ตอนที่ 556 ยอมให้

Ink Stone_Fantasy

หวงเลี่ยเจ้าสำนักเขามหายานมาถึงแล้ว ระหว่างทางได้แวะไปตรวจสอบสถานที่ที่คนของสำนักหยกสวรรค์อพยพออกไปแล้ว

สำนักหยกสวรรค์ไม่ได้ทิ้งลูกไม้สร้างความเสียหายอันใดไว้

แหล่งชัยภูมิมงคลในมณฑลหนานโจวที่ทำให้สำนักหยกสวรรค์ต้องตาได้ย่อมไม่เลวร้ายแน่นอน สำนักเขามหายานก็เตรียมจะย้ายเข้าไปปักหลักที่นั่นเช่นกัน

คนยังมาไม่ถึง หนิวโหย่วเต้ากับพวกซางเฉาจงก็พากันออกมารอต้อนรับที่ประตูเมืองทิศเหนือแล้ว แถบประตูเมืองทิศเหนือทั้งหมดถูกเฝ้าระวังเอาไว้ ไม่ปล่อยให้ประชาชนทั่วไปผ่านเข้าออก

ศิษย์สำนักเขามหายานที่เดินทางมาก็มีจำนวนไม่น้อย เมื่อผ่านไปถึงสถานที่ใดจะมีข่าวส่งกลับมาตลอดทาง ฝั่งซางเฉาจงก็พอจะทราบพิกัดการเดินทางของพวกหวงเลี่ยแล้ว

ขบวนม้านับร้อยวิ่งห้อมาตามทางหลวง พอมาถึงประตูเมืองก็หยุดลง พวกหนิวโหย่วเต้ารอต้อนรับอยู่ที่ประตูเมืองแล้ว

เมื่อทั้งสองฝ่ายพบหน้าย่อมเกิดบทสนทนาตามมารยาทขึ้นอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ หนิวโหย่วเต้าทำหน้าที่แนะนำระหว่างฝ่ายหวงเลี่ยและฝ่ายซางเฉาจง

หวงเลี่ยอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดสำนักเขามหายานก็หนีพ้นจากการถูกขนาบโดยสองแคว้นแล้ว อยู่ในมณฑลหนานโจวย่อมดีกว่ามณฑลเป่ยโจว ตลอดการเดินทางมาก็สังเกตเห็นแล้วว่าการดูแลปกครองภายในมณฑลหนานโจวนั้นไม่เลวเลย

พอเข้าเมืองไป หวงเลี่ยอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยหนิวโหย่วเต้าและซางเฉาจง หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ทั้งสามเดินเคียงกันไป พูดคุยยิ้มแย้มตลอดทาง

ได้พบหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง เรียกได้ว่าหวงเลี่ยประเมินค่าเขาสูงขึ้นกว่าเดิม ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นเลย เพียงแค่มีสายสัมพันธ์กับอาจารย์อวี้ชาง เขาก็ควรค่าให้ชื่นชมแล้ว

ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักเขามหายานที่เดินตามหลังมาก็มีพวกหลานรั่วถิงคอยเดินอยู่เคียงกันเช่นกัน

พอมาถึงจวนผู้ว่าการมณฑล เรื่องงานเลี้ยงสังสรรค์ย่อมไม่อาจขาดได้

หลังงานเลี้ยงจบลง หวงเลี่ยที่ออกจากงานมาพร้อมกับหนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่ามาครั้งนี้วิหคของน้องหนิวเพิ่มขึ้นเป็นสี่ตัวแล้วอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ารู้ดีว่าอีกฝ่ายพะวงถึงเรื่องใด จึงหัวเราะฮ่าๆ แล้วกางห้านิ้วโบกไปมา “หากว่าเจ้าสำนักหวงยังสนใจอยู่ ข้าพูดคำไหนก็ยังคงเป็นคำนั้น!”

ก่วนฟางอี๋ที่ติดตามอยู่ด้านข้างมีสีหน้าเดียดฉันท์ พูดเสียดิบดีว่ายกให้ตนเป็นของขวัญ ถูกอีกฝ่ายเข้ามาจัดแจงขายส่งเดช หากยังมีความสุขได้ก็แปลกแล้ว

จ่ายเงินห้าล้านก็ซื้อได้แล้ว ประหยัดเงินไปได้ตั้งหลายล้าน ไม่ซื้อก็น่าเสียดาย หลังจากเหล่าผู้อาวุโสในสำนักทราบเรื่องก็ล้วนเอ่ยกระตุ้นหวงเลี่ยในเรื่องนี้

หวงเลี่ยทราบแก่ใจดี นี่เป็นเพราะทุกคนล้วนอยากจะใช้งานวิหคยักษ์ ในเมื่อเจ้าสำนักอย่างเขาบอกแล้วว่าจะไม่สงวนไว้ใช้ส่วนตัว เช่นนั้นคนที่จะเรียกใช้งานวิหคยักษ์ในเวลาปกติก็ย่อมต้องเป็นผู้อาวุโสเหล่านั้น

แต่หวงเลี่ยยังคงแสร้งทำเป็นถอนใจ เอ่ยไปว่า “สำนักเขามหายานมีคนมากมาย ยังมีอีกหลายเรื่องที่จำเป็นต้องใช้เงิน อพยพโยกย้ายครานี้ก็สิ้นเปลืองเงินไปไม่น้อย พอจะฝืนเจียดออกมาได้เพียงห้าล้านเท่านั้น”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเชื้อเชิญทันที “เช่นนั้นก็ลองดูก่อน หากเจ้าสำนักหวงต้องตาตัวใดก็ซื้อเพียงตัวนั้นไปได้เลย”

หวงเลี่ยหันไปถามผู้อาวุโสที่ติดตามมา “เช่นนั้นไปดูกันหน่อยดีหรือไม่?”

“ดีขอรับ!” เหล่าผู้อาวุโสพากันตอบรับ

ทั้งคณะเดินทางยังเรือนพำนักของหนิวโหย่วเต้า มองเห็นวิหคยักษ์สี่ตัวที่ดวงตาสุกใสแวววาว ต่างเดินวนชื่นชมดู

วิหคพาหนะเหล่านี้มีอายุขัยจำกัด หากจะซื้อจริงๆ ก็ต้องเลือกซื้อตัวที่อายุน้อยที่สุด ใช้งานในระยะยาวได้คุ้มกว่า

แน่นอน อันสิ่งที่เรียกว่าอยุขัยจำกัดนี้ก็ไม่อาจสรุปอย่างแน่ชัดได้ อายุขัยจำกัดที่ว่าเป็นเพียงการประเมินคร่าวๆ เท่านั้น

กล่าวโดยสรุปก็เหมือนกับสัตว์ทั่วไป ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพร่างกายตามธรรมชาติหรือไม่ก็การเลี้ยงดู บางตัวก็อยู่ได้ยาวนานหลายปี บางตัวที่อยู่ในวัยเดียวกันอาจจะตายเร็วกว่าก็เป็นได้

ท้ายที่สุดแล้ว เหล่าผู้อาวุโสก็เลือกอินทรีหยกทมิฬตัวหนึ่งที่ดูงามสง่าที่สุดไป หลังจากทดลองบินวนดูสามสี่รอบแล้วก็ล้วนพึงพอใจกันเป็นอย่างมาก

ต่อมาหวงเลี่ยสั่งให้คนนำตั๋วแลกทองห้าล้านเหรียญทองมอบแก่หนิวโหย่วเต้า ซึ่งตั๋วแลกทองก็เข้าสู่กระเป๋าของก่วนฟางอี๋

ด้วยเหตุนี้อินทรีหยกทมิฬตัวนั้นจึงถูกนำกลับไปที่สำนักเขามหายาน ถูกคนของสำนักเขามหายานพาตัวไป

จากนั้นทางนี้ก็คุยเรื่องงานกันต่อ เป็นเรื่องที่ไม่สะดวกจะเอ่ยต่อหน้าซางเฉาจงในงานเลี้ยง เรื่องบางส่วนไม่เกี่ยวข้องกับซางเฉาจง แล้วไม่จำเป็นต้องได้รับการตัดสินใจจากซางเฉาจง

สามเจ้าสำนักก็อยู่ในที่นี้ด้วย หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถึงเรื่องแบ่งปันผลประโยชน์ในมณฑลหนานโจว ทางฝั่งเขาก็มีคนไม่น้อยเช่นกัน ยังไงก็ต้องมีสถานที่ลงหลักปักฐาน

เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่อาจยอมลดราวาศอกกันได้ หวงเลี่ยเองก็เตรียมพร้อมที่จะต่อรองแล้ว ถามออกไปว่า “เจ้าต้องการอาณาเขตกว้างเพียงใด?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้าขอเพียงจังหวัดชิงซานแห่งเดียวไว้ลงหลักปักฐานก็พอแล้ว เพราะว่ามีคนของสามสำนักด้วย ด้วยกำลังของสำนักเขามหายานในตอนนี้แล้ว การเข้าควบคุมดูแลหนานโจวอย่างครอบคลุมก็อาจเกิดช่องโหว่ได้ง่ายเช่นกัน ทางสำนักของพวกเขาสามารถช่วยดูแลในบางเรื่องให้ได้ เจ้าสำนักหวงคงไม่ถึงขั้นที่แม้แต่จังหวัดเดียวก็ให้ไม่ได้กระมัง?”

“เต้าเหยี่ย!” พวกเฟ่ยฉางหลิวค่อนข้างร้อนใจ พวกเขาสามสำนักทุ่มเทไปมากขนาดนี้ กลับต้องมาเบียดเสียดอยู่ในจังหวัดเดียวอย่างนั้นหรือ?

หนิวโหย่วเต้ายกมือปรามทั้งสาม สื่อว่าให้สงบใจเอาไว้ ปล่อยให้ตนจัดการเอง

ขอเพียงจังหวัดเดียวอย่างนั้นหรือ หวงเลี่ยค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองท่าทีของพวกเฟ่ยฉางหลิว เอ่ยเนิบๆ ว่า “หากขอจังหวัดชิงซานเพียงแห่งเดียวข้าก็ไม่ขัดข้อง ข้าสามารถตัดสินใจเดี๋ยวนี้ได้เลย แต่น้องหนิวสามารถตัดสินใจแทนทางฝั่งนั้นได้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้าจะมอบคำอธิบายต่อพวกเขาสามสำนักเอง”

หวงเลี่ยเอ่ยตัดสิน “ดี เช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้!”

หนิวโหย่วเต้ายกมือขึ้น ตบมือกับเขา นับว่าแลกคำสัตย์กันแล้ว

จากนั้นหนิวโหย่วเต้าให้คนของสามสำนักถอยออกไป เชิญหวงเลี่ยไปเดินเล่นด้วยกันตามลำพัง เมื่อทั้งสองออกจากเรือนทางนี้แล้วก็ไปเดินเล่นทางสวนบุปผา

ระหว่างเดินหนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่ากำลังคนที่อยู่ทางเป่ยโจวจะอพยพมาครบถ้วน”

หวงเลี่ยตอบว่า “ราวหนึ่งเดือนกระมัง สามสำนักใหญ่ต้องการให้การส่งมอบสงบราบรื่น ทางข้าก็ต้องให้ความร่วมมือเช่นกัน เออใช่ ได้ยินว่าน้องหนิวจะพักอยู่ในจังหวัดชิงซานต่อไป ไม่มาพักในจวนผู้ว่าการทางนี้อย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น ในเมื่อส่งมอบหนานโจวให้แก่สำนักเขามหายานแล้ว ข้าก็ไม่มีทางมาพำนักอยู่ในจวนผู้ว่าการทางนี้แล้วเข้าไปแทรกแซงอันใดอีก ข้าจะเว้นระยะห่างกับทางนี้ นี่คือความจริงใจของข้าที่สำนักเขามหายานจะได้เห็นในวันข้างหน้า”

หวงเลี่ยได้ฟังวาจาก็พอใจ พยักหน้าเอ่ยไปว่า “น้องหนิวเป็นคนฉลาด อยู่สงบไร้ปัญหาล้วนดีต่อทุกคนฝ่าย”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “แต่วันนี้ต่างไปจากวันวานแล้ว สำนักเขามหายานควรส่งยอดฝีมือที่แท้จริงมาประจำการที่จวนผู้ว่าการมณฑลจะดีที่สุด”

“เจ้ากำลังกังวลกับทางฝั่งราชสำนักแคว้นเยี่ยนอย่างนั้นหรือ?”

“เจ้าสำนักหวงมีสายตากว้างไกล ซางเฉาจงในวันวานไม่คุ้มค่าพอจะให้ซางเจี้ยนสยงเคลื่อนไหวจนแคว้นเยี่ยนวุ่นวาย มีความเสี่ยงสูงเกินไป แต่ซางเฉาจงในปัจจุบันนี้คุกคามไปถึงบัลลังก์ของซางเจี้ยนสยงได้แล้ว เกรงว่าซางเจี้ยนสยงคงยอมทุ่มเททุกอย่างที่มี ในอดีตถูกแทรกแซงจากเรื่องในด้านต่างๆ ราชสำนักคิดจะยื่นมือเข้ามายุ่งกับหนานโจวก็ยังมีเรื่องให้ต้องห่วงพะวงอยู่ เอาไว้เมื่อการแลกเปลี่ยนเป่ยโจวเสร็จสิ้นแล้ว เรื่องราวแน่ชัดแล้ว เกรงว่าราชสำนักคงเข้าเล่นงานเป่ยโจวทุกวิถีทาง และเรื่องที่ข้ากังวลใจมากที่สุดคือราชสำนักอาจจะยุแยงให้พวกเราแตกคอกัน ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักหวงจะทนรับผลกระทบในส่วนนี้ได้หรือไม่?”

นี่คือสาเหตุที่หนิวโหย่วเต้าเป็นฝ่ายยอมถอยด้านผลประโยชน์ให้ หวังจะซื้อใจสำนักเขามหายานไว้

หวงเลี่ยก็พิจารณาในเรื่องนี้แล้วเช่นกัน อยู่ในมณฑลเป่ยโจวก็มีปัญหา ถ่อมาถึงทางนี้แล้วก็ยังต้องเผชิญกับปัญหา แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ทางนี้ยังดีกว่ามาก มณฑลเป่ยโจวถูกทำให้กลายเป็นเช่นนั้นไปแล้ว สำนักเขามหายานจำเป็นต้องรามือ

หวงเลี่ยก็ไม่ได้บอกว่าตนจะรับไหวหรือไม่ “ข้าใช่คนที่จะเอาใจออกห่างได้ง่ายๆ หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าทราบดีว่าสำนักแห่งหนึ่งไม่สามารถใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องราวได้ ไม่อาจหวังพึ่งพาสายสัมพันธ์ส่วนตัวได้ ขอเพียงมอบผลประโยชน์ที่มากพอให้สำนักเขามหายานได้ ก็ไม่มีอันใดที่จะทำให้ต้องเอาใจออกห่าง “ข้าเพียงอยากเตือนเจ้าสำนักหวงเอาไว้ ภายในแคว้นเยี่ยน สำนักที่คอยจับจ้องชิ้นปลามันอย่างหนานโจวนั้นมีอยู่ไม่น้อย ขุนนางใหญ่ในราชสำนักเหล่านั้นก็มีสายสัมพันธ์อันดีกับสำนักมากมาย หากว่ากันในแง่สายสัมพันธ์กับราชสำนักแล้ว สำนักเขามหายานที่เคยทรยศต่อแคว้นเยี่ยนจะไปเทียบได้อย่างไร? จะมีผู้ใดไปยุยงราชสำนักเพื่อหวังเข้ามาแทนที่สำนักเขามหายานหรือเปล่า?”

“แคว้นเยี่ยนตกอยู่ในวิกฤตระยะสุดท้ายแล้ว จะล่มสลายลงยามใดก็ยังไม่รู้ เมื่อเกิดเหตุวุ่นวายใหญ่โตขึ้นมา ไม่ว่าคำมั่นใดๆ ที่ซางเจี้ยนสยงเคยรับปากสำนักเขามหายานไว้ล้วนจะว่างเปล่าเหมือนดั่งจันทราในวารี…”

หวงเลี่ยเอ่ยตัดบท “เจ้าคิดมากไปแล้ว สำนักเขามหายานในตอนนี้ใฝ่หาความมั่นคง ต้องการเวลาสำหรับขยายอำนาจ หากว่าใช่สำนักที่ผู้ใดมอบคำมั่นให้ก็หวั่นไหวได้ เช่นนั้นคงหวั่นไหวตั้งแต่อยู่ในเป่ยโจวแล้ว ไม่ต้องรอจนมาอยู่ที่หนานโจวหรอก ขอเพียงสถานการณ์ในหนานโจวไม่วุ่นวาย สำนักเขามหายานก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายก่อความวุ่นวายในหนานโจวเสียเอง”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเอ่ยไปว่า “เช่นนั้นก็ดี ขอเพียงสถานการณ์ภายในหนานโจวสงบมั่นคง ทุกฝ่ายรวมใจเป็นหนึ่ง แคว้นเยี่ยนในตอนนี้ก็ไร้กำลังจะคุกคามหนานโจวได้”

ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ ทั้งสองก็เดินเข้ามาถึงสวนบุปผาแล้ว ระหว่างที่หวงเลี่ยเดินๆ อยู่ก็ถอนหายใจพลางเอ่ยไปว่า “ไร้กำลังจะคุกคามก็ส่วนไร้กำลัง แต่เกรงว่าคงหาทางสร้างปัญหาให้ทางฝั่งนี้โดยไม่เลือกวิธีการ”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ขอเพียงสำนักเขามหายานดูแลหนานโจวให้ดี ช่วยดูแลคนของทางข้าให้ดี เรื่องเล่ห์กลลูกไม้เหล่านั้นยกให้ข้าจัดการเอง สำนักเขามหายานไม่จำเป็นต้องเปลืองความคิดเลย อย่างมากก็แค่ให้หยิบยืมกำลังของสำนักเขามหายานในยามที่จำเป็นเท่านั้น”

หวงเลี่ยปรายตามอง ไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรที่ทำให้เสียอารมณ์ “ค่อยเป็นค่อยไป พอถึงเวลานั้นแล้วค่อยว่ากัน ใช่แล้ว หลงซิวฝากให้ข้ามาถ่ายทอดข้อความต่อเจ้า”

หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ “เชิญว่ามาเลย”

หวงเลี่ยเอ่ยว่า “ก็ไม่มีอะไรมาก หลงซิวบอกว่า ให้เจ้าหาเวลาไปเยือนวังเหินเวลาสักรอบ”

“ให้ข้าไปเยือนวังเหินเวหา? ได้บอกหรือไม่ว่ามีเรื่องใด?”

“ข้าเพียงรับถ่ายทอดวาจา หลงซิวคิดจะทำอะไรข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”

ทั้งสองคนเดินวนพูดคุยกันอยู่ภายในสวนบุปผาหลายรอบ เรื่องที่สมควรคุยกันก็คุยกันทั้งหมด นี่คือหนึ่งในเป้าหมายที่หนิวโหย่วเต้ามาพบในครั้งนี้

จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็แยกย้ายกันไป หนิวโหย่วเต้าเพิ่งจะกลับมาถึงเรือน สามเจ้าสำนักก็เข้ามาหาแล้ว ยกอาณาเขตหนึ่งจังหวัดให้พวกเขาแบ่งกันสามสำนัก จะไม่ให้พวกเขาร้อนใจได้อย่างไร

หนิวโหย่วเต้าทราบความคิดของพวกเขา ยกมือขึ้น สื่อให้สงบใจเอาไว้ เมื่อทั้งหมดเข้าไปนั่งในศาลาแล้วถึงได้เอ่ยว่า “ความมั่นคงของหนานโจวเป็นเรื่องส่วนรวม อย่ามองเพียงผลประโยชน์เล็กน้อยในตอนนี้ ต้องมองการณ์ไกลเข้าไว้”

เซี่ยฮวาเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “พวกเราทราบดีว่าต้องมองการณ์ไกลเข้าไว้ แต่อาศัยเพียงมองการณ์ไกลไม่มีประโยชน์ ต้องคิดเพื่อปัจจุบันเช่นกัน หากกลับไปพร้อมผลลัพธ์เช่นนี้ พวกเราก็ไม่สามารถมอบคำอธิบายให้แก่เหล่าศิษย์ในสำนักที่ตั้งตารอได้เช่นกัน”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “สำนักหยกสวรรค์ออกไปแล้ว กำไรจากการค้าสุราแต่ละปีมอบให้ข้าสามล้านเหรียญทองก็พอ ส่วนที่เหลือพวกท่านเอาไปแบ่งกันได้เลย สุราที่ผลิตขึ้นก็จะมอบให้พวกท่านสามสำนักไปจัดจำหน่าย”

เพียงประโยคเดียวก็อุดปากทั้งสามจนพูดไม่ออกได้แล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายยินดีมอบผลประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ให้พวกเขาไปแบ่งกัน เช่นนั้นพวกเขายังจะว่าอะไรได้อีก

สำหรับหนิวโหย่วเต้าแล้ว นี่ก็นับเป็นกำไรอย่างหนึ่งที่ได้จากการขับไล่สำนักหยกสวรรค์ออกไป

ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างเสียดายนัก…

ตกค่ำ ซางเฉาจงก็จัดงานเลี้ยงรับรองสำนักเขามหายานอีกครั้ง

เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง หนิวโหย่วเต้ากลับไปยังเรือนของตนได้ไม่นาน เหมิงซานหมิงที่นั่งบนรถเข็นก็ถูกคนเข็นเข้ามา

หนิวโหย่วเต้าออกมาต้อนรับ หลังจากเข้าสู่โถงรับแขกแล้ว เหมิงซานหมิงก็โบกมือสื่อให้หลัวต้าอันถอยออกไป

หลังจากยกน้ำชามาแล้ว หนิวโหย่วเต้าเป็นฝ่ายเอ่ยถาม “แม่ทัพเหมิงมีเรื่องใดหรือ?”

เหมิงซานหมิงหัวเราะฮ่าๆ “ก็ไม่มีเรื่องใด ได้ยินว่าพรุ่งนี้เช้าเต้าเหยี่ยจะกลับไปยังจังหวัดชิงซานแล้ว ไม่รั้งอยู่ต่ออีกสองสามวันหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้านิดๆ “พวกท่านมีงานมากพอแล้ว ข้าอยู่ทางนี้กลับจะเป็นการรบกวนการทำงานของพวกท่านเปล่าๆ”

เหมิงซานหมิงก็ไม่บังคับเช่นกัน “คืออย่างนี้ วันนี้ท่านหญิงไปหาท่านอ๋อง ความต้องการของท่านหญิงคืออยากตามเต้าเหยี่ยกลับไปที่จังหวัดชิงซานด้วย”

“ท่านหญิงจะไปด้วยหรือ?” หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วนิดๆ มองออกไปด้านนอก “จังหวัดชิงซานไหนเลยจะเทียบความเจริญในเมืองหนานโจวได้ อีกทั้งข้าอาศัยอยู่ในหุบเขา มิใช่ว่าข้าจะบ่ายเบี่ยง แต่ชีวิตในหุบเขาค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับมนุษย์ธรรมดา เกรงว่าท่านหญิงจะทนรับความเงียบเหงาไม่ไหว อีกอย่างอายุของท่านหญิงก็ไม่น้อยแล้วกระมัง? ควรพิจารณาหาคนที่เหมาะสมสำหรับแต่งงานได้แล้ว หากอยู่ในหุบเขาข้าเกรงว่าจะทำให้ท่านหญิงเสียเวลา”

…………………………………………………………………………