ตอนที่ 555 ประชาสัมพันธ์ทำได้ดี

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 555 ประชาสัมพันธ์ทำได้ดี

ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น หล่อนก็คืออู๋เสี่ยวเถานั่นเอง

วันนั้นที่หลินม่ายออกจากหมู่บ้านสกุลอู๋ไป หล่อนได้ขัดขวางเธอไว้ระหว่างทาง ต้องการขอให้เธอรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรของตระกูล แต่สุดท้ายก็ถูกปฏิเสธ

เมื่อกลับมาที่บ้าน อู๋เสี่ยวเถาก็ตั้งใจจะทำอะไรบางอย่างอย่างถึงที่สุด พลันเก็บข้าวของของตัวเอง

วันต่อมาฟ้ายังไม่ทันสาง หล่อนก็แอบหนีออกจากบ้าน ไประหกระเหินที่เจียงเฉิง

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนมีความคิดของหล่อน

ที่หลินม่ายมีชีวิตที่ดีได้ในวันนี้ ก็เพราะออกมาทำมาหากินด้วยตัวเองที่เจียงเฉิงไม่ใช่เหรอ?

ยัยชั้นต่ำนั่นยังสามารถประสบความสำเร็จที่เจียงเฉิงได้ แล้วทำไมตนจะทำไม่ได้?

ทำไมตนจะต้องอยู่เลี้ยงดูน้องชายน้องสาวที่บ้านนอกด้วย?

เสี่ยวซิ่งน้องสาวกับเสี่ยวชวีน้องชายก็ไม่ได้เด็กกว่าหล่อนมากมายนัก ใช่ว่าจะไม่สามารถทำงานไร่เลี้ยงชีพตัวพวกเขาเองได้เสียหน่อย งั้นให้พวกเขายืนด้วยลำแข้งของตัวเองไปก็ได้แล้ว

หลังจากมาถึงเมืองเจียงเฉิง อู๋เสี่ยวเถาก็บากหน้าไปขออาศัยกับป้าที่เป็นญาติห่างๆ คนหนึ่ง หวังอยากจะประสบความสำเร็จที่เมืองเจียงเฉิง

แต่ทันใดนั้นก็ได้ค้นพบว่าหล่อนทำอะไรไม่เป็นเลย ทำได้เพียงไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้ครอบครัวที่สามีภรรยาต้องทำงานทั้งคู่ รวมอาหารและที่พัก มีเงินเดือนเดือนละ 10 หยวน

เมื่อครู่หล่อนไปซื้อกับข้าวที่ตลาดสดฝูตัวตัวให้บ้านนายจ้าง และเดินผ่านโรงงานเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว

ก็เห็นหลินม่ายที่เปล่งปลั่งสง่างามไปทั้งตัวเข้าไปในโรงงานเสื้อผ้าจิ่นซิ่วมาแต่ไกล

หล่อนแอบเข้ามาใกล้ๆ อย่างสงสัยใคร่รู้ เมื่อเห็นลุงยามปฏิบัติต่อหลินม่ายอย่างสุภาพนอบน้อม ในใจก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อได้ยินลุงยามกำลังถามหล่อน หล่อนก็ยิ้มพลางส่ายหน้า “ฉันไม่มีธุระอะไรหรอก แค่อยากสอบถามลุงสักหน่อยว่าเด็กสาวคนนั้นที่เพิ่งเข้าไปข้างในคือใครเหรอ”

ลุงยามเฝ้าประตูมาดมั่นอยู่ในใจแล้วว่าอู๋เสี่ยวเถาคงไม่ใช่คนดีแน่ พูดจาก็ไม่ได้น่าฟังอะไรขนาดนั้นด้วย

“เธอจะมาสอบถามเรื่องของหัวหน้าโรงงานฉันทำไม? มีจุดประสงค์ร้ายอะไรอยู่หรือเปล่า? รีบไปให้พ้นซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะปล่อยหมาไปกัดเธอ!”

อู๋เสี่ยวเถาถูกด่าจนหนีไป แต่หล่อนกลับไม่สนใจจะโมโห ยิ่งไม่มีอารมณ์จะสาปแช่งลุงยามนั่นด้วย

สิ่งที่คิดอยู่เต็มหัวนั้นก็คือ นึกไม่ถึงเลยว่าหลินม่ายจะเป็นหัวหน้าโรงงานของโรงงานเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว!

แม้ว่าหล่อนจะเข้ามาในเมืองได้แค่ประมาณหนึ่งเดือน แต่พอมีเวลาว่างก็จะไปเดินห้าง ดังนั้นจึงรู้จักแบรนด์เสื้อผ้าจิ่นซิ่วนี้

แม้แต่ตอนฝันก็ยังอยากซื้อเสื้อผ้าฤดูหนาวของเสื้อผ้าจิ่นซิ่วสักชิ้น แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเงิน~

เมื่อนึกถึงว่าหลินม่ายได้ดีขนาดนี้ ในใจของหล่อนก็รู้สึกย่ำแย่ราวกับมีมีดมาเชือดเฉือนไปมาอยู่ในใจอย่างนั้น

……

เมื่อเข้ามาในโรงงาน หลินม่ายก็จัดการประชุมเล็กๆ ขึ้นมาเป็นอย่างแรก เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์การดำเนินงานของโรงงานเสื้อผ้าในช่วงเวลานี้ที่เธอไม่อยู่

แม้ตอนอยู่ที่อเมริกาจะโทรศัพท์ติดต่อกับพวกเหรินเป่าจูอยู่เป็นครั้งคราวเพื่อให้รู้สถานการณ์แล้วก็ตาม

แต่ตอนนั้นเธอต้องมุ่งความสนใจไปที่บริษัทข้ามชาติRongxiที่คุณยายของฟางจั๋วหรานเหลือไว้ให้เขา จึงละเลยโรงงานเสื้อผ้าของตนไปบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้

สิ่งที่หลินม่ายถามเป็นอันดับแรกก็คือผลกระทบเชิงลบต่อยอดขาย จากการเปลี่ยนชื่อโรงงานเสื้อผ้า

เหรินเป่าจูพูดขึ้น “ผลกระทบเชิงลบ? ดูเหมือนว่าจะไม่มีนะคะ แต่กลับมีผลกระทบเชิงบวกมากกว่า เสื้อผ้าฤดูหนาวของเราขายดีมากทีเดียวโดยเฉพาะชุดปีนเขาแบบมีฮู้ด สินค้าถึงกับขาดตลาดเลยล่ะค่ะ โรงงานเสื้อผ้าOEMของรัฐที่ร่วมมือกับเราเหล่านั้น เดิมทีให้พวกเขาหยุดการผลิตไปช่วงหนึ่ง แล้วค่อยกลับมาทำงานตามเดิมอีกครั้งก่อนวันปีใหม่ แต่เพราะเสื้อผ้าฤดูหนาวของเราขายดีเกินไป จึงให้พวกเขากลับมาทำงานต่อในสัปดาห์หน้าเลยค่ะ”

หลินม่ายรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ “ทำไมหลังจากที่พวกคุณเปลี่ยนชื่อแล้ว การจำหน่ายสินค้าถึงไม่ได้รับผลกระทบ แถมยังดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยล่ะ?”

ทุกคนใช้สายตาชี้ไปยังซุนอวิ้นหง “เพราะการประชาสัมพันธ์ของหัวหน้าแผนกซุนทำได้ดีน่ะค่ะ”

หลินม่ายมองไปยังซุนอวิ้นหงด้วยรอยยิ้ม “บอกหน่อยสิคะ ทำไมคุณถึงคิดได้ว่าต้องประชาสัมพันธ์ และประชาสัมพันธ์ยังไงเหรอคะ?”

ซุนอวิ้นหงยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย “ประธานหลินประโคมข่าวกิจกรรมตั้งชื่อชิงรางวัลใหญ่โต นอกจากนี้ยังมีเงินรางวัลก้อนโตด้วย ไม่ใช่เพราะต้องการดึงดูดสายตาของประชาชนทั้งประเทศผ่านกิจกรรมครั้งนี้ ให้ทุกคนต่างรู้กันว่า Unique เปลี่ยนชื่อใหม่แล้วหรอกเหรอคะ จากนั้นก็ฉายโฆษณาที่จางอวี้ถ่ายให้กับเสื้อผ้าจิ่นซิ่วอีก จึงลดผลกระทบเชิงลบจากการเปลี่ยนชื่อไปจนจมดิน ฉันแค่คิดว่า แค่ให้คนทั้งประเทศรู้ว่า Unique เปลี่ยนชื่อแล้วเท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องให้พวกเขารู้ถึงความตั้งใจจริงในการเปลี่ยนชื่อของเราด้วย แบบนั้นถึงจะเพิ่มการสนับสนุนพวกเราให้มากขึ้นได้ ถึงอย่างไรที่เราเปลี่ยนชื่อนั้นก็เพื่อความยึดมั่นในชาติและละทิ้งชื่อต่างชาติ ฉันจึงติดต่อกับนักข่าวหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่มียอดขายสูงจำนวนไม่น้อย และบอกให้เหตุผลในการเปลี่ยนชื่อของเรา นักข่าวพวกเขาก็วิ่งมาสัมภาษณ์ฉันทันที ทันทีที่บทความการสัมภาษณ์เหล่านั้นตีพิมพ์ออกไป เสื้อผ้าจิ่นซิ่วเราก็ดีขายดิบขายดีขึ้นเรื่อยๆ เลยค่ะ”

หลินม่ายเอ่ยชื่นชม “ทำได้สวยเลยค่ะ!”

ซุนอวิ้นหงยิ้มอย่างถ่อมตัวเล็กน้อย “ที่จริงแล้วการประชาสัมพันธ์ก็เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เสื้อผ้าจิ่นซิ่วของเรานั้นคุณภาพดี รูปแบบสไตล์ดี บวกกับโฆษณาที่ถ่ายออกมาดี ดังนั้นจึงทำให้ยอดขายออกมาไม่เลวค่ะ”

คำพูดนี้ของหล่อนไม่ได้โกหกเลย

ไม่ว่าจะเป็นโรงงานปั่นฝ้ายในประเทศก็ดี หรือว่าโรงงานเสื้อผ้าของรัฐก็ดี เนื้อผ้าขนสัตว์และผ้าสักหลาดไม่ใช่สีดำก็เป็นสีเทา ถึงจะมีสีแดงสดก็หาได้ยากมาก

ผ้าขนสัตว์และผ้าสักหลาดที่หลินม่ายซื้อกลับมาจากด่านศุลกากรนั้นแตกต่างกัน

ทั้งสีชมพูอ่อน ฟ้าอ่อน ขาวน้ำนม ชมพูอมม่วง… สีสันมากมายล้วนมีหมด

ทำออกมาเป็นโค้ทตัวสั้นก็ดี ชุดสูทก็ดี เมื่อสวมใส่บนร่างกายเป็นดูสวยเป็นพิเศษ ทั้งเด็กผู้หญิงและหญิงสาวใครๆ ก็ชอบทั้งนั้น!

อย่าว่าแต่เด็กผู้หญิงกับหญิงสาววัยสะพรั่งเลย แม้แต่หญิงวัยกลางคนและสูงอายุเองก็ยังชอบ เพียงแต่ไม่เหมาะกับพวกหล่อนนักเท่านั้นเอง

นอกจากนี้ผ้าที่ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ ก็คุณภาพดีกว่าของในประเทศมากมายนัก

นี่ไม่ใช่การบูชาต่างชาติ มันคือความเป็นจริง

แม้ว่าจะมีราคาแพง แต่ผู้บริโภคที่มีฐานะทางเศรษฐกิจก็ยังซื้อได้

และยังมีผู้บริโภคส่วนหนึ่งที่ไม่มีกำลังซื้อเองก็สามารถกัดฟันรวบรวมเงินมาซื้อได้สักตัว

เหมือนกับเด็กสาวบางคนที่มีฐานะทางการเงินปานกลางซื้อสินค้าหรูหราฟุ่มเฟือยในชาติก่อน บางคนซื้อเพราะความชอบโดยแท้ และบางคนก็ซื้อเพราะความหมกมุ่นเรื่องหน้าตาและเพื่อโอ้อวด แต่เวลาจ่ายเงินทีก็มือไม้อ่อนหมดแรงเช่นเดียวกัน

ส่วนชุดปีนเขาที่ขาดตลาดนั้น เป็นสิ่งทอจากเส้นในสังเคราะห์ที่ผู้คนในยุคนี้ชื่นชอบมากอยู่แล้ว

บวกกับชุดปีนเขามีจุดเด่นของมัน สีสันสว่างสดใส ทำความสะอาดง่าย

ไม่เหมือนกับเสื้อผ้าจากฝ้าย ตลอดทั้งหน้าหนาวสามารถซักได้เพียงหนึ่งครั้ง นอกจากนี้ยังยุ่งยากอีกด้วย ผู้คนก็ย่อมเต็มใจอยากซื้อชุดปีนเขากันอยู่แล้ว

หลินม่ายเอ่ยกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนล้วนมีผลงานค่ะ”

เธอมองไปยังหัวหน้าฝ่ายบุคคล “เราจะให้รางวัลตอบแทนตามผลงาน เดี๋ยวพวกคุณฝ่ายบุคคลกลับไปพิจารณาดูสักหน่อย จัดทำตารางขึ้นมา ดูว่าแต่ละคนควรจะให้โบนัสเท่าไหร่นะคะ”

หัวหน้าฝ่ายบุคคลพยักหน้า

ในตอนนั้นเอง โฮ่วซินอี้ก็เอ่ยขึ้น “ความจริงแล้วที่เสื้อผ้าจิ่นซิ่วของเราขายดี ก็ยังมีอีกหนึ่งเหตุผล”

หลินม่ายยิ้มพลางถาม “เหตุผลอะไรเหรอคะ?”

โฮ่วซินอี้พูด “เสื้อผ้าซีม่านเลิกกิจการแล้ว ไม่มีใครลอกเลียนแบบเสื้อผ้าของพวกเราแล้วครับ”

เหรินเป่าจูและคนอื่นๆ พูดขึ้นเสียงจอแจ “จริงด้วย พวกเราลืมบอกไปเลยว่าซีม่านปิดกิจการไปแล้ว”

หลินม่ายนึกไม่ถึงว่าเธอไปประเทศสหรัฐอเมริกาแค่ประมาณหนึ่งเดือน แต่กลับเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น

เธอถามอย่างประหลาดใจมาก “ทำไม่เสื้อผ้าซีม่านถึงปิดเลิกการไปแล้วล่ะ?”

เถาจืออวิ๋นพูดอย่างเหยียดหยาม “กวนหย่งหัวประธานใหญ่ของเสื้อผ้าซีม่านเกี่ยวข้องกับคดีลอบวางเพลิงโรงงานเสื้อผ้าของเรา ต้องชดใช้ให้กับเราเป็นเงินก้อนใหญ่ เขายังจะมีอารมณ์มาทำธุรกิจต่อที่ไหนกัน แน่นอนว่าต้องเลิกกิจการไปอยู่แล้ว!”

หลินม่ายค่อนข้างไม่อยากจะเชื่อ ไม่นึกเลยว่าการยื่นอุทธรณ์ของทังชุ่นอิงจะลากกวนหย่งหัวลงน้ำไปด้วย สุดยอดเลยจริงๆ

เธอถาม “ในเมื่อกวนหย่งหัวเกี่ยวข้องกับคดีวางเพลิง ก็ต้องส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับมารับโทษตามกฎหมายไม่ใช่เหรอ?”

เถาจืออวิ๋นโบกมือไปมา “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”

หลินม่ายไม่ค่อยเข้าใจ “ก็เกี่ยวข้องกับคดีลอบวางเพลิงแล้ว แต่ไม่ต้องตัดสินโทษก็ได้เหรอ?”

เถาจืออวิ๋นอธิบายให้เธอฟัง

หลักฐานที่ทังชุ่นอิงเสนอขึ้นมานั้นล้วนเป็น “ฉันรู้สึกว่า” “ฉันคิดว่า” ทั้งหมดเป็นการวินิจฉัยเชิงอัตนัย ด้วยเหตุนี้จึงถูกศาลตัดสินให้เป็นโมฆะ

แต่ที่กวนหย่งหัวเอาออกมาล้วนเป็นเสียงบันทึกที่ดูน่าเชื่อถือทั้งหมด

โดยเฉพาะเทปบันทึกเสียงนั้นที่สามีของทังชุ่นอิงไปขู่บังคับกวนหย่งหัวถึงบ้าน ทำให้กวนหย่งหัวหลุดจากข้อหาไปอย่างหมดจด แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย

แต่ก็เหตุผลที่ศาลตัดสินให้เขารับผิดชอบค่าเสียหายหนึ่งในสามจากไฟไหม้ของโรงงานเสื้อผ้าจิ่นซิ่วนั้น เป็นเพราะตัวแทนว่าความของทังชุ่นอิงกัดไม่ปล่อยว่า :

กวนหย่งหัวเอาแต่พูดอยู่คำเดียวในเสียงบันทึกเกี่ยวกับการสนทนาของเขากับทังชุ่นอิงไม่กี่ประโยคนั้นว่า ไม่ต้องการให้ทังชุ่นอิงไปจัดการหลินม่ายอีก และเงินที่เป็นหนี้เขาเองก็ไม่ต้องรีบร้อนคืน

แต่เขามักจะสั่งให้คนพาทังชุ่นอิงไปหาเขาที่นั่น แล้วพูดถึงเงินที่หล่อนติดหนี้เขาอยู่บ่อยๆ

ในความเป็นจริงมันเป็นการใช้การกระทำบีบบังคับให้ชดใช้หนี้ ซึ่งสร้างความกดดันให้ทังชุ่นอิงอย่างใหญ่หลวง เธอถึงได้ยอมเสี่ยงเพราะเข้าตาจนแล้วไปวางเพลิง

ดังนั้น การที่ทังชุ่นอิงก่อเหตุวางเพลิง เขาเองก็มีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วยเช่นกัน

หลินม่ายเอ่ยอย่างนับถือ “ตัวแทนของทังชุ่นอิงคนนี้ช่างเก่งกาจจริงๆ! ถึงดึงกวนหย่งหัวเข้ามาเกี่ยวด้วยได้”

เธอถาม “ค่าเสียหายหนึ่งในสามที่กวนหย่งหัวต้องชดใช้ให้กับเราน่ะ เจ้าหนึ่งในสามนี่มันเท่าไหร่กันเหรอ?”

เหรินเป่าจูพูด “แปดหมื่น”

เศษผ้าและผ้าที่ไม่ได้คุณภาพพวกนั้นที่ถูกเผาในโกดัง รวมทั้งหมดก็ไม่กี่พัน บวกกับค่าซ่อมแซมของตัวอาคารโกดังที่ถูกทำลายไป รวมกันแล้วก็เสียหายไม่เกินหมื่น

ต่อให้มีแค่เงินชดใช้แปดหมื่นหยวนนี้ของกวนหยังหัว หลินม่ายก็ยังได้กำไรอยู่ดี

แม้ว่าจุดประสงค์ของเธอในตอนแรกสุด คือต้องการล่อกวนหย่งหัวออกมาผ่านทังชุ่นอิง และทำให้เขาติดคุก แต่การขูดเลือดขูดเนื้อเขาเองก็ไม่เลวเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็ได้ระบายความคับแค้นใจออกมาแล้ว

ทังชุ่นอิงต้องแบกรับค่าเสียหายสองในสามส่วน ทั้งหมดหนึ่งแสนหกหมื่น

โฮ่วซินอี้ถามหลินม่าย ว่าต้องการจะเรียกเงินจากหล่อนไหม

หลินม่ายส่ายหน้า “คนก็เข้าคุกไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องกำจัดให้สิ้นซากหรอก เรื่องเงินชดใช้ก็ช่างมันแล้วกัน”

ครอบครัวของทังชุ่นอิงทั้งยากจนและว่างเปล่า ต่อให้ขายหล่อนทั้งครอบครัวก็ยังได้ไม่ใกล้เคียงหนึ่งแสนหกหมื่นเลยด้วยซ้ำ

อย่าว่าแต่หนึ่งแสนหกเลย แต่ร้อยหกสิบหยวนครอบครัวหล่อนก็ยังไม่มีจะให้

อย่างนั้นไม่สู้ไม่เอาเงินชดใช้ของทังชุ่นอิงเสียยังดีกว่า แถมคนนอกยังจะรู้สึกว่าเธอยิ่งใหญ่อีกด้วย

หลังจบการประชุม เมื่อกลับมายังห้องทำงานของตัวเอง หลินม่ายก็ถามถึงเรื่องการหมิ่นประมาทเสื้อผ้าจิ่นซิ่วในที่สาธารณะของแม่หรงเมื่อครั้งกระนู้น เงินชดใช้ค่าเสียหายของ Unique โอนเข้ามาหรือยัง

เสิ่นเสี่ยวผิงส่ายหน้า

หลินม่ายถาม “คุณยังไปเร่งรัดกับสหายที่ศาลอยู่อีกหรือเปล่า?”

เสิ่นเสี่ยวผิงพูดอย่างท้อแท้ “ไปแล้วค่ะ สหายที่ศาลบอกว่า พ่อแม่หวังหรงไม่มีทรัพย์สินให้ดำเนินการได้ เงินชดใช้นี้พวกเราคงจะได้มายากแล้วล่ะค่ะ”

หลินม่ายจมดิ่งอยู่ในความเงียบงัน

ถ้าพ่อหรงแม่หรงไม่มีทรัพย์สินที่สามารถดำเนินการได้จริงๆ ตนก็คงวุ่นวายไปอย่างเปล่าประโยชน์อีกครั้ง

เสิ่นเสี่ยวผิงยังรายงานอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ ผู้มีอิทธิพลในวงการบันเทิง ดาราชื่อดังหลิวเหม่ยชิ่งเคยโทรศัพท์มาหา ต้องการถ่ายโฆษณาให้กับเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว โดยที่ไม่รับค่าจ้างเลยด้วย

หลินม่ายทั้งรู้สึกเหนือคาด ทั้งดีใจ

ที่เหนือคาดก็คือ คนดังอย่างหลิวเหม่ยชิ่งอยากจะถ่ายโฆษณาให้เสื้อผ้าจิ่นซิ่วแบบฟรีๆ ด้วยตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเห็นได้ว่า เสื้อผ้าจิ่นซิ่วของเธอมีชื่อเสียงไม่ใช่น้อยๆ เลย

ไม่อย่างนั้นคนที่นิสัยเหยียดหยันทุกสิ่งอย่างหลิวเหม่ยซิ่ง อย่าว่าแต่อยากถ่ายโฆษณาให้พวกเขาฟรีๆ ด้วยตัวเองเลย ต่อให้เอาเงินไปคุกเข่าขอร้องหล่อน หล่อนก็ยังไม่แน่ว่าจะมองตรงๆ สักครั้งเลย

หลินม่ายถาม “คุณตอบกลับไปว่ายังไง?”

“ฉันบอกว่าฉันตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องรอให้คุณกลับมาแล้วค่อยว่ากันค่ะ”

หลินม่ายพยักหน้า “เดี๋ยวถ้าหล่อนโทรศัพท์มาอีกครั้งค่อยว่ากันแล้วกันค่ะ”

ไม่นานก็มาถึงเวลาเลิกงาน หลินม่ายไม่ได้เจอโต้วโต้วมีหนึ่งเดือนแล้ว ในใจจึงคิดถึงจนร้อนรน

จึงไปที่โรงเรียนอนุบาลด้วยกันกับเถาจืออวิ๋นต่างกันต่างรับลูกน้อยของตน

ด้วยเหตุนี้ หลินม่ายจึงตั้งใจโทรหาคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง ให้วันนี้พวกเขาไม่ต้องไปรับโต้วโต้ว

วันนี้ลมค่อนข้างแรง ประจวบเหมาะที่ให้ผู้อาวุโสทั้งสองคนหลบอยู่ในบ้าน จะได้ไม่ถูกลมพัดจนจับไข้

หลินม่ายเข็นจักรยานเดินเคียงกันไปกับเถาจืออวิ๋น พร้อมกับมอบสร้อยคอทองคำให้หล่อนด้วยเลย

ส่วนของเฉินเฟิงนั้น รอวันไหนเขามาประชุมที่โรงงานก็ค่อยมอบให้เขา

เลี่ยงการตั้งใจวิ่งไปหาเขา และทำให้เขาเกิดความหวังขึ้นมาอีก

เถาจืออวิ๋นได้รับของขวัญก็ดีอกดีใจอย่างยิ่ง

ทั้งสองคนเดินมาถึงประตูโรงงาน ลุงยามเฝ้าประตูก็ร้องเรียกเธอขึ้น

หลินม่ายหยุดเดิน เห็นว่าลุงยามเพียงแค่เรียกเธอ เดี๋ยวก็ไม่พูด เดี๋ยวพูดจาอึกๆ อักๆ

เธอจึงพูดอย่างใจดี “คุณลุงคะ มีอะไรก็พูดมาได้เต็มที่เลยค่ะ”

ลุงยามเกาหูพูดอย่างลนลาน “ผมพูดเรื่องนี้ออกไป ก็คงจะผิดหูคนอื่น หัวหน้าโรงงานหลินโปรดช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะครับ”

เถาจืออวิ๋นได้ยินคำพูดนั้น ก็รีบยืนห่างออกไปไกลอย่างรู้กาลเทศะ

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะเก็บเป็นความลับค่ะ คุณพูดมาเถอะ”

ลุงยามเฝ้าประตูมองไปซ้ายที ขวาที

แม้ว่าจะเป็นเวลาเลิกงาน แต่พวกคนงานต่างก็ออกไปกันพอสมควรแล้ว รอบๆ จึงมีคนไม่มากนัก

เมื่อนั้นเขาถึงหรี่เสียงพูดเบาๆ “หัวหน้าโรงงานหลิน ที่โรงงานมีคนแอบขโมยของในโรงงานไปครับ”

สีหน้าของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา “คนคนนั้นคือใครคะ? แล้วเอาอะไรไปบ้าง?”

……………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คดีความใหญ่ๆ ปิดไปยังไม่ทันไร มีคดีเล็กๆ เกิดขึ้นอีกแล้ว ทำบุญสะเดาะเคราะห์ให้โรงงานหน่อยนะม่ายจื่อ

ไหหม่า(海馬)