ตอนที่ 558 เจตนาดีของหลงซิว

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 558 เจตนาดีของหลงซิว

วิหคมุ่งหน้าสู่จังหวัดชิงซาน บินตัดตรงผ่านพันขุนเขาหมื่นธารา เป็นการเดินทางอยู่ภายในเขตมณฑหนานโจวเช่นกัน จึงใช้เวลาไม่นานนัก

ขุนเขาธารายังคงเดิม คฤหาสน์กระท่อมฟางยังคงเป็นเช่นในวันวาน

หลังจากลงสู่พื้นแล้ว ซางซูชิงก็เหลียวมองรอบๆ มองเห็นเด็กสาวหน้าตาใสซื่อไร้เดียงสาคนหนึ่งนั่งเท้าราวกั้นอยู่บนชั้นสองของอาคารหลังหนึ่ง ในมือกอดกล่องอาหารเอาไว้ อีกมือถือน่องไก่แทะกิน กินจนปากเปื้อนคราบมันเยิ้ม สองขาแกว่งไกวอยู่ในอากาศ

เด็กสาวที่แทะน่องไก่อยู่ก็มองนางอยู่เช่นกัน แต่มองเพียงเล็กน้อยก็ดูเหมือนจะไม่สนใจไยดีอันใดอีก เตะสองขาแกว่งไหวพลางกินอาหารของตนต่อไป

หยวนกังเดินเข้ามา “ท่านหญิงมาแล้วหรือ”

“หยวนเหยี่ย” ซางซูชิงพยักหน้าพลางยิ้มให้ จากนั้นก็มองสตรีที่อยู่บนชั้นสองแล้วถามด้วยความสงสัย “นั่นคือผู้ใดหรือ?”

“อิ๋นเอ๋อร์”

“อิ๋นเอ๋อร์?”

หยวนกังไม่ได้อธิบายอะไรมากเช่นกัน ยื่นมือไปรับห่อสัมภาระของซางซูชิงมาจากลูกน้องด้านข้าง ผายมือเชิญซางซูชิงให้ตามเขาไป “จัดการห้องของท่านหญิงไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเขาไม่พูดมาก ซางซูชิงก็ไม่ถามมากเช่นกัน แต่ยังคงเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “น้องสะใภ้ของอาจารย์อวี้ชางอยู่ที่ใดหรือ? ก่อนจะเดินทางมา เสด็จพี่กำชับว่าให้ข้าเป็นตัวแทนไปคารวะ”

หยวนกังกล่าวว่า “เก็บของแล้วค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” ซางซูชิงพยักหน้ารับ เดินตามเขาไป

เซี่ยลิ่งเพ่ยนั่งอยู่ในศาลา กอดตำรารวมกวีไว้พลางโคลงศีรษะไปมา ปากก็ท่องงึมงำไปด้วย กำลังท่องจำบทกวีในมืออยู่

อาจารย์บอกว่าต้องท่องกลับหน้ากลับหลังอย่างคล่องแคล่วให้ได้ เรื่องนี้ยากมากเหลือเกิน ท่องแล้วติดขัดเหลือเกิน

จวงหงที่ออกไปตะลอนด้านนอกมาถึงแล้ว พอเห็นบุตรชายมีท่าทางเช่นนี้ก็ไม่เดินเข้าไปรบกวน ภิกษุที่กวาดพื้นอยู่ในสวนหยุดมือลง พนมมือคำนับ

จวงหงพยักหน้าให้นิดๆ

อยู่ที่นี่นางมีอิสระอย่างแท้จริง เข้าออกได้ตามต้องการ หากอยากเข้าไปในตัวเมืองก็บอกเพียงประโยคเดียว คนที่ตีนเขาจะจัดรถม้าไปส่งนางทันที เที่ยวเล่นในตัวเมืองไปกับนาง

นานมากแล้วที่ไม่ได้มีความรู้สึกที่มีอิสระเสรีเช่นนี้ ทำให้นางปลอดโปร่งผ่อนคลายทั้งกายใจ

แต่เมื่อเห็นสมณะยืนพนมมืออยู่ตรงหน้า ก็ทำให้นางเกิดความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออกต่อคฤหาสน์แห่งนี้

นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบว่าคนงานทั้งหมดในคฤหาสน์ล้วนเป็นกลุ่มสมณะ

นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ สิบนิ้วประกบพนมมือ เป็นฉากที่พบเห็นได้ทั่วไปในสถานที่แห่งนี้

เสียงระฆังย่ำรุ่ง เสียงกลองบอกเย็นย่ำ แล้วก็ยังได้ยินเสียงสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นเป็นครั้งคราว ทำให้อารมณ์ร้อนในใจคนทุเลาลงไปหลายส่วน มีความสงบปล่อยวางบางอย่างเอ่อท้นขึ้นมา

ไม่เพียงแต่มีเหล่าสมณะที่คอยปรนนิบัติดูแลอย่างเอาจริงเอาจังเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีอาหารเลิศรสที่นางไม่เคยลิ้มลองมาก่อนด้วย อีกทั้งมีสุราที่สุดแสนโอชารส

เจ้าของสถานที่แห่งนี้หรือก็คืออาจารย์ของบุตรชายทำให้นางเกิดความคิดว่าเป็นคนที่เข้าใจในชีวิตอย่างแท้จริง มีอาหารการกินเลิศรส อีกทั้งมีคณะสงฆ์กลุ่มหนึ่งคอยประดับบารมีเช่นนั้น ถึงพร้อมในด้านกวีศิลป์อีก ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!

พอย้อนนึกถึงอาจารย์อวี้ชางที่ติดตามมานานนม เมื่อเทียบกันดูแล้ว นางสังเกตเห็นว่าวิถีชีวิตของคนเหล่านั้นไม่ต่างไปจากซากศพที่เดินได้เลย

แต่ในความเป็นจริง สำหรับพวกหนิวโหย่วเต้าแล้ว พวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนี้เลย หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่เคยคิดจะใช้เหล่าสมณะมาเสริมบารมีในการใช้ชีวิตเช่นกัน เพียงบังเอิญมีเหล่าสมณะมาวนเวียนอยู่รอบตัวเท่านั้น

ยังมีซางซูชิงอีกคนที่รู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ยอดเยี่ยมอย่างมากเช่นกัน ได้หลุดพ้นจากการรักษาความปลอดภัยอันเข้มงวดในจวนผู้ว่าการมณฑล กลับมาสัมผัสกับสภาพแวดล้อมของที่แห่งนี้อีกครั้ง นางสบายใจนัก

หยวนกังมาเข้าพบทางนี้เป็นเพื่อนนางด้วย แนะนำสองแม้ลูกต่อซางซูชิง

ย่อมมีการสนทนากันตามมารยาทและรบกวนการเรียนของเซี่ยลิ่งเพ่ย

เซี่ยลิ่งเพ่ยค่อนข้างตกใจกับรูปโฉมของซางซูชิง บนโลกนี้มีสตรีที่หน้าตาชวนสะพรึงเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ เกรงว่ามองตรงๆ แล้วจะทำให้รู้สึกไม่ดี จึงทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ พูดจาตะกุกตะกักไปหมด

พอทราบว่าสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่ายคือหนังสือรวมกวีที่หนิวโหย่วเต้าประพันธ์ขึ้น ซางซูชิงก็อดใจไม่ค่อยไหว ลองถามดูว่า “พอให้ข้าชมตำรารวมกวีในมือคุณชายหน่อยได้หรือไม่?”

“ได้พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยลิ่งเพ่ยพยักหน้าหงึกๆ ยื่นส่งให้ด้วยสองมือ “เชิญท่านหญิงอ่านได้เลย”

ซางซูชิงเอ่ยขอบคุณ รับไปพลิกเปิดดู เอ่ยท่องไปตามตัวอักษรที่เห็นด้วยเสียงแผ่วเบา “หนทางวิบาก! เส้นทางลำเค็ญ! เส้นทางแตกแขนงไปมากมาย มรรคาที่แท้จริงนั้นอยู่หนใด? บางครามีคลื่นลมฝนโหมกระหน่ำ หยัดยืนมั่นกางใบเรือฝ่าสมุทร…”

นางเพ่งสายตา อ่านกลอนบทต่อไป “จันทร์กระจ่างจักปรากฏในยามใด? ชูจอกไต่ถามฟากฟ้า มิอาจทราบถึงวิมานในแดนสรวง เพลานี้เคลื่อนคล้อยเป็นยามใด…มนุษย์เรามีทุกข์สุขพบพราก ดั่งจันทรามีเต็มดวงและแหว่งเว้า ดำเนินไปเช่นนี้แต่โบราณ เพียงหวังให้คนไกลอยู่ยืนยาว ร่วมชมจันทร์งามแม้ไกลห่างกันพันลี้…”

เมื่อท่องจบ นางก็จมจ่อมอยู่ในภวังค์ศิลป์แห่งกวี เคลิบเคลิ้มดื่มด่ำอยู่หลายส่วน

เซี่ยลิ่งเพ่ยที่ท่องจนขึ้นใจแล้วส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ ชื่นชมเลื่อมใสในความสามารถของผู้เป็นอาจารย์อย่างยิ่ง

จวงหงที่เคยอ่านตำรารวมกวีของบุตรชายมาแล้วเช่นกันก็เอ่ยรำพันว่า “อาจารย์เป็นผู้สง่างามคนหนึ่ง”

ไม่ชมก็ยังพอว่า แต่พอเอ่ยชมกันเช่นนี้ หยวนกังที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เกิดความรู้สึกรับไม่ได้ขึ้นมาแล้ว ใบหน้ากระตุกเล็กน้อย เคยพบคนไร้ยางอาย แต่ไม่เคยพบคนที่ไร้ยางอายเท่าเต้าเหยี่ยเลย

….

ณ วังเหินเวหา ศิษย์ที่เข้าไปรายงานกลับมาแล้ว เชิญหนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ที่อยู่นอกประตูสำนักเข้าสู่ด้านใน

เหินทะยานกันไปตลอดทางจนมาถึงยอดเขาหลัก เบื้องหน้าคืออาคารสิ่งปลูกสร้างงามวิจิตรดั่งแดนเซียน

ศิษย์ที่นำทางมาถอยออกไป ส่งตัวคนให้แก่ผู้นำทางซึ่งก็คือคนที่หนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋รู้จัก เป็นอี้ซูศิษย์คนสุดท้ายของหลงซิวนั่นเอง

“ตามข้ามา” อี้ซูไม่สนใจความสุภาพของคนทั้งสองเลย ทำราวกับไม่ได้ยินวาจาทักทายตามมารยาทของทั้งสอง เพียงเอ่ยอย่างเฉยเมยแล้วออกเดิน

ทั้งสองสบตากันเล็กน้อย ได้แต่เดินตามไป จนกระทั่งมาถึงดงบุปผาที่มีมวลหมู่ผกาเบ่งบานตลอดปี มายังหอสูงงามวิจิตรรายล้อมไปด้วยหมู่บุปผา

“รอก่อน” อี้ซูเอ่ยแล้วเดินออกไปอีกครั้ง

“เหตุใดข้าถึงรู้สึกอยู่ตลอดว่านางไม่ชอบขี้หน้าพวกเรา” ก่วนฟางอี๋กระซิบงึมงำข้างหูหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้าก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน รับรู้ได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ ก่อนหน้านี้ไม่คิดจะมาเยือนวังเหินเวหาเลย แต่เป็นเพราะถ้อยคำที่ฝากไปกับหวงเลี่ย

หลงซิวออกปากทั้งที เขาจะไม่มาก็คงไม่เหมาะ

แม้จะไม่ทราบว่ามีเรื่องใด แต่ก็ยังต้องทำใจกล้ามาหา

รอคอยอยู่สักพัก ประตูบานใหญ่ที่สลักลายลงรักปิดทองที่อยู่ทางด้านหลังก็เปิดออก หลงซิวเดินออกมา มีอี้ซูตามหลังมาด้วย

“ฮ่าๆ หงเหนียงก็มาด้วยหรือ ปล่อยให้ทั้งสองต้องคอยนานเสียแล้ว” หลงซิวยิ้มแย้มเอ่ยทักทาย

“คารวะท่านประมุข” แขกทั้งสองคารวะพร้อมกัน

หลงซิวโบกมือสื่อให้ทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ เชื้อเชิญทั้งสองนั่งลง จากนั้นหนิวโหย่วเต้าก็เหมือนถูกหมางเมินปล่อยทิ้งไว้ด้านข้าง แต่ไปพูดคุยรำลึกความหลังกับคนรู้จักเก่าอย่างก่วนฟางอี๋แทน

หลังจากคุยสัพเพเหระกับก่วนฟางอี๋อยู่พักหนึ่ง หลงซิวก็หาข้ออ้างอย่างหนึ่งให้ก่วนฟางอี๋กับอี้ซูถอยออกไปทั้งคู่ ภายในหอเหลือเพียงหนิวโหย่วเต้าคนเดียว

หนิวโหย่วเต้ามองตามคนอื่นๆ ที่ถอยออกไป เริ่มใคร่ครวญอยู่ในใจ ไม่ทราบว่าหลงซิวเรียกพบตนด้วยเรื่องใดกันแน่

ในที่สุดหลงซิวก็เริ่มคุยกับเขา “เรื่องเป่ยโจวกลับคืนสู่แคว้นเยี่ยน เจ้าก็มีความดีความชอบเช่นกัน ถึงเจ้าไม่เรียกร้อง ไม่ป่าวประกาศออกมา แต่พวกเรากลับทราบแก่ใจดี”

หนิวโหย่วเต้ารีบกล่าวว่า “ส่วนหนึ่งก็ทำเพื่อตัวเองด้วย ไม่กล้าอ้างผลงาน”

หลงซิวลุกขึ้นมา เดินไปยังราวกั้น มองทิวทัศน์ในหุบเขาพลางเอ่ยยิ้มๆ “ใครบ้างจะไม่เห็นแก่ตัว ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรแคว้นเยี่ยน ขอเพียงทิศทางหลักไม่ผิดพลาดไป ขอเพียงเป็นผลดีต่อแคว้นเยี่ยน ทำถูกก็คือมีความดีความชอบ”

หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นเดินมาอยู่ด้านข้าง ยกมือไพล่หลัง เอ่ยอย่างระมัดระวัง “ขอบคุณท่านประมุขที่ชมเชย”

จู่ๆ หลงซิวก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมา “เจ้าคิดว่าศิษย์คนนั้นของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“…” หนิวโหย่วเต้ามึนงง วาจานี้ของอีกฝ่ายทำให้เขาฉงน จับต้นชนปลายไม่ถูก อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าท่านประมุขหมายถึงศิษย์คนใดหรือ?”

หลงซิวหัวเราะหึหึ “ศิษย์คนอื่นๆ ของข้าเจ้าเองก็หาได้รู้จักไม่ ส่วนศิษย์คนสุดท้าย เจ้าเองก็นับว่าเคยได้พบมาสองครั้งแล้ว คิดว่าอย่างไรบ้าง? ข้าอยากฟังคำวิจารณ์จากเจ้า”

หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก ไม่สนิทกันเลยสักนิด จะให้วิจารณ์อันใด? หรือว่าจะมีความลับใดอยู่เบื้องหลังอี้ซูผู้นั้น? เห็นทีว่าถ้ามีโอกาสคงต้องจับตามองไว้หน่อยแล้ว

แต่ปากกลับเอ่ยไปอย่างสุภาพว่า “ไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกันเลยจริงๆ ผู้เยาว์ยากจะให้คำวิจารณ์ได้”

หลงซิวกล่าวว่า “การดูคนคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าจะต้องคุ้นเคยกัน ความประทับใจภายนอกก็สำคัญอย่างมากเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นความรู้สึกในด้านรูปลักษณ์หรือบุคลิกอะไรทำนองนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเห็นกันได้ชัดเจนนัก”

หนิวโหย่วเต้าสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย วิเคราะห์วาจาแล้วตอบไปว่า “ศิษย์ของท่านประมุข รูปโฉมย่อมเป็นเลิศ อุปนิสัยก็ย่อมไม่มีที่ติ”

“ฮ่าๆ!” หลงซิวหัวเราะ หันกลับมาจ้องเขาแล้วเอ่ยถาม “ด้านนอกมีข่าวลือแพร่สะพัดอยู่ ได้ยินว่าเจ้าถูกถังอี๋คนนั้นหย่าขาดแล้วอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ถูกต้อง”

หลงซิวเอ่ยว่า “ถังอี๋คนนั้นตาไม่มีแววเอาเสียเลย! ไม่พัวพันกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้วก็เป็นเรื่องดี แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง เจ้ายังหนุ่มแน่นยังมีอนาคตยาวไกล หาคู่ครองที่เหมาะสมเกื้อกูลกันได้ก็สามารถย่นระยะทางลงได้มากเช่นกัน ข้าพอใจในตัวเจ้า”

ในสายตาเจือความจริงจังไว้หลายส่วน เอ่ยกันมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเชื่อว่าหนิวโหย่วเต้าคงเข้าใจความหมายในวาจาของเขา

อี้ซูหรือ? หนิวโหย่วเต้าใจเต้นแรงขึ้นมา แต่กลับยิ้มแห้งๆ เอ่ยไปว่า “ข้ากับหงเหนียงนับว่าเข้ากันได้ดี”

เขาลากหงเหนียงออกมาเป็นเกราะกำบังอีกครั้ง

ผู้ใดจะทราบว่าหลงซิวกลับโบกแขนเสื้อแล้วกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่ได้บอกว่าพวกเจ้าไม่เหมาะกัน คนหนุ่มล้วนมีช่วงเวลาที่หุนหันพลันแล่นกันทั้งนั้น จะเล่นสนุกก็ย่อมได้ ไม่เป็นไรเลย แต่สุดท้ายก็ต้องเชิญหน้ากับความเป็นจริงอยู่ดี ช่วงวัยที่แตกต่างยากจะอยู่ร่วมกันในระยะยาวได้ จะเล่นสนุกก็เล่นไป แต่อย่าได้ปล่อยให้มาถ่วงรั้งเรื่องสำคัญในชีวิต ยังคงต้องหาคู่ครองที่วัยไล่เลี่ยกันถึงจะเหมาะ”

อีกฝ่ายไม่สนใจความสัมพันธ์คลุมเครือระหว่างเขากับหงเหนียงเลย หนิวโหย่วเต้าจึงไม่โยกโย้อีก พยักหน้าเอ่ยคล้อยตาม “ท่านประมุขกล่าวถูกต้องแล้ว”

หลงซิวยิ้มออกมา พยักหน้าเล็กน้อย เขาเชื่อว่ามีเรื่องดีเช่นนี้มาหาถึงที่แล้ว คงไม่มีผู้ใดปฏิเสธลง

เขาคิดว่าการที่ตนเป็นฝ่ายพูดตรงๆ ได้สร้างความมั่นใจให้แก่อีกฝ่ายแล้ว อีกฝ่ายน่าจะทราบว่าสมควรทำอย่างไรต่อ คำพูดบางอย่างก็ต้องกล่าวไว้เพียงเท่านี้ เขาไม่อาจพูดให้โจ่งแจ้งเกินไปได้ มิเช่นนั้นจะเสียหน้าได้ เขายกสองมือไพล่หลัง เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “ทางหนานโจวน่าจะมั่นคงแล้วกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ตอนนี้ทางหนานโจวไม่มีปัญหาใดแล้ว ข้ากลับเป็นกังวลทางเป่ยโจว”

หลงซิวร้องโอ้ “หมายความว่าอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เซ่าผิงปอคนนั้นนับว่ามีความสามารถ ในแง่การบริหารดูแลเป่ยโจว คนที่ทางราชสำนักส่งไปเหล่านั้นจะทำให้เป่ยโจวเละเทะวุ่นวายในไม่ช้าก็เร็ว ข้าขอกล่าวคำพูดบางอย่างที่อาจจะไม่สมควรพูด ในราชสำนักมีคนจอมปลอมอยู่เยอะเกินไป ซางเจี้ยนสยงใช้คนไม่เป็น ไม่เหมาะที่จะปกครองแคว้นเยี่ยนให้สามสำนักใหญ่อีกต่อไปแล้ว”

หลงซิวปรายตามองเขาอย่างเย็นชา จนใจที่เมื่อครู่เพิ่งกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกไป คำพูดทำลายบรรยากาศจึงได้แต่ต้องเก็บเอาไว้ก่อน เอ่ยเสียงเรียบออกไปว่า “ซางเจี้ยนสยงเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน เพื่อปกป้องบัลลังก์ไว้ หากไม่ใช้ข้าราชบริพารฝ่ายตนแล้วจะให้ใช้ผู้ใด?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นสามารถเปลี่ยนคนขึ้นควบคุมรูปการณ์แคว้นเยี่ยนแทนได้”

หลงซิวเอ่ยว่า “ไหนเลยจะง่ายดายอย่างที่เจ้าว่ามา เรื่องเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของคนมากมาย บอกว่าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้เลยเสียเมื่อไร? หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น แคว้นเยี่ยนจะโกลาหลพินาศไปพร้อมกันหมด เมื่อถึงเวลานั้นจะไม่มีผู้ใดควบคุมสถานการณ์ได้อีก ศัตรูภายนอกต้องรุกรานเข้ามาแน่ เมื่อถึงตอนนั้นสามสำนักใหญ่ต้องรับมือกับศึกนอก แล้วยังจะควบคุมพื้นที่ต่างๆ เอาไว้ได้อีกหรือ? ถึงแม้ซางเจี้ยนสยงจะไร้ความสามารถ แต่อย่างน้อยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้รับสืบทอดบัลลังก์แคว้นเยี่ยนอย่างชอบธรรม พอจะฝืนรั้งสถานการณ์ไม่ให้พินาศลงได้ หากเปลี่ยนคน ผู้ใดเล่าที่จะสยบคนอื่นได้? เจ้าคิดว่าซางเฉาจงมีคุณสมบัติพอจะเข้าแทนที่แล้วอย่างนั้นหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเพียงเอ่ยเตือน แล้วก็ถือโอกาสหยั่งเชิงท่าทีของอีกฝ่ายดูเล็กน้อย พอเห็นเช่นนี้ก็ประสานมือเอ่ยไปทันที “ท่านประมุขกล่าวถูกต้องแล้ว เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบเอง”

……………………………………………………………………..