงจวินเอ่ยว่า “ข้าชอบบรรยากาศของสำนักซ่อนเร้น ที่แต่ก่อนไม่เห็นด้วย สาเหตุหลักเป็นเพราะต้องการแย่งชิงดวงชะตา ยามนี้ดวงชะตาก็ได้มาแล้ว เจ้าให้ข้าเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น ข้าย่อมยินดี แต่ก่อนจะไปข้าอยากนำสิ่งหนึ่งมาให้เจ้า”

“สิ่งใดกัน”

“เมื่อถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง เจ้าต้องประหลาดใจแน่นอน”

“ได้”

หานเจวี๋ยยิ้มรับ ทว่าในใจมิได้นำพาเลย

อะไรกัน

เจ้าจะเอาปราณม่วงอนธการมาให้ข้าหรือไร

หานเจวี๋ยเริ่มรำลึกความหลังกับเซวียนฉิงจวิน ฟังเซวียนฉิงจวินเล่าเรื่องที่ประสบพบพานในหลายปีมานี้

เซวียนฉิงจวินกล่าวว่าเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากหานเจวี๋ย นางจึงชอบเก็บตัวบำเพ็ญเช่นกัน หลังจากมหาเคราะห์สิ้นสุดลง นางออกไปข้างนอกน้อยยิ่ง เพียงแต่ประสบการณ์ที่ได้รับจากการออกไปเพียงไม่กี่ครั้งกลับโชกโชนยิ่ง เขียนเป็นเรื่องเล่าการผจญภัยได้เลย หานเจวี๋ยก็ฟังอย่างได้อรรถรสเช่นกัน

ทั้งสองคุยกันอยู่เนิ่นนาน

ในที่สุดการเข้าฝันก็สิ้นสุดลง

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับสู่ความเป็นจริง

จากการพูดคุยกับกับเซวียนฉิงจวิน เขาฟังออกว่าเซวียนฉิงจวินรู้สึกไม่พอใจเผ่าสวรรค์ยิ่งนัก ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น ภายในเผ่าสวรรค์เองก็มีเสียงคัดค้านต่อต้านมากมาย

สาเหตุหลักมาจากเผ่าสวรรค์วุ่นวายเกินไป มีการแก่งแย่งชิงดีกันภายในมากเกินไป

คงต้องบรรยายด้วยวลีที่ว่า บัลลังก์ผลัดกันครอง

จี้เซียนเสินกลายเป็นหุ่นเชิดไปอย่างสมบูรณ์ อำนาจผลัดเปลี่ยนมืออยู่ตลอด ทำให้เซียนอิสระในเผ่าสวรรค์รู้สึกไม่ดีกันทั้งสิ้น

หากเป็นเช่นนี้นานเข้า เผ่าสวรรค์ต้องล่มสลายแน่

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เซวียนฉิงจวินจะอยากออกมาก็ถือเป็นเรื่องปกติ

หานเจวี๋ยครุ่นคิดเงียบๆ ‘ทำให้เผ่าสวรรค์ตีกันเองดีหรือไม่’

ฟังจากที่เซวียนฉิงจวินเล่า ระยะนี้อำนาจอยู่ในมือของผู้หนึ่งที่มีฉายาทางธรรมว่าโจวเฉวียน ประวัติความเป็นมาลึกลับ ไม่รู้ว่ามาจากสำนักเต๋านิกายใด เส้นสายกว้างขวาง

จัดการเลยแล้วกัน!

หานเจวี๋ยตัดสินใจว่าจะสาปแช่งโจวเฉวียนสักหน่อย กระตุ้นให้เกิดการแย่งชิงอำนาจภายในเผ่าสวรรค์ ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเอาแต่จับตามองเขตเซียนร้อยคีรี

แต่ยังสาปแช่งตอนนี้ไม่ได้

รอไปก่อน!

….

ห้าสิบปีต่อมา

เมื่อหานเจวี๋ยสาปแช่งอริยะมิ่งจีเสร็จ จึงเริ่มสาปแช่งโจวเฉวียนแห่งเผ่าสวรรค์

เขาระมัดระวังยิ่ง กลัวว่าจะเผลอแช่งโจวเฉวียนจนตาย

เขาสาปแช่งเพียงหนึ่งวันก็หยุดมือ

เขารู้สึกว่าเพียงพอแล้ว

โจวเฉวียนต้องสะดุ้งแทบตายแน่

หานเจวี๋ยจิตใจเบิกบาน เก็บหนังสือแห่งความโชคร้ายและฝึกบำเพ็ญต่อ

เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ เผ่าสวรรค์โกลาหลยิ่ง!

ด้วยข่าวสารทางจดหมาย หานเจวี๋ยจึงทราบว่ายอดแม่ทัพเทพและจี้เซียนเสินเผชิญกับการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ช่างน่าเวทนาโดยแท้

ครึ่งเดือนต่อมา

หลี่เสวียนเอ้ามาหา บอกว่าวานรแขนยักษ์ที่เขาเลือกรออยู่ด้านนอกเขตเซียนร้อยคีรีแล้ว

หานเจวี๋ยดึงตัวเข้ามาในอาณาเขตเต๋าทันที ให้หลี่เสวียนเอ้าไปจัดการเอาเอง

ถึงขั้นที่หานเจวี๋ยไม่มีความคิดจะไปพบวานรแขนยักษ์ในตอนนี้เลย

ตอนนี้ตบะและฐานะเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว จะไปพบผู้อื่นส่งเดชได้อย่างไร

บนภูเขา หลี่เสวียนเอ้าและวานรแขนยักษ์เหยียบเมฆเหาะฉิว วานรแขนยักษ์เป็นลิงขนยาวรูปร่างเหมือนมนุษย์ ร่างบึกบึนกำยำนัก แคะหูเกาแก้ม เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอด เปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อเขตเซียนร้อยคีรี

หลี่เสวียนเอ้าเอ่ยเตือน “อยู่ในเขตเซียนร้อยคีรี อย่าได้ขัดแย้งกับผู้ใด มิเช่นนั้นข้าก็ปกป้องเจ้าไม่ได้”

วานรแขนยักษ์ถามด้วยความอยากรู้ “ในเขตเซียนร้อยคีรีมีเซียนมนุษย์ที่แข็งแกร่งกว่าท่านอยู่มากแค่ไหน”

………………………………………………………………