บทที่ 554 ยาถอนพิษ

เว่ยฉิงจูงมือถังหลี่ขึ้นไปนอนบนเตียงห่มผ้านวมให้นาง

“ฮูหยิน เจ้านอนก่อนเถอะ” เสียงของเขาทุ้มและอ่อนโยน ชายหนุ่มพูดพลางหลับตาไปด้วย เมื่อเขาได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ เว่ยฉิงจึงลืมตาขึ้นมองไปที่ภรรยาของเขา แสงจันทร์สาดส่องเข้ามากระทบใบหน้าเล็กๆ ที่งดงามของนาง ตอนนี้ถังหลี่มีน้ำมีนวลมากขึ้น ดูเจ้าเนื้อเล็กน้อย นางน่ารักมากแม้เขาจะอยากจะบีบแก้มนางมากเพียงไหนก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้

สุดท้ายแล้วเขาก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของนางเบาๆ ดุจขนห่านที่ตกลงมากระทบเท่านั้น ชายหนุ่มวางมือที่หน้าท้องของนางโดยไม่กล้าใช้แรงมากนัก

นี่คือลูกของพวกเขา

เด็กน้อยกำลังโตขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่กี่เดือนก็จะได้ออกมาเจอบิดาแล้ว เขากำลังจินตนาการว่าใบหน้าของเด็กคนนี้จะเป็นอย่างไร…

ภายใต้แสงจันทร์ มุมปากของเว่ยฉิงยกยิ้มขึ้น หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสุข เขาลืมปัญหาและความเจ็บปวดทั้งหมดของตัวเองไป เว่ยฉิงเฝ้ามองภรรยาเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลุกเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ความอ่อนโยนของเขาหายไปเหลือไว้แต่เพียงความเย็นชาบนใบหน้าเท่านั้น ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องหนังสือ

หลังจากเข้าไปเขาปิดประตูแล้วกดที่ผนังมีช่องลับที่ซ่อนไว้เผยออกมา

ในนั้นมีสิ่งของมากมาย

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาค้นหาหลักฐานลับๆ ที่ตระกูลหวัง องค์หญิงใหญ่และตระกูลหลูร่วมมือกันใส่ร้ายสกุลเซียว

นอกจากนี้แล้วยังมีทั้งพยานและหลักฐานมากเพียงพอที่จะทำให้คดีพลิกกลับมาได้ เป็นเวลายี่สิบปีแล้วตั้งแต่เหตุการณ์ล้มล้างสกุลเซียวและกองทัพของเขาถูกทำลาย ตระกูลเซียวถูกลบหายไปราวกับต้นไม้ที่ตายไปแล้ว

อย่างไรก็ตามต้นไม้เก่าแก่ต้นนี้ยังมีรากอยู่แผ่กระจายออกไป ยังมีคนของเขาอยู่ในราชสำนักที่ไม่เชื่อว่าสกุลเซียวร่วมมือกับศัตรู พวกเขากำลังทำการสืบสวนอย่างเงียบๆ และต้องการพลิกคดีของตระกูลเซียวเช่นกัน…

เว่ยฉิงแอบติดต่อกับคนเหล่านี้

ชายหนุ่มมอบหลักฐานให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะยื่นหลักฐานนี้โดยการถวายฎีกาเพื่อพิจารณาคดีของสกุลเซียวอีกครั้งเพื่อล้างมลทินให้แก่คนสกุลเซียว!

นี่คือแผนการดั้งเดิมของเว่ยฉิง แต่เขาเก็บเงียบเอาไว้ ยังไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เพราะรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่ไม่ถูกต้อง

เขาเพิ่งคิดออก สกุลหวังทำแบบนี้เพื่ออำนาจ บางทีการมีอยู่ของสกุลเซียวอาจเป็นเรื่องขวางทางสกุลหวังก็เป็นได้ หากไม่มีสกุลเซียว บุตรสาวของสกุลหวังอาจจะได้ขึ้นเป็นฮองเฮา และหากไม่มีเขาองค์ชายสามจ้าวชูก็จะได้เป็นรัชทายาททันที

แล้วจุดประสงค์ขององค์หญิงใหญ่คืออะไร? จุดประสงค์ของสกุลหลูเล่า?

สกุลหวัง องค์หญิงใหญ่และสกุลหลูต่างร่วมมือกันใส่ความสกุลเซียว ชายที่อยู่บนบัลลังก์มังกรผู้นั้นจะไม่รู้จริงๆ หรือ? สกุลเซียวมีอำนาจมาก การที่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเขายอมรับได้ หรือแท้จริงแล้วเขาอาจจะเป็นคนวางแผน?

หากเขาส่งหลักฐานไปนั่นคือการเปิดโปงตัวเองและคนที่อยู่ฝ่ายสกุลเซียว ผลที่ตามมาย่อมเป็นหายนะ เมื่อก่อนเขาแอบคิด ได้แต่เก็บเงียบ แต่หลังจากคืนนี้ทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขาคิดย่อมมีทางเป็นไปได้

ฮ่องเต้จะไม่รู้จริงๆ หรือว่าองค์หญิงใหญ่เลี้ยงดูบุตรสาวบุญธรรมเพื่ออำนาจ? เขารู้สึกว่าพระองค์ทรงยอมลงให้กับองค์หญิงใหญ่มาก นางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฮ่องเต้ อาจจะเป็นไปได้ว่าสุดท้ายแล้วนางอาจจะเป็นดาบในเงื้อมมือของฮ่องเต้ก็เป็นได้…

เมื่อนึกถึงแล้ว เว่ยฉิงก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วปิดช่องลับนั้น

“ชูอี” เขาเรียก

ชั่วพริบตาต่อมาร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นในห้อง เขาคุกเข่าต่อหน้าเว่ยฉิง ชูอีคือหัวหน้าขององครักษ์เงา ในตอนที่เขาอยู่ฉิงโจวเขาเรียนการต่อสู้ฝึกฝนกับชูอีเสมือนพี่น้องกัน ต่อมาลุงสามก็ขอให้ชูอีมาติดตามเขา ชูอีให้สัตย์ปฏิญาณตนต่อหน้าเว่ยฉิงด้วยความเคารพและภักดี

ตั้งแต่นั้นมาเขาก็กลายเป็นคนของเว่ยฉิง เว่ยฉิงเป็นเจ้านายและเจ้าของชีวิตของพวกเขา

“บอกคนเหล่านั้นว่าอย่าสืบเรื่องของสกุลเซียวและอย่าได้พูดถึงสกุลเซียวอย่างเด็ดขาด ทำเป็นว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลเซียวแล้ว” เว่ยฉิงกำชับ

เดิมทีพวกเขาเตรียมพร้อมที่จะยื่นถวายฎีกาเรื่องนี้ให้กับฮ่องเต้แล้ว แต่เป็นเพราะเหตุใด ความคิดของนายท่านจึงได้เปลี่ยนไปกลับหัวกลับหางเช่นนี้ได้ ?

ชูอีรับคำก่อนจากไป

ซูไท่หยวนอยู่กับฮูหยินซูเป็นเวลาสองวัน จากนั้นเขาจึงกลับไปที่โรงหมอหลวง เมื่อไม่มีหวังเซี่ยวจีก็ไม่มีใครทำให้ซูไท่หยวนลำบากใจได้อีกต่อไป ตราบใดที่เขาทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี และไปฝังเข็มให้กับไทเฮา

เมื่อซูไท่หยวนฝังเข็ม บรรดาคนรับใช้ในวังหลายคนยืนอยู่ข้างๆ แม่นมฉู่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะถามถึงอาการของไทเฮา หลังจากฝังเข็มเสร็จเขาก็จากไป รวมถึงราชบริพารเหล่านั้นด้วย

“เจ็บ..” ไทเฮาชี้ไปที่จุดฝังเข็มส่งเสียงคร่ำครวญ แม่นมฉู่เทเม็ดน้ำตาลออกจากขวดยื่นให้นาง หลังจากที่ไทเฮาเสวยเข้าไปแล้วนางจึงสงบลง

ไม่นานนักนางก็เริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง วิญญาณของนางดูราวกลับออกจากร่างประหนึ่งต้นไม้แก่ที่เหี่ยวเฉาสูญเสียความมีชีวิตชีวา หัวใจของแม่นมฉู่กระตุก

นางรับรู้ว่าไทเฮาถูกวางยาพิษ แต่ไม่รู้ว่าหมอซูจะได้ค้นพบวิธีล้างพิษหรือไม่..

สิบวันต่อมาซูไท่หยวนที่อยู่ในโรงหมอก็เขียนใบสั่งยาสำหรับการล้างพิษ หลังจากได้กลับบ้านสองสามครั้ง เขาทำยาเม็ดน้ำตาลมอบให้แม่นมฉู่เงียบๆ แทนเม็ดน้ำตาลอันเดิม แม่นมฉู่มีความสุข นางถวายเม็ดน้ำตาลสูตรใหม่แก่ไทเฮา แต่หลังจากที่เสวยไปสักระยะหนึ่งแล้ว พระอาการของพระนางก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก

แม่นมฉู่แอบถามซูไท่หยวน เขาได้แต่บอกว่าไทเฮานั้นได้รับพิษมาเป็นเวลานานจนฝังรากลึกลงไปในร่างกาย แม้ว่าจะได้รับยาแก้พิษแล้ว แต่ก็ยากที่จะบอกว่านางจะหายเมื่อไหร่…บางทีอาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมและจำผู้คนได้ หรือนางอาจจะฟื้นคืนสติมาเป็นเพียงเด็กอายุห้าหรือหกขวบเท่านั้น หรืออาจจะเป็นเหมือนเดิม…ทุกอย่างยากที่จะบอกได้

แม่นมฉู่ประสานมือของนางไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางวิงวอนอยู่ในใจ ขอให้พระพุทธองค์ทรงโปรดขอให้ไทเฮาฟื้นคืนสติด้วยเถิด..

….

ในตอนนั้นเององค์หญิงจิ้งชูก็มาที่จวนอู่โหวหลายครั้ง กู้หวนจิ่นก็มีเหมือนมีพรายกระซิบ พอนางมาถึง เขาจะโผล่หน้ามาที่จวนอู่โหวเช่นกัน ถังหลี่ตกตะลึงกับความบังเอิญนี้ ในเวลาเดียวกันหญิงสาวก็พบว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อยๆเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ครั้งหนึ่งองค์หญิงจิ้งชูเสด็จมายังจวนอู่โหวเพื่อเสวยพระกระยาหารมื้อเที่ยง

วันนั้นกู้หวนจิ่นถือวิสาสะนั่งข้างองค์หญิง นางทอดพระเนตรไปยังจานอาหารที่อยู่ไกลจากตนเอง แม้ว่านางจะเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ด้วยมารยาทแล้วทำให้นางไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปคีบอาหารจานนั้น นางได้แต่ทอดสายตาอย่างอาวรณ์ ในที่สุดก็จำต้องล้มเลิกความตั้งใจไป คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ อาหารจานนั้นก็ลอยมาอยู่ที่เบื้องหน้า จิ้งชูมองกู้หวนจิ่นอย่างประหลาดใจ

“กระหม่อมอยากกินจานนี้เช่นกัน” กู้หวนจิ่นพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าใบหูของเขาแดงระเรื่อขึ้น ถังหลี่ก็ได้เห็นเช่นกัน

พี่สามของนางเอ่ยว่าไม่ต้องการให้องค์หญิงจิ้งชูมีชะตากรรมเช่นเดิม ดูด้วยตาก็รู้เขาชอบนาง ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงจิ้งชู เขามีท่าทีประหม่าเงอะงะซ้ำยังหงุดหงิด เพราะไม่สามารถพูดในสิ่งที่คิดได้!

วันนี้องค์หญิงจิ้งชูเสด็จมาที่จวนอู่โหว นางมาหาถังหลี่แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทอดพระเนตรมองไปรอบๆ

“วันนี้พี่สามตั้งใจจะมาหาข้าที่จวนอู่โหว” ถังหลี่เอ่ยขึ้นราวกับไม่ตั้งใจ

จิ้งชูทำเสียงรับรู้ในลำคอ ราวกับไม่สนใจแต่หลังจากนั้นไม่นานนางก็พูดว่า

“แล้วเหตุใดเขายังไม่มาเล่า?”

หรือกู้หวนจิ่นจะป่วย? องค์หญิงจิ้งชูประทับยืนขึ้นทันที

“อาจื่อมีอะไรหรือ?”

“ข้า ข้า…” ดวงตาขององค์หญิงจิ้งชูส่ายไปมาดูเขินอายเล็กน้อย

“อาจื่อ…จะไปหาพี่สามหรือ?” ถังหลี่ถามด้วยรอยยิ้ม

ใครจะอยากเห็นกู้หวนจิ่นกัน?!

องค์หญิงจิ้งชูเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยความโกรธ

“ใช่ ข้าจะไปดูให้เห็นกับตาว่าเขาตายหรือยัง!”

หลังจากที่พูดจบนางก็หันหลังจากไป แต่ฝีเท้าของนางกลับดูกระตือรือร้น ถังหลี่หัวเราะเบาๆ ช่างเป็นคู่รักที่น่าจับตาเหลือเกิน

….

พริบตาเดียวก็ถึงเดือนเจ็ดแล้ว ไทเฮาเสวยยาเม็ดของหมอซูมาได้เกือบเดือนแล้ว วันนี้ในขณะที่แม่นมฉู่กำลังดูแลดอกไม้และต้นไม้ในสวนของตำหนัก ก็นึกถึงครั้งแรกที่ไทเฮาเสด็จมายังตำหนักพุทธาวาสแห่งนี้ ตอนนั้นพระนางยังเป็นพระพลานามัยดี ไม่ได้มีพระอาการเสียพระสติแต่อย่างใด ไทเฮาทรงปลูกดอกไม้พร้อมกับแย้มสรวล ยามเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิเมื่อดอกไม้บาน พระนางจะทรงพระเกษมสำราญมาก แม่นมฉู่จึงได้ดูแลต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้เป็นอย่างดี

“อาเยว่น้อย” เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง แม่นมฉู่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

อาเยว่น้อย…

นางเข้ามารับใช้ไทเฮาตั้งแต่ตอนที่มีอายุได้เพียงสิบขวบเท่านั้น ไทเฮาทรงอภิเษกแล้ว พระนางมีพระชันษามากกว่านางหลายปี จึงเห็นแม่นมฉู่เป็นเด็กน้อยอยู่เสมอ

พระนางทรงโปรดตรัสเรียกนางว่า ‘อาเยว่น้อย’

แม่นมฉู่คิดว่านางกำลังฝันไป นางหันศีรษะไปมองทันที เห็นไทเฮาประทับยืนอยู่ด้านหลังทรงทอดพระเนตรมองนางอย่างแจ่มใสพร้อมกับตรัสเรียกอีกครั้งว่า

“อาเยว่น้อย”

แม่นมฉู่รู้สึกแสบจมูก น้ำตาของนางไหลลงมา