บทที่ 411-2 อาเหิง (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 411 อาเหิง (2)

ยามนี้ไม่มีใครอยู่ที่เรือน กู้เจียวออกไปตรวจนอกสถานที่ ส่วนแม่นางเหยาไปที่เรือนของฮูหยินโจว แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ไม่ไกลนัก แต่จู่ๆ ฝนก็ตกหนัก ฮูหยินโจวจึงขอให้แม่นางเหยารอให้ฝนหยุดตกก่อนแล้วค่อยกลับ เพราะกลัวว่านางจะเกิดลื่นหกล้มระหว่างทาง

อวี้หย่าร์กับแม่นมฝางเองก็อยู่ที่นั่นด้วย

ส่วนกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นออกไปเรียนงานฝีมือเหมือนเคย

ดูเหมือนก่อนหน้านี้เสี่ยวจิ้งคงจะยังเล่นย่ำน้ำไม่หนำใจ พอมาถึงเรือนก็รีบวิ่งไปที่สวนด้านหลังแล้วปล่อยเสี่ยวปาเสี่ยวจิ่วรวมถึงลูกไก่อีกเจ็ดตัวออกมาเล่นด้วยกัน

แต่ดูเหมือนพวกมันไม่ได้อยากเล่นด้วยเลยสักนิด!

เซียวลิ่วหลังเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นไปที่ห้องทำงานและหยิบตำราวิชาเลขของแคว้นเยี่ยนออกมา ศึกษาและคำนวณอัตราต่อไป

หลังจากที่เล่นย่ำน้ำได้สักพัก เสี่ยวจิ้งคงก็เดินเข้าไปในห้อง มาที่โต๊ะของเขา เอามือกุมท้อง แล้วพูดอย่างเคอะเขินว่า “ข้าหิวแล้ว”

เซียวลิ่วหลังชำเลืองมองเขา “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะกินอาหารที่ข้าทำ”

เสี่ยวจิ้งคงถึงกับสะดุดและพูดตะกุกตะกัก “เอ่อ ไม่กินก็ได้”

พี่เขยตัวแสบทำอะไรไม่ได้เรื่องเลย ไม่เป็นไร เขายอมทนหิวไปก่อนก็ได้

แต่เจ้าท้องก็ไม่วายร้องไม่หยุด เสี่ยวจิ้งคงพยายามหาอะไรมากินรองท้องก็แล้วแต่ยังหิวอยู่ดี ด้วยความที่เขาเป็นเด็กกินข้าวเยอะ ขนาดตอนเป็นเณรเขายังต้องแย่งอาหารกับเณรคนอื่นๆ ในวัดเลย

ท้ายที่สุดเซียวลิ่วหลังก็ยอมเข้าครัวไปทำบะหมี่ใส่ไข่ให้เขากิน

พอเห็นสภาพเส้นบะหมี่ที่ดูไหม้ๆ ดำๆ เสี่ยวจิ้งคงก็เริ่มรู้สึกขยาด

เซียวลิ่วหลังยื่นตะเกียบให้เขา “กินเสียสิ”

เสี่ยวจิ้งคงนั่งลงบนเก้าอี้พิเศษของเขา พลางมองเซียวลิ่วหลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าละอยากจะถามจริงๆ ว่าเจ้ากล้ากินอาหารที่ตัวเองทำไหม”

เซียวลิ่วหลัง “ข้าไม่ได้หิวจนท้องร้องเหมือนคนแถวนี้นี่”

เสี่ยวจิ้งคงก้มลงมองท้องตัวเอง พลางนึก ที่พี่เขยตัวแสบพูดมาก็มีเหตุผล

สุดท้าย ความหิวก็ชนะทุกสิ่ง

“เฮ้อ” เสี่ยวจิ้งคงถอนหายใจ ก่อนจะยื่นมือคว้าตะเกียบจากเซียวลิ่วหลัง

ที่จริงก็ใกล้จะถึงเวลาอาหารแล้ว แต่เซียวลิ่วหลังกลับไม่รู้สึกหิว แต่เขาก็ไม่อาจทิ้งให้เจ้าตัวเล็กนั่งกินข้าวคนเดียว

ก็เลยต้องลากเก้าอี้ของเสี่ยวจิ้งคงไปไว้ที่ห้องหนังสือด้วย

กินไปได้ครึ่งนึง เสี่ยวจิ้งคงก็ถึงกับเงยหน้าขึ้นมาจ้องเซียวลิ่วหลังด้วยสายตาขมขื่น “ข้าถามเจ้าอะไรหน่อยได้หรือไม่”

“ว่ามา” เซียวลิ่วหลังยังคงก้มหน้าก้มตาคำนวณต่อ

“เหตุใดนับวันถึงยิ่งทำอาหารออกมาได้รสชาติแย่ลงเรื่อยๆ เช่นนี้ เจ้าทำได้อย่างไร”

เซียวลิ่วหลังหันมามองเจ้าตัวเล็กหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยกลับไป “จะอะไรเสียอีก มันคือความตั้งใจของข้าอย่างไรเล่า”

เสี่ยวจิ้งคง “…”

ตอนเขาสามขวบเขายังทำอาหารออกมาอร่อยกว่าของพี่เขยตัวแสบเสียอีก

ด้วยความที่เสี่ยวจิ้งคงถูกสอนมาว่าไม่ให้กินทิ้งกินขว้าง ดังนั้นไม่ว่าอาหารจะไม่อร่อยแค่ไหน ตราบใดที่เขากินมันเอง เขาจะกัดฟันและกินต่อให้หมด

“อิ่มแล้วรึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถามพลางชำเลืองไปที่ถ้วยเปล่า

เสี่ยวจิ้งคงเม้มริมฝีปากแน่น พลางเอ่ยถาม “เจ้านี่ก็ถามแปลกๆ ทำกับข้าวไม่อร่อยแล้วยังจะคาดหวังให้กินต่ออีกรึ…เอาละ ช่างเถอะ ”

เหอะ ช่วยไม่ได้ ก็กินไม่อิ่มเองนี่นา!

เซียวลิ่วหลังที่รู้ดีว่าเจ้าตัวเล็กไม่มีทางอิ่มง่ายๆ ก็เลยนึ่งข้าวโพด เนื้อเจ และมันหวานไว้เผื่อให้

เขาหยิบชามเปล่าที่อยู่ตรงหน้าเสี่ยวจิ้งคงแล้วไปที่ห้องครัว จากนั้นนำของนึ่งทั้งหลายทั้งเนื้อเจแห้ง ข้าวโพด มันนึ่งยกเข้ามา

เสี่ยวจิ้งคงกอดอกเบ้ปาก “ข้าไม่อยากได้จานนี้”

เพราะเขามีจานที่สวยกว่านี้ต่างหากล่ะ!

เซียวลิ่วหลังพูดอย่างเฉยเมย “รังเกียจรึ แล้วแต่เจ้าละกัน”

เสี่ยวจิ้งคงหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ โค้งปากขึ้นพลางเอ่ย “วันนี้ที่ไม่มีเจียวเจียวก็ไม่เห็นเป็นอะไร!”

เซียวลิ่วหลัง “…”

การดูแลเด็กคนหนึ่งต้องใช้พลังงานมาก หลังจากนั้นไม่นานเซียวลิ่วหลังจึงรู้สึกเหนื่อยล้า ทว่าความเหนื่อยล้าแบบนี้ดูเหมือนจะแตกต่างจากความเหนื่อยล้าปกติ และเขาก็เวียนหัวเล็กน้อยอีกด้วย

หลังจากรับประทานอาหารแล้ว เสี่ยวจิ้งคงล้างจานด้วยตัวเอง ดูเหมือนตู้จะสูงเกินกว่าที่เขาเอื้อมถึง ดังนั้นเขาจึงต้องยืนเขย่งเท้าแล้ววางจานและตะเกียบที่สะอาดลงบนเตาทีละใบ

เขาหยิบผ้าเปียกเพื่อที่จะเช็ดโต๊ะเล็กๆ ของเขา

แต่พอเข้าไปในห้องหนังสือ เสี่ยวจิ้งคงรู้ในทันทีว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

เอ๊ะ

ทำไมพี่เขยถึงมาหลับคาโต๊ะแบบนั้นล่ะ

นี่มันยังไม่มืดเลยนะ!

เสี่ยวจิ้งคงวิ่งเข้าไปใกล้ๆ เอียงหัว และพยายามปลุกเขา “พี่เขย พี่เขย!”

ไม่มีการตอบรับ

“นี่ อาเหิง!” เสี่ยวจิ้งคงเรียกชื่อเขา

แต่ก็ยังเหมือนเดิมอยู่ดี ไร้การตอบรับใดๆ

เขาเอามือเล็กๆ ที่เพิ่งคว้าผ้าขี้ริ้วมาแตะที่หน้าผากของเซียวลิวหลง “อ๊ะ! ร้อนจัง!”

เซียวลิ่วหลังจู่ๆ เกิดล้มป่วยโดยอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มีไข้ตัวรุมไปทั้งร่าง จิตใจของเขาเองก็เช่นกัน

เขาเริ่มฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาได้กลับไปยังตำหนักองค์หญิง

วันนี้จวงเซี่ยนจือมาสอนหนังสือให้แก่เวินหลินหลัง เดิมเขาจะต้องไปที่เรือนตระกูลเวิน แต่เพราะไกลเกินไป ก็เลยต้องย้ายมาสอนที่ตำหนักองค์หญิงแทน

เวินหลินหลังคือคู่หมั้นของเขา พวกเขาเรียนหนังสือด้วยกัน

พอจวงเซี่ยนจือสอนเสร็จ ก็ได้เวลาพัก

‘อาเหิง วิชานี้มันยากเกินไป พวกเราออกไปเล่นกันดีไหม’ เวินหลินหลังเอ่ย

เขาคิดในใจว่าหากได้ออกไป คงได้เจอกับท่านแม่ ก็เลยพยักหน้าตกลง

ทั้งสองจึงไปที่หลังเขา

ระหว่างทาง เวินหลินหลังเจอกระต่ายหนึ่งตัว ‘นี่ ดูสิอาเหิง ดูเหมือนว่ามันบาดเจ็บล่ะ พวกเราพามันกลับไปด้วยดีไหม’

เขาจำได้ว่ากระต่ายของท่านแม่ของเขาก็เพิ่งลาโลกไปได้ไม่นาน และยังอยู่ในช่วงเศร้าโศก

‘อาเหิง ข้าอยากกินพุทรา เจ้าปีนขึ้นไปเด็ดให้ข้าที’

เขาเองก็ชอบกินพุทรา ก็เลยปีนขึ้นไปเก็บให้

‘อาเหิง เจ้าซื้อขนมกุ้ยฮวาให้ข้ากินได้ไหม’

มารดาของเขาก็ชอบขนมกุ้ยฮวาเช่นกัน ก็เลยรีบขึ้นรถม้าเพื่อออกไปซื้อขนม

เขาอุ้มเจ้ากระต่าย ถือพุทราและกล่องขนมกุ้ยฮวาในมือเดินเข้าไปหาองค์หญิงซิ่นหยางด้วยความตั้งใจ แต่กลับพบเจอกับใบหน้าอันเย็นชา

‘อาเหิง’ นางโบกมือให้เขาแล้วยิ้มให้

‘ท่านแม่ ไม่สบายหรือ’ เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ นาง

‘อาเหิงรักแม่ไหม’

‘รักสิขอรับ’

‘เจ้ายอมทำทุกอย่างเพื่อแม่ใช่ไหม’

‘ทุกอย่างเลย’

‘ถ้าอย่างนั้น อาเหิง…เจ้าตายเพื่อแม่ได้หรือไม่’