บทที่ 503 ระดับเทพหมื่นคน ความแน่วแน่ของสามเซียน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 503 ระดับเทพหมื่นคน ความแน่วแน่ของสามเซียน

“ไม่จำเป็นต้องสนใจปัญหาข้อนี้ เจ้ารู้ไว้เพียงว่าเจ้าสำนักซ่อนเร้นเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สุด ห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด ผู้อาวุโสอย่างเขาจับตามองเจ้าอยู่แน่นอน”

หลี่เสวียนเอ้ากำชับ สี่วานรวิปโยค อันคำว่าวิปโยคก็คือชอบก่อเรื่อง

วานรแขนยักษ์เป็นราชาปกครองเขาลูกหนึ่งมาก่อน ชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ หลี่เสวียนเอ้ากังวลว่าอีกฝ่ายจะคุมพฤติกรรมไม่อยู่

วานรแขนยักษ์ได้ฟังก็พยักหน้ารับสุดชีวิต เขามิได้โง่เง่า ก่อนจะรู้จักหลี่เสวียนเอ้า เขาเคยได้ยินชื่อเขตเซียนร้อยคีรีมาก่อน พอได้เข้าสำนักซ่อนเร้น เขารู้สึกดีใจยิ่งนัก

ด้วยเหตุนี้ หลี่เสวียนเอ้าจึงรับวานรแขนยักษ์เป็นศิษย์คนใหม่ เขาพาวานรแขนยักษ์ไปเดินชมเขตเซียนร้อยคีรี ให้ศิษย์ทั้งหมดในสำนักซ่อนเร้นได้รู้จัก

ศิษย์ในสำนักซ่อนเร้นไม่มีความประทับใจต่อวานรแขนยักษ์เลย เพียงเพราะเจ้าตัวนี้หน้าตาไม่น่ามอง แถมพวกเขายังยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ ไม่ว่างมาสานสัมพันธ์ด้วย

การเข้าร่วมของวานรแขนยักษ์ไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเก็บตัวฝึกบำเพ็ญของสำนักซ่อนเร้นเลย

เขตเซียนร้อยคีรียังคงเงียบสงบเช่นเดิม

เวลาผ่านไปไวเหมือนติดปีก

ผ่านไปสี่ร้อยปีแล้ว

หานเจวี๋ยสาปแช่งโจวเฉวียนเป็นเวลาหนึ่งวันอีกครั้ง

จู่ๆ หลิวเป้ยก็พากิเลนตัวหนึ่งมาคารวะ เป็นสวีหลินตัวนั้นที่มีสายเลือดราชวงศ์เผ่ากิเลน

สวีหลินบรรลุตบะระดับเซียนทองไท่อี่แล้ว

หนึ่งคนหนึ่งกิเลนคุกเข่าลงเบื้องหน้าหานเจวี๋ย

สวีหลินยังไม่ผ่านการแปลงกาย รูปร่างคล้ายเสือ ดูตัวเล็กลงกว่าครั้งก่อนที่พบกัน คาดว่าคงควบคุมร่างกายตนไว้

หานเจวี๋ยจ้องมองสวีหลิน สายตาที่มองสวีหลินแฝงอำนาจกดดันมหาศาล ทำให้เขาไม่กล้าเงยหน้ามา

หลินเป้ยเอ่ยขึ้นมาก่อน “นายท่าน ท่านวางแผนอย่างไรต่อ”

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าจะดูแลสั่งสอนเขาไปสักระยะ”

หลิวเป้ยพยักหน้ารับ จากไปทันที

สวีหลินตัวสั่นเทา ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่

หานเจวี๋ยจึงเอ่ยว่า “ไม่ต้องกังวล จากนี้เจ้าก็ฝึกบำเพ็ญอยู่ข้างกายข้าเถอะ เจ้าฝึกบำเพ็ญตามแนวทางที่เคยฝึกมาไปก่อน นี่มิใช่การทดสอบอันใด”

เขาโบกมือคราหนึ่ง เบาะอันหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้าง

จากนั้นหานเจวี๋ยชี้นิ้วไปที่สวีหลิน แปลงกายเขาให้กลายเป็นมนุษย์ทันที

สวีหลินอยู่ในร่างชายหนุ่มคนหนึ่ง รูปโฉมสามัญ ร่างกายปกติธรรมดา ท่าทางตะลึงพรึงเพริด

เมื่อเห็นหานเจวี๋ยหลับตาลง แม้ในใจเขาจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ทำได้เพียงสะกดเอาไว้ เข้าสู่สภาวะบำเพ็ญเช่นกัน

ช่วงแรก สวีหลินรู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความประหม่าของเขาก็ค่อยๆ เลือนหายไป

….

ผ่านไปหนึ่งร้อยปีเต็ม

สวีหลินเดินออกมาจากอารามเต๋า แสงแดดส่องกระทบร่างเขา ทำให้เขารู้สึกราวกับได้เปิดโลก

เขาสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง สองมือกำแน่น

แววตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นมีความมั่นใจยิ่งนัก เอวก็ค่อยๆ เหยียดตรงขึ้นมาเช่นกัน

“สมกับที่เป็นเจ้าสำนักซ่อนเร้น นี่น่ะหรือมหามรรค”

สวีหลินตื่นเต้นฮึกเหิม เขาเร่งฝีเท้า เตรียมกลับไปพากเพียรบำเพ็ญต่อ

เขาจากไปได้ไม่นาน หลี่เสวียนเอ้าก็มาที่หน้าอารามเต๋า ขอเข้าพบหานเจวี๋ย

“มีเรื่องใด”

หานเจวี๋ยไม่ได้ให้เขาเข้ามาในอาราม สอบถามไปตรงๆ

หลี่เสวียนเอ้าจึงกล่าวว่า “เจ้าสำนัก เรื่องวานรแขนยักษ์…”

“เจ้ารับหน้าที่สั่งสอน ก็ถ่ายทอดมหามรรคไปด้วยเลย”

เสียงของหานเจวี๋ยแว่วออกมา หลี่เสวียนเอ้าได้ฟังก็ปลาบปลื้มยินดี

เขาอยากถ่ายทอดมหามรรคให้วานรแขนยักษ์ จึงคิดจะมาขอความเห็นชอบจากหานเจวี๋ยก่อน

หลี่เสวียนเอ้าขอตัวอำลาไปแล้ว

หานเจวี๋ยแผ่จิตครอบคลุมอาณาเขตเต๋า สอดส่องเผ่าเอกา

ชาวเผ่าเอกาคือธรณีประตูของสำนักซ่อนเร้น คุณสมบัติของพวกเขาสูงส่ง แต่ก็ไม่นับว่าเลิศล้ำ

ยามนี้ ชาวเผ่าเอกาหนึ่งหมื่นคนเริ่มทะลวงสู่ระดับเทพแล้ว

รอจนเผ่าเอกาก้าวสู่ระดับเทพ พลังอำนาจของสำนักซ่อนเร้นจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจกับศิษย์รุ่นที่สอง เขาจึงเรียกสวินฉางอันมาหา

สวินฉางอันเป็นศิษย์ลำดับที่สามของเขา ทว่าตบะยังสู้ศิษย์รุ่นที่สามไม่ได้เลย แต่เมื่ออยู่ในกระแสการพัฒนาความแข็งแกร่งของสำนักซ่อนเร้น ก็นับว่าพอจะฝืนติดสอยห้อยตามขบวนใหญ่ไปได้

อย่างไรก็ตามเขาเพิ่งบรรลุระดับจักรพรรดิเซียนสี่วัฏเท่านั้น นับว่าล้าหลังอยู่บ้าง

สวินฉางอันคุกเข่าคารวะตรงหน้าหานเจวี๋ย เมื่อเผชิญหน้ากับหานเจวี๋ย เขากลับไม่ประหม่าเลย ถึงอย่างไรก็อยู่ด้วยกันมากว่าสองหมื่นปี

หานเจวี๋ยซักถาม “เจ้าพอใจกับตบะของเจ้าหรือไม่”

สวินฉางอันขมวดคิ้ว ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงตอบว่า “จะบอกว่าพอใจ อันที่จริงก็ไม่ได้พอใจ แต่จะบอกว่าไม่พอใจก็ไม่ได้ไม่พอใจมากขนาดนั้น”

หานเจวี๋ยสบถในใจ

พระอัปลักษณ์พูดจาบ้าบออะไรกัน!

ถึงแม้สวินฉางอันจะมิได้อัปลักษณ์แล้ว ถึงขั้นที่รูปงามด้วย แต่ฉายาของเขายังคงเป็นพระอัปลักษณ์เช่นเดิม

หานเจวี๋ยตะคอกใส่ “พูดภาษาคน!”

สวินฉางอันตัวสั่นเล็กน้อย กล่าวว่า “ความหมายคือข้าจะแข็งแกร่งขึ้นก็ได้ ไม่แข็งแกร่งขึ้นก็ได้ ถึงอย่างไรข้าก็อยู่ในสำนักซ่อนเร้นตลอด ไม่มีศัตรูคู่แค้น มีท่านคอยคุ้มครอง”

“เช่นนั้นเจ้าไม่คิดจะเป็นฝ่ายปกป้องข้าผู้เป็นอาจารย์ของเจ้าบ้างหรือ”

“อาจารย์ล้อกันเล่นแล้ว ท่านแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ข้าจะตามทันได้อย่างไร ต่อให้เป็นหลี่เต้าคงมาเอง เขาจะมีความมั่นใจหรือ”

สวินฉางอันไร้ซึ่งความผิด แถมยังได้รับความอยุติธรรมยิ่ง

หานเจวี๋ยเงียบไป

คำพูดนี้ก็มีเหตุผลเช่นกัน

หานเจวี๋ยไม่ต้องการให้มีวันที่ตนจำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองจากลูกศิษย์

แต่เขาก็ไม่ยอมให้เหล่าศิษย์กลายเป็นปลาซิวปลาสร้อยเช่นกัน!

“อาจารย์จะแสดงธรรมให้เจ้าเป็นการส่วนตัว ให้เวลาห้าพันปี เจ้าต้องบรรลุจักรพรรดิเซียนเก้าวัฏให้ได้” หานเจวี๋ยขู่เข็ญ

สวินฉางอันหน้าเหวอ ข้ามห้าขั้นภายในห้าพันปีเช่นนั้นหรือ

จะเป็นไปได้อย่างไร!

เขาอยู่ในระดับจักรพรรดิมาเกินหมื่นปีแล้ว เพิ่งจะบรรลุจักรพรรดิเซียนสี่วัฏเท่านั้น

หานเจวี๋ยไม่สนใจสวินฉางอัน เริ่มแสดงธรรม

….

ภายในป่า ณ หอคอยศิลาหลังหนึ่ง

ภายในหอคอย สามเซียนยอดลำนำกำลังนอนงีบอยู่ เอื่อยเฉื่อยเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง

เซียนหัวงูเหี่ยวเฉาซึมเซา เอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่ พวกเราต้องรออีกนานแค่ไหน วานรแขนยักษ์ตัวนั้นมาทีหลัง แต่กราบเข้าสำนักซ่อนเร้นแล้ว พวกเราต้องรออีกนานแค่ไหน”

เอ่ยประโยคเดิมซ้ำถึงสองครั้ง สื่อให้เห็นถึงความสับสนในจิตใจเขา

เซียนหน้าเหยี่ยวแค่นเสียง “รอต่อไป! ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น นี่เป็นคำพูดที่ผู้ทรงพลังท่านหนึ่งเคยชี้แนะข้าไว้”

เซียนคนที่สามไม่ได้พูดอะไร ทำตัวเหมือนน้ำเต้าไม่มีปาก

ในเวลานี้เอง

มีเสียงหนึ่งแว่วมา “สามเซียนยอดลำนำสินะ”

สามเซียนได้ฟังก็ผุดนั่งทันที มองเห็นเทพเจ้าที่ผู้เคยปะทะกับหานตั้วเทียนมาเยือน

เขายืดอกชูคอ พูดจาโอหัง “ข้าคือเทพเจ้าที่ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากเผ่าสวรรค์ มาเพื่อแต่งตั้งพวกเจ้าทั้งสามเป็นเทพเจ้าที่แห่งเซียนร้อยคีรี ยังไม่รีบคุกเข่าน้อมรับอีก”

สามเซียนยอดลำนำตะลึงงัน มองหน้ากันเหลอหลา

เซียนหน้าเหยี่ยวได้สติกลับมาก่อนใครเพื่อน ร้องด่า “ไสหัวไป!”

เซียนอีกสองตนก็เผยสีหน้าท่าทางดุดันโหดเหี้ยมเช่นกัน

เทพเจ้าที่ตกตะลึง เอ่ยว่า “ยกเขตเซียนร้อยคีรีให้พวกเจ้าไม่ดีอย่างนั้นหรือ พวกเจ้าเป็นกังวลกับสำนักซ่อนเร้นที่อยู่ในเขตเซียนร้อยคีรีกระมัง วางใจเถิด เผ่าสวรรค์จะขับไล่สำนักซ่อนเร้นไปในไม่ช้านี้ เมื่อถึงเวลา…”

เซียนหน้าเหยี่ยวลงมือทันที มือขวากลายเป็นกรงเล็บเหยี่ยว งอกยาวอย่างรวดเร็ว จู่โจมเข้าใส่ลำคอของเทพเจ้าที่

เทพเจ้าที่ตกใจจนหน้าถอดสี มุดหนีทันที

เพียงพริบตาเดียว เขาอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้

เขาโผล่ออกมาจากใต้ดิน สบถด้วยความโกรธ “ไอ้โง่เง่าทั้งสาม! มอบโอกาสให้พวกเจ้า พวกเจ้ากลับไม่คว้าไว้”

เวลานี้เอง ลมกระโชกหอบหนึ่งพลันโหมเข้ามา

“จะหนีไปไหน!”

“ถ้าฆ่าเขาได้ ต้องนับว่าเป็นการทำคุณประโยชน์ให้เขตเซียนร้อยคีรีแน่!”

“ฮ่าๆๆ นี่เป็นโอกาสดีที่ยากจะพานพบในรอบพันปี!”

เสียงของสามเซียนยอดลำนำแว่วมา น้ำเสียงดูตื่นเต้นยิ่ง

เทพเจ้าที่ฟังแล้วแทบกระอักเลือด เขาไม่เข้าใจเลย เจ้าสุนัขสามตัวนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากเขตเซียนร้อยคีรี เหตุใดยังจงรักภักดีต่อสำนักซ่อนเร้นขนาดนี้

เขาไม่มีเวลาคิดให้มากความอีก ดำดินหนีต่อไป

‘ข้าเป็นถึงเทพเจ้าที่ อาศัยเพียงตัวสุนัขอย่างพวกเจ้าทั้งสามไหนเลยจะจับข้าได้’

ลึกลงไปใต้ดิน เทพเจ้าที่มุดหนีอย่างรวดเร็วพลางคิดด้วยความเหยียดหยาม

….

หลายวันผ่านไป

สามเซียนยอดทำนองปราฏตัวขึ้นในละแวกเขตเซียนร้อยคีรี เซียนหน้าเหยี่ยวสะบัดแขนเสื้อ เทพเจ้าที่ผู้โดนมัดด้วยเชือกทองถูกโยนลงบนพื้น ใบหน้าเขามอมแม ผมเผ้ากระเซิง ท่าทางจนตรอกอย่างยิ่ง

เซียนหน้าเหยี่ยวตะโกนเสียงดัง “คณะผู้อาวุโสแห่งสำนักซ่อนเร้นขอรับ พวกเราจับตัวสายลับที่เผ่าสวรรค์ส่งมาได้! เขาคิดร้ายต่อสำนักซ่อนเร้น!”

………………………………………………………………