ตอนที่ 557 ได้แต่แสร้งทำเลอะเลือน
เหมิงซานหมิงถามกลับไป “แต่งกับผู้ใดเล่า?”
“….” หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก จะแต่งกับผู้ใดนั้นนับว่าเป็นปัญหาจริงๆ
ปัญหาของซางซูชิงไม่ได้อยู่ที่รูปโฉมอัปลักษณ์หรือไม่ หากแต่เป็นเรื่องที่หน้าตาชวนสยอง คนธรรมดาทั่วไปไม่มีผู้ใดกล้าแต่งด้วย
แต่แน่นอน ด้วยฐานะอำนาจของสกุลซางในขณะนี้ ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะขายไม่ออก แต่หากจะให้ออกเรือนกับคนที่ไม่ธรรมดาหรือคนที่ละโมบในอำนาจทรัพย์สิน ตัวหนิวโหย่วเต้าเองก็พูดไม่ได้เช่นกัน
โลกภายนอกมีบุรุษหิวโหยกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่นอยู่มากมาย ขอเพียงได้กินอิ่มท้อง คาดว่าคงยอมแต่งแม้แต่กับแม่หมูเป็นแน่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเกียรติยศความมั่งคั่งเลย แต่ดีร้ายอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงท่านหญิง ซ้ำยังฉลาดเฉลียว พิณหมากตำราภาพล้วนเชี่ยวชาญ อีกทั้งเกิดมาเพียบพร้อมสุขสบาย อาศัยเพียงคุณสมบัติพื้นฐานที่มีอยู่ จะให้สุ่มเลือกบุรุษหิวโซสักคนมาแต่งด้วยก็ออกจะไม่เข้าท่าเช่นกัน พื้นฐานชาติตระกูลไม่เท่าเทียมกัน มีความห่างชั้นมากเกินไป อยู่ร่วมกันนานวันเข้าจะกลายเป็นหายนะ เมื่ออีกฝ่ายได้อิ่มหนำอยู่ดีขึ้นมาก็อย่าหวังเลยว่าอีกฝ่ายจะเห็นค่าในคุณสมบัติชาติตระกูลของนางและไม่นึกรังเกียจรูปโฉมนาง
เหมิงซานหมิงถอนหายใจพลางเอ่ยไปว่า “ท่านหญิงกล่าวไว้ว่าชาตินี้นางจะไม่ออกเรือน”
“ไม่ออกเรือนหรือ? เรื่องนี้…” หนิวโหย่วเต้าลูบจมูกหัวเราะแหะๆ “ออกเรือนไปก็ใช่ว่าจะดี ไม่ออกเรือนก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย แต่หากไม่ออกเรือนเลยชั่วชีวิต ชีวิตนี้อาจจะหลงเหลือความรู้สึกเสียดายอย่างใหญ่หลวงอยู่ ดีร้ายอย่างไรก็ต้องลองประสบดูถึงจะเข้าใจในเส้นทางที่ตนจะเลือก ยังไม่ทันได้ลองก็บอกว่าจะปล่อยวางแล้ว ออกจะฝืนเกินไปเสียหน่อย”
เหมิงซานหมิงพยักหน้า “ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะอยากปรึกษาเรื่องนี้กับเต้าเหยี่ย”
หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ “หรือว่าท่านแม่ทัพเหมิงอยากจะหาคู่ครองให้ท่านหญิง?”
เหมิงซานหมิงส่ายหน้า “ไม่ได้มาคุยเรื่องนี้ หากแต่มาคุยเรื่องใบหน้าของท่านหญิง ท่านหญิงหาได้อัปลักษณ์มาแต่กำเนิดไม่ ปานดำที่เหมือนจุดด่างพร้อยบนใบหน้าเกิดจากฝีมือของมนุษย์”
หนิวโหย่วเต้าแปลกใจ “ผู้ใดกันที่ทำเรื่องไร้ศีลธรรมพรรค์นี้ออกมาได้”
เหมิงซานหมิงผงะไปเล็กน้อย โบกมือพลางเอ่ยว่า “ไม่เกี่ยวกับความไร้ศีลธรรม ผู้ที่สร้างรอยปานขึ้นบนใบหน้าของท่านหญิงก็มิใช่ใครอื่น เป็นตงกัวเฮ่าหรานอาจารย์ของเต้าเหยี่ยอย่างไรเล่า”
“เขาหรือ?” หนิวโหย่วเต้าแปลกใจยิ่งกว่าเดิม ไม่คิดเลยว่าตัวไร้ศีลธรรมที่เพิ่งก่นด่าไปจะเป็นผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ของตน “เหตุใดเขาถึงต้องทำร้ายท่านหญิงด้วย?”
“ก็ไม่อาจเรียกว่าทำร้ายได้ ตอนที่ท่านหญิงเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา นางร้องไห้งอแงอยู่ตลอด ท่านอ๋องผู้ล่วงลับเสาะหาหมอดีมารักษาก็จนปัญญาจะแก้ไขได้ บังเอิญอาจารย์ของเต้าเหยี่ยมาหาพอดี ท่านอ๋องจึงเชิญอาจารย์ของท่านมาตรวจอาการ…” เหมิงซานหมิงเล่าต้นสายปลายเหตุในอดีตครานั้นออกมา
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” หนิวโหย่วเต้าฟังจบก็ขมวดคิ้วพึมพำ “ฝืนลิขิตฟ้าเปลี่ยนแปลงชะตา หวานต้นจักขมปลาย แก้ให้ขมนำค่อยตามด้วยหวาน เป็นความจริงหรือ? วาจาเช่นนี้พวกท่านก็เชื่ออย่างนั้นหรือ?”
เหมิงซานหมิงถอนหายใจเอ่ยไปว่า “เรื่องนี้ฟังแล้วดูค่อนข้างงมงาย แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากประทับปานนี้แล้วท่านหญิงก็หยุดร้องไห้จริงๆ ซ้ำยังหัวเราะร่าออกมาด้วย เรื่องราวในภายหลังก็ดูเหมือนจะยืนยันคำทำนายของอาจารย์ท่านแล้ว ลองคิดดูสิ หากรูปโฉมของท่านหญิงไม่มีปัญหา เกรงว่าคงออกเรือนไปตั้งแต่สิบห้าสิบหกแล้ว จากนั้นพอจวนอ๋องประสบเหตุร้าย ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว เรียกได้ว่าท่านหญิงเลี่ยงเคราะห์มาได้จริงๆ!”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้านิดๆ รู้สึกคล้ายจะค่อนข้างสมเหตุสมผล เมื่อเกิดเหตุร้ายกับหนิงอ๋อง มีคนมากน้อยเท่าไรที่รีบตัดสัมพันธ์ไป ย่อมไม่ต้องกล่าวถึงจุดจบของซางซูชิงเลย ต่อให้ไม่ได้ออกเรือนไป แต่ถ้าหากนางเป็นสตรีรูปโฉมงดงามคนหนึ่งจริงๆ ก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องเผชิญความอัปยศเช่นใดบ้าง บอกว่าเลี่ยงเคราะห์มาได้ก็ไม่เกินไปเลย
พอได้ยินเช่นนี้ เขาคล้ายจะเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว จึงลองถามออกไป “แม่ทัพเหมิงต้องการให้ข้าลบปานบนใบหน้าของท่านหญิงหรือ?”
เหมิงซานหมิงเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ยเป็นศิษย์สืบทอดของอาจารย์ตงกัว ในเมื่อเหตุเกิดขึ้นจากอาจารย์ตงกัว คาดว่าเต้าเหยี่ยก็ต้องมีวิธียุติผลจากเหตุนี้ได้ ขอเพียงใบหน้าของท่านหญิงฟื้นฟูสู่สภาพเดิม คาดว่าคงหาคู่ครองได้ไม่ยากแล้ว”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มแห้งๆ “พวกท่านก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ตอนที่ข้าพบเขา ได้คุยกันไม่กี่ประโยคเขาก็ตายแล้ว ไม่ได้ถ่ายทอดสิ่งใดให้ข้าเลย ตอนอยู่ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ข้าก็ถูกกักบริเวณไว้ มิได้ร่ำเรียนสิ่งใดเลยเช่นกัน ไม่ทราบวิธีขจัดปานออกไปจริงๆ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ตอนนี้อย่าเพิ่งรีบร้อนไป รอให้ข้ามีโอกาสเหมาะแล้วจะสอบถามคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ดูว่าพวกเขามีวิธีหรือไม่ หากว่ามี ข้าจะให้ทางสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คืนรูปโฉมอันงดงามให้ท่านหญิงแน่นอน”
“ก็คงทำได้เพียงเท่านั้นแล้ว…” เหมิงซานหมิงพยักหน้า ถ้อยคำบางอย่างจ่อขึ้นมาถึงปาก แต่ก็ต้องสะกดเก็บเอาไว้
เขาสังเกตเห็นแล้วว่าความคิดของตนรวมถึงทางฝั่งท่านอ๋องออกจะคิดไปเองแต่เพียงฝ่ายเดียว ด้วยรูปโฉมของท่านหญิงในตอนนี้ ด้วยศักดิ์ฐานะของอีกฝ่ายในยามนี้ หากจะให้อีกฝ่ายรับไว้ก็ออกจะเป็นการบังคับใจคนไปเสียหน่อย
สุดท้ายแล้วก็คิดว่าเอ่ยเรื่องเช่นนั้นขึ้นมาคงไม่เหมาะ หากพูดไปแล้วถูกอีกฝ่ายปฏิเสธขึ้นมา ทุกคนจะกระอักกระอ่วนกันหมด
พอคิดๆ ไปแล้วก็ตัดสินใจทำตามที่อีกฝ่ายกล่าวมา รอดูก่อนว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะสามารถรักษาปานบนหน้าท่านหญิงได้หรือไม่แล้วค่อยว่ากัน
พอเปลี่ยนประเด็นไปได้แล้ว เขาก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ยเองก็ทราบดี ถึงแม้ท่านหญิงจะคุ้นเคยกับรูปโฉมของตัวเองไปแล้ว แต่พระองค์ก็มิใช่คนที่ชอบความครึกครื้นอันใด จะอยู่ในจังหวัดชิงซานหรือว่าอยู่ในตัวเมืองสำหรับท่านหญิงแล้วไม่ต่างกันเลย อีกทั้งมีท่านหญิงอยู่กับทางฝั่งเต้าเหยี่ยก็คอยเป็นหูเป็นตาให้ทางนี้ได้มิใช่หรือ มีเรื่องใดก็สามารถอาศัยท่านหญิงเป็นตัวกลางติดต่อระหว่างสองฝ่ายได้”
หนิวโหย่วเต้าดูลังเลอย่างเห็นได้ชัด เรื่องบางอย่างเขาทราบแก่ใจดี แต่ไม่กล้าเปิดโปงออกไป ได้แต่แสร้งทำเลอะเลือน สุดท้ายยังคงพยักหน้ารับเอาไว้
พอเห็นว่าเขาตอบตกลงแล้ว เหมิงซานหมิงก็ไม่พูดอะไรอีก เอ่ยเรื่องอื่นขึ้นมาแทน “เพิ่งได้รับข่าวจากทางมณฑลจินโจวมา ไห่หรูเยวี่ยให้กำเนิดบุตรชายอีกคนแล้ว ไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบต่อความเป็นพันธมิตรระหว่างทั้งสองฝ่ายหรือไม่”
หนิวโหย่วเต้าค่อนข้างแปลกใจ “เพิ่งแต่งกับหลีอู๋ฮวาได้ราวครึ่งปีเองมิใช่หรือ? ไยถึงคลอดบุตรเร็วปานนี้ คลอดก่อนกำหนดหรือ?”
เหมิงซานหมิงกล่าวว่า “เห็นบอกว่าคลอดก่อนกำหนด แต่ทางนั้นมีข่าวลือบางอย่างอยู่ น่าจะมิใช่คลอดก่อนกำหนด แต่คงเป็นเพราะมีความสัมพันธ์กับหลีอู๋ฮวามาแต่แรกแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าพลางหัวเราะ “สตรีนางนี้ใช้ได้เลยจริงๆ เลือกใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อปกป้องตัวเอง น่าจะไม่กระทบต่อเรื่องการเป็นพันธมิตรหรอก ขอเพียงจินโจวยังอยู่ในสถานะรัฐอิสระ ก็ไม่มีทางละทิ้งกำลังสนับสนุนจากทางหนานโจวไปง่ายๆ วันหน้าข้าจะต้องไปเยือนจินโจวด้วยตัวเองสักรอบแล้ว ไปร่วมแสดงความยินดีพร้อมถือโอกาสสอดส่องสถานการณ์ดูหน่อย”
เหมิงซานหมิงคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ถอนหายใจออกมาเบาๆ “สตรีนางนี้ก็ลำบากเช่นกัน นึกถึงว่าในอดีตเป็นสาวน้อยเรียบง่ายใสซื่อคนหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าปัจจุบันนี้จะก้าวมาถึงจุดนี้ได้”
หลังจากทั้งสองสนทนากันต่อไปอีกสักพัก เหมิงซานหมิงก็ขอตัวอำลาไป
หนิวโหย่วเต้าออกมาส่งที่ประตูเรือนด้วยตัวเอง ก่อนจะลาจากกัน เหมิงซานหมิงเอ่ยเตือนขึ้นมาอีกประโยค “เมื่อไม่นานมานี้ท่านอ๋องสั่งให้คนพาตัวอนุสองคนนั้นไปส่งยังเป่ยโจวแล้ว บอกว่าส่งตัวคืนแก่ตระกูลเฟิ่ง” ว่าจบก็โบกมือเล็กน้อยให้หลัวต้าอันเข็นรถเข็นจากไป
หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่นอกประตูเรือนพลางใคร่ครวญตาม วิธีจัดการของซางเฉาจงค่อนข้างเหมาะสมทีเดียว หากว่าสังหารทิ้งเลยก็ออกจะไร้เมตตาและโหดร้ายเกินไปหน่อย ส่งตัวคืนให้ตระกูลเฟิ่งจัดการ การปล่อยให้ตระกูลเฟิ่งไปจัดการเอาเองนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน
เขาดึงความคิดกลับมา หมุนตัวแล้วเดินกลับไป มุ่งหน้าไปทางห้องของก่วนฟางอี๋
ก่วนฟางอี๋ปิดประตูลงกลอน หนิวโหย่วเต้าเคาะประตูเล็กน้อย มีเสียงอู้อี้ของก่วนฟางอี๋แว่วมาจากด้านใน “อาบน้ำอยู่!” คล้ายจะเดาได้ว่าเป็นใครมาเคาะห้อง
หนิวโหย่วเต้าไม่สนใจ หลังจากใช้พลังสะเดาะกลอนแล้วก็เปิดเข้าไป ผลคืออีกฝ่ายไม่ได้หลอกตัวเอง แต่กำลังอาบน้ำอยู่จริงๆ
เพียงแต่มีม่านแพรแขวนบังไว้รอบถังอาบน้ำ มองเห็นเงาร่างสลัวเลือนรางอยู่ด้านหลังม่านแพร หนิวโหย่วเต้าเดินวนอยู่นอกม่านพลางหัวเราะแห้งๆ “เข้าใจผิดน่ะ”
“เข้าใจผิดกับปู่เจ้าสิ!” ก่วนฟางอี๋ด่าทันที “โชคดีที่ข้าเตรียมการป้องกันคนสารเลวอย่างเจ้าไว้ก่อน!”
หนิวโหย่วเต้าไม่เถียงกับนางอีก “มาคุยเรื่องงานเถอะ อีกเดี๋ยวเตรียมเงินมาหนึ่งล้าน ให้คนของสำนักเบญจคีรีนำไปส่งยังสำนักหมื่นสรรพสัตว์ มอบให้เฉาเซิ่งไหว”
“ไม่ให้!” ก่วนฟางอี๋ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
นางจะปฏิเสธก็เรื่องของนาง หนิวโหย่วเต้าก็ไม่เอ่ยจู้จี้อีก ปลายนิ้วแตะไล้ม่านแพรเล็กน้อย หันหลังเดินออกไป ปล่อยให้นางด่าลมด่าแล้งไป
เมื่อเงาร่างคนที่ต้องการด่าหายไป ก่วนฟางอี๋ก็ไม่ด่าต่ออีก คลายสองมือที่ยกบังอกลง นั่งวักน้ำในถังอาบน้ำ ลูบไล้ร่างตนพลางขมวดคิ้วบ่นงึมงำ
นางไม่ค่อยเข้าใจนัก ติดเงินเฉาเซิ่งไหวอยู่อีกสี่ล้าน จะให้ก็ไม่ให้ทั้งหมด ให้แค่ล้านเดียวมันหมายความว่าอย่างไร ไม่รู้เหมือนกันว่าหนิวโหย่วเต้าวางแผนร้ายอันใดอีก
….
รุ่งเช้าวันต่อมา พวกซางเฉาจงออกมาส่ง ก่วนฟางอี๋ส่งสัญญาณให้คนไปรับห่อสัมภาระในมือซางซูชิงมา
ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายร่ำลากันตามมารยาท หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปหาเฟิ่งรั่วหนาน ครั้งนี้เฟิ่งรั่วหนานก็มาส่งเช่นกัน
“พระชายาแบกรับความผิดชอบใหญ่หลวงในการสืบทายาทให้ท่านอ๋อง แต่ผ่ายผอมเกินไปแล้ว ทำอย่างกับว่าท่านอ๋องรังแกพระองค์เช่นนั้นแหละ” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยหยอกเย้าประโยคหนึ่ง
ซางเฉาจงอึดอัดไม่เป็นตัวเอง
เฟิ่งรั่วหนานก้มหน้าเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา “ขอให้เต้าเหยี่ยเดินทางโดยสวัสดิภาพ”
ในขณะที่หนิวโหย่วเต้าหันไปเอ่ยร่ำลากับเหมิงซานหมิง มองเห็นหลัวต้าอันถือทวนสองเล่มติดตัวอยู่ตลอดเวลา จึงอดถามไม่ได้ว่า “ต้าอัน ไยเจ้าถึงถือทวนสองเล่มติดมือไปไหนมาไหนด้วยตลอดเลย?”
เขากับหลัวต้าอันรู้จักกัน รู้จักกันตอนเขาไปเก็บตัวบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุขั้นสร้างรากฐานที่หมู่บ้านในหุบเขาปีนั้นแล้ว
หลัวต้าอันมองไปที่เหมิงซานหมิง เกาหัวพลางเอ่ยอย่างเขินอายเล็กน้อย “อาจารย์บอกว่า ภายในห้าปีนี้ทวนต้องไม่ห่างมือ ต้องผสานรวมกับทวนจนสามารถควบคุมได้ดั่งแขนขาขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าร้องอ้อ เข้าใจแล้ว จึงยิ้มออกมา
ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างมองกระบี่ในมือหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อยทันที
“ต้าอัน จำเอาไว้นะ พระชายาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องของท่านพ่อเจ้า ข้อนี้ข้ารับประกันได้ ตระกูลเฟิ่งก็ส่วนตระกูลเฟิ่ง พระชายาก็ส่วนพระชายา พระชายาเองก็เป็นผู้เสียหายเช่นกัน พระชายาเลือกยืนเคียงข้างฝั่งท่านอ๋องมาโดยตลอด ในฐานะบุรุษต้องแยกแยะถูกผิดให้ได้ หากแม้แต่เรื่องนี้ยังแยกแยะได้ไม่กระจ่าง ยังจะพูดถึงอนาคตอันใดได้อีก ต้าอัน หากข้ารู้ว่าเจ้าไม่ให้เกียรติพระชายา ระวังข้าจะมาจัดการเจ้านะ!” หนิวโหย่วเต้าตบไหล่หลัวต้าอันแล้วเอ่ยถาม “เข้าใจหรือไม่?”
นี่ต่างหากที่เป็นจุดประสงค์ที่เขามาพูดคุยกับหลัวต้าอัน
หลัวต้าอันก้มหน้าพลางส่งเสียง ‘อื้อ’ ออกมา
ก่วนฟางอี๋ยิ้มขึ้นมา เหลือบมองปฏิกิริยาของทุกคน วาจาที่ดูเหมือนจะตำหนิเด็กชายนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ต่างแสดงสีหน้าแตกต่างกันไป เหมิงซานหมิงก้มหน้าหลุบตา
ทั้งสองฝ่ายลาจากกันตรงนี้ กลุ่มวิหคพาหนะเหินขึ้นสู่อากาศ
เฟิ่งรั่วหนานที่ยืนอยู่ในลานเรือนเฝ้ามองตาม ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมา นางกัดริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ให้ตนร้องไห้ออกมา….
เมื่อออกจากตัวเมืองแล้ว กลุ่มวิหคบินสูงขึ้นเรื่อยๆ บินฝ่าปุยเมฆและสายลม
จิตใจซางซูชิงเบิกบาน ความรู้สึกที่ได้โบยบินบนนภาเช่นนี้นางยังคงจำได้ว่ายามเยาว์วัยตนเคยมีประสบการณ์เช่นนี้อยู่สองสามครั้ง ทันใดนั้นพลันมองเห็นวิหคยักษ์ที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งบรรทุกพวกหนิวโหย่วเต้าเอาไว้หักเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางไป บินห่างออกไปเรื่อยๆ จึงอดถามเซี่ยฮวาไม่ได้ “เจ้าสำนักเซี่ย พวกเต้าเหยี่ยจะไปที่ใดหรือ?”
เซี่ยฮวาตอบว่า “ไม่ทราบเพคะ บอกว่ามีธุระต้องไปจัดการ ให้พวกเรากลับไปที่จังหวัดชิงซานก่อน”
ซางซูชิงถามต่อ “จะกลับมาเมื่อไรเหรอ?”
เซี่ยฮวายิ้มเจื่อน “นิสัยเขาเป็นคนทำอะไรลึกลับยากคาดเดาเสมอมา ไม่ยอมบอกอะไรแก่ผู้ได้ ท่านหญิงถามหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่ทราบเช่นกันเพคะ”
ซางซูชิงหันมองเงาร่างที่ห่างไกลออกไป ในใจพลันรู้สึกผิดหวังขึ้นมา
เมื่อวานไปหาแต่เช้าเพื่อจะช่วยหวีผมให้หนิวโหย่วเค้า ผลคือหนิวโหย่วเต้าแต่งตัวเป็นข้ารับใช้ออกไปเดินเล่น เช้านี้คิดจะไปหวีผมให้ แต่เมื่อใคร่ครวญถึงว่าจะต้องออกเดินทางแต่เช้าจึงไม่ได้ไปหา ผู้ใดจะทราบว่าทันทีที่ออกจากเมืองก็ต้องแยกทางกันอีก ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบหน้ากันสักครั้ง ยังไม่ได้พูดคุยกันอย่างจริงๆ จังๆ เลยสักประโยค
…………………………………………………………….