ตอนที่ 556 แย่งตัวฉีฉี
ลุงยามเฝ้าประตูหรี่เสี่ยงเบาลงไปอีก “เป็นพนักงานทำความสะอาดคนนั้นที่ชื่ออู๋ซู่เฟินครับ บางครั้งผมก็เห็นหล่อนเอาเศษผ้าสักหลาดชิ้นใหญ่ซ่อนไว้ในตัวเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ หล่อนได้เอาของอย่างอื่นไปด้วยหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่เรื่องขโมยผ้านี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแน่นอนครับ”
หลินม่ายถาม “เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ?”
“ตั้งแต่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนครับ”
หลินม่ายถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมคุณถึงไม่จับหล่อนให้คาหนังคาเขาไปเลยล่ะคะ? หรือจะรายงานกับหัวหน้าโรงงานเหรินก็ได้นี่คะ”
ลุงยามกลายเป็นอ้ำๆ อึ้งๆ ขึ้นมา “ผมเห็นว่าอู๋ซู่เฟินเดินอยู่ใกล้หัวหน้าโรงงานเหรินมาก เลยไม่กล้าจับคาหนังคาเขา ยิ่งไม่กล้ารายงานกับหัวหน้าโรงงานเหริน กลัวว่าจะถูกใช้อำนาจกลั่นแกล้งเอาน่ะครับ”
หลินม่ายพูดไม่ออก “งั้นก็ยังมีหัวหน้าคนอื่นๆ อีก คุณก็สามารถรายงานกับพวกเขาได้เหมือนกันนี่คะ”
“……อู๋ซู่เฟินล้วนมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับหัวหน้าคนอื่นๆ ทั้งนั้น ผม…ผมกลัวจะไปเหยียบทุ่นระเบิดเข้า……”
ลุงยามพูดเช่นนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นจริงจังหนักแน่นขึ้นมา “อู๋ซู่เฟินมากับหัวหน้าโรงงานเหรินแล้วครับ!”
ท่าทางเช่นนั้นราวกับได้เจอศัตรูตัวฉกาจ
หลินม่ายหันหน้ามองไป เห็นผู้หญิงอายุสี่ห้าสิบปีคนหนึ่งพูดคุยหัวเราะอยู่กับเหรินเป่าจูพลางเดินมาทางประตูโรงงาน ท่าทางดูสนิทสนมกันอย่างมาก
หลินม่ายจำอู๋ซู่เฟินขึ้นมาได้ ก็คือคุณป้าที่เที่ยวพูดกับใครไปทั่วว่าตนเป็นเพื่อนบ้านกับเธอ ในวันรับสมัครพนักงานนั่นเอง
มิน่าเมื่อครู่นี้พอได้ยินชื่อ “อู๋ซู่เฟิน” ก็รู้สึกคุ้นหูอยู่หน่อยๆ
ลุงยามเฝ้าประตูนั้นสองตาจ้องเขม็งไปยังอู๋ซู่เฟิน แล้วกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูหลินม่าย “อู๋ซู่เฟินคงจะสอดผ้าเอาไว้ในตัวอีกแล้วครับ”
หลินม่ายถาม “คุณมองออกได้ยังไงเหรอคะ?”
“ร่างกายหล่อนอ้วนขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งครับ”
หลินม่ายนิ่งเงียบไปไม่กี่วินาทีแล้วพูดขึ้น “เราแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไปก่อนนะคะ”
ลุงยามพยักหน้าเล็กน้อย
ในตอนที่เหรินเป่าจูและอู๋ซู่เฟินเดินมาถึงเบื้องหน้า หลินม่ายก็หมุนตัว ชนเข้ากับร่างของอู๋ซู่เฟินอย่างจัง ทำเอาหล่อนถูกชนจนล้มลงในแอ่งน้ำขังที่เกิดจากฝนตกเมื่อวาน
เสื้อนวมบุฝ้ายบนร่างของอู๋ซู่เฟินเปียกโชกในทันใด
หลินม่ายสวมบทละครทันที เธอเอ่ยขอโทษไม่หยุด พร้อมกับดึงอู๋ซู่เฟินขึ้นมาจากพื้นไปด้วย
เมื่อเห็นเสื้อนวมบุฝ้ายของหล่อนเปียกแล้ว ก็อยากช่วยหล่อนถอดเสื้อนวมออก แล้วยังให้เถาจืออวิ๋นที่ยืนห่างออกไปสองสามเมตรไปเอาชุดปีนเขาใหม่เอี่ยมตัวหนึ่งในโกดังออกมาเปลี่ยนให้หล่อนด้วย
อู๋ซู่เฟินนั้นให้ตายไม่ยอมให้หลินม่ายถอดเสื้อนวมของหล่อนออก และยังพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า เสื้อนวมเปียกแล้วก็ไม่เป็นไร หล่อนกลับไปซักสักหน่อยก็ได้แล้ว
ไม่ต้องเอาเสื้อปีนเขาของโรงงานมาเปลี่ยนให้หรอก เก็บชุดปีนเขาเอาไว้ขายเถอะ
แต่หลินม่ายกลับดึงดันจะถอดเสื้อนวมของหล่อนให้ได้ บอกว่าขายเสื้อผ้าลดลงสักตัวก็ไม่มีผลกระทบอะไรหรอก แต่ถ้าหล่อนต้องใส่เสื้อนวมเปียกๆ จนเกิดป่วยขึ้นมา เธอก็คงสงบใจไม่ได้
เหรินเป่าจูเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็พูดกับอู๋ซู่เฟินด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างๆ “ประธานหลินให้คุณเปลี่ยนคุณก็เปลี่ยนเถอะ ถ้าไม่ใช้ข้อได้เปรียบของโรงงานก็เสียของแย่สิคะ”
ในตอนนั้นเอง เถาจืออวิ๋นก็ถือชุดปีนเขาใหม่เอี่ยมตัวหนึ่งวิ่งเข้ามา เกลี้ยกล่อมอู๋ซู่เฟินให้เปลี่ยนเป็นชุดปีนเขาอย่างรู้ชัดอยู่ในใจ พลางเอื้อมมือไปฉุดดึงเสื้อนวมของหล่อน
อู๋ซู่เฟินรับมือกับหลินม่ายคนเดียวก็ลำบากมากแล้ว ตอนนี้ยังมีเถาจืออวิ๋นเพิ่มมาอีกคน จึงต่อต้านไม่ได้เลยสักนิด
เสื้อนวมถูกดึงออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นเสื้อสเวตเตอร์ที่ตุงๆ นูนๆ อยู่ข้างใน
อู๋ซู่เฟินไม่ได้อ้วนเลยแม้แต่น้อย แต่เสื้อสเวตเตอร์ที่สวมอยู่บนร่างของหล่อนกลับตุงๆ นูนๆ แค่เห็นก็รู้แล้วว่ามีปัญหา
อู๋ซู่เฟินตื่นตระหนกและไม่รู้จะทำยังไงไปชั่วขณะ หลินม่ายก็ได้คว้าจังหวะนี้ เอื้อมมือไปดึงชายเสื้อสเวตเตอร์ที่สอดไว้ในขอบเอวกางเกงของหล่อนออกมา
ปากก็พูดว่า “ทำไมเสื้อสเวตเตอร์ตัวนี้ของคุณถึงนูนขนาดนี้? เสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงข้างในคงไม่ได้ปรับให้เรียบใช่ไหมคะ?”
เสียงของเธอยังไม่ทันเงียบลง ก็เห็นผ้าสักหลาดสีแดงกุหลาบชิ้นใหญ่ไถลออกมาจากเสื้อสเวตเตอร์ของอู๋ซู่เฟิน และหล่นลงบนพื้น เปียกชุ่มไปด้วยน้ำสกปรก
ทันใดนั้น บรรยากาศพลันเอื่อยนิ่ง
หลินม่ายชี้ไปยังผ้าเนื้อสักหลาดสีแดงกุหลาบชิ้นใหญ่บนพื้นชิ้นนั้น แล้วถามเสียงขรึม “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?”
ถูกจับได้พร้อมของกลางเช่นนี้ แม้อู๋ซู่เฟินจะอยากปฏิเสธแค่ไหนก็หาคำแก้ตัวไม่ได้
หล่อนละล่ำละลักอยู่เนิ่นนาน ไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
หลินม่ายไม่ว่างมาเสียเวลากับหล่อน เธอเรียกติงไห่เฟิงมาแล้วมอบอำนาจการจัดการทั้งหมดให้เขา จากนั้นจึงขี่จักรยานพาเถาจืออวิ๋นไปที่โรงเรียนอนุบาล
เสียเวลาอยู่ที่โรงงานมาพักใหญ่แล้ว พวกเธอจึงไปที่โรงเรียนอนุบาลสายเล็กน้อย
เด็กๆ คนอื่นถูกผู้ปกครองรับไปกันหมดแล้ว มีเพียงฉีฉีกับโต้วโต้วยืนอยู่ที่ประตูโรงเรียนอนุบาลต่อผู้ปกครองมารับด้วยกันกับคุณครู
ในตอนนั้นเองหม่าเทาก็เข้ามาอย่างเร่งร้อน เมื่อเห็นคุณครูประโยคแรกที่เขาพูดก็คือ “คุณครู สวัสดีครับ ผมเป็นพ่อของฉีฉี ผมมารับฉีฉีกลับบ้านครับ”
พูดดังนั้นแล้ว เขาก็เอื้อมมือไปดึงฉีฉีมา
ฉีฉีหลบอยู่ข้างหลังคุณครูอย่างตื่นตระหนก เอ่ยเสียงเบา “คุณครูครับ เขาไม่ใช่พ่อของผม พ่อของผมตายไปตั้งนานแล้ว”
นึกไม่ถึงว่าลูกชายแท้ๆ ของตัวเองจะบอกว่าตัวเองตายไปแล้ว หม่าเทาโมโหจนแทบระเบิด อารมณ์ดีๆ ก่อนหน้านี้หายวับไปทันตา
เขาตวาดใส่ฉีฉีด้วยสีหน้าดุร้าย “แกกล้าบอกว่าฉันตายแล้วเหรอ? ฉันจะตีแกให้ตายเลยคอยดูสิ!”
ฉีฉีตกใจจนน้ำตาคลอจะร้องไห้
โต้วโต้วพลันลุกขึ้นมา เหยียดแขนทั้งสองออกขวางหม่าเถาเอาไว้
เอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว “ถ้าคุณกล้าแตะต้องฉีฉีแม้แต่ขนเส้นเดียว หนูจะให้คุณอากับคุณแม่หนูจัดการคุณซะเลย!”
คุณครูพาเด็กน้อยทั้งสองมาหลบด้านหลังเธอ แล้วพูดกับหม่าเถาอย่างเคร่งขรึม “สหายท่านนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อแท้ๆ ของฉีฉีหรือไม่ คุณแม่ของฉีฉีก็เคยกำชับไว้ก่อนแล้ว ว่ามีแค่ตากับยายของฉีฉีและตัวหล่อนเองเท่านั้นที่ไปรับส่งเขาได้ ฉันไม่สามารถส่งฉีฉีให้คุณได้ค่ะ!”
ด้วยความสิ้นหวังของหม่าเทา ท่าทางที่แสร้งทำเป็นอ่อนโยนก่อนหน้านี้ก็ถูกโยนทิ้งไปแล้ว อุปนิสัยยิ่งเหมือนกับพ่อแม่แท้ๆ ของเขามากขึ้นทุกที
ในเวลานั้นเขาก็ได้แสดงสีหน้าอย่างอันพาลเหมือนกับแม่ของเขาออกมา ขณะไต่ถามคุณครู “ผมเป็นพ่อแท้ๆ ของเขา ยังจะรับเขาไปไม่ได้อีกงั้นเหรอ?”
“ไม่ได้ค่ะ!” คุณครูตอบกลับอย่างเฉียบขาด นอกจากนี้ยังชักสีหน้าโกรธจัด“คุณเป็นพ่อแท้ๆ ของฉีฉีแล้วมันยังไงล่ะ? พวกเรารู้จักแค่เงินเท่านั้น ไม่รู้จักคน คุณไม่ได้จ่ายเงินให้โรงเรียนเลยสักเฟินเดียว ฉันก็ไม่สามารถส่งฉีฉีให้คุณได้ตามที่คุณต้องการหรอกค่ะ”
หม่าเทาโกรธกระฟัดกระเฟียด พลันทะเลาะกับคุณครูอย่างดุร้ายขึ้นมา
แต่ทะเลาะไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรคุณครูก็ไม่ยอมส่งฉีฉีให้เขา
เจ้าตัวน้อยทั้งสองจับมือกันแล้วตะโกนเสียงดังว่าหม่าเทาเป็นคนเลว
ทำให้คนเดินถนนที่ผ่านไปมาหน้าประตูโรงเรียนอนุบาลพากันชำเลืองมองมา
เจ้าหน้าที่รปภ.ที่อยู่ในห้องยามจ้องเขม็งหม่าเทาอย่างโหดเหี้ยม แต่หม่าเทากลับไม่รู้ตัว เอาแต่คิดจะพาตัวฉีฉีไปเท่านั้น
เขาแย่งตัวฉีฉีมาแล้ววิ่งหนีไปทันที คุณครูและรปภ.ไล่ตามไปข้างหลังไม่ยอมปล่อย
คุณครูวิ่งช้า เจ้าหน้าที่รปภ.วิ่งได้เร็ว ไม่นานก็ไล่ตามมาทันหม่าเทา พลันใช้ไม้ตะบองในมือหวดไปทางเขา
ขณะที่หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นกำลังรีบมาก็เห็นฉากนี้เข้า
ชั่วขณะนั้นหลินม่ายตื่นตระหนกขึ้นมา เธอไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พลันขี่จักรยานพุ่งเข้าใส่หม่าเทาทันที
ความเร็วนั้นมากเกินไป ทำให้หม่าเทาหลบไม่ทัน จนถูกล้อหน้าจักรยานของหลินม่ายชนเข้าอย่างจัง ทั้งยังชนเข้าที่จุดอ่อนไหวของเขาอีกต่างหาก
เขาเจ็บทนแทบอยากตายขึ้นมา แม้แต่หลังที่ถูกไม้ตะบองตีก็ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ฉีฉีที่อุ้มอยู่ในมือเองก็หล่นลงกับพื้น
“ฉีฉี!” เถาจืออวิ๋นเห็นฉีฉีหล่นลงกับพื้นก็ร้องไห้ออกมา รีบกระโดดลงมาจากที่นั่งด้านหลังของจักรยานแล้ววิ่งเข้าไป อุ้มเขาขึ้นมาจากพื้นทันที
โชคดีที่ตอนนี้เป็นหน้าหนาวจึงใส่เสื้อผ้าหลายชั้น นอกจากนี้ฉีฉียังใส่หมวกเล็กไว้ด้วย จึงทำให้หล่นลงมาไม่แรงนัก
ที่เขาร้องไห้หนักขนาดนี้ เป็นเพราะกลัวว่าจะถูกพ่อเศษเดนอุ้มหนีไป และไม่ได้เจอกับแม่อีก
หม่าเทาไม่สนใจความเจ็บปวดที่แผ่มาจากกล่องดวงใจ และคิดจะวิ่งเผ่นหนีไป
แต่ขายังไม่ทันก้าวออกไป ก็ถูกเจ้าหน้าที่รปภ.ของโรงเรียนอนุบาลใช้ไม้ตะบองหวดเข้าที่น่อง ทำให้ตัวทรุดลงกับพื้นอย่างควบคุมไม่ได้
เถาจืออวิ๋นคับแค้นใจที่เขาทำให้ฉีฉีร่วงลงกับพื้น จึงเข้าไปทุบตีเตะต่อยกับเขาหนึ่งยก
เตะไปพลางด่าไปพลาง
หลินม่ายนั้นเข้าไปเกลี้ยกล่อมหล่อน แต่ก็แอบเตะหม่าเทาอย่างแรงไปสองสามที ไอ้ผู้ชายสวะแบบนี้ต้องกระทืบให้ตายถึงจะสาสม!
ในช่วงที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่นั่นเอง หม่าเทาก็ถูกรปภ.จับมือไพล่หลังแล้วมัดไว้
และคนทั้งกลุ่มก็ได้ส่งหม่าเทาไปโรงพักอย่างอึกทึกครึกโครม
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มันต้องทุบให้สูญพันธ์ุแล้วส่งเข้าคุกค่ะผู้ชายสวะแบบนี้
ไหหม่า(海馬)