บทที่ 412 เราสามคน

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 412 เราสามคน

ฝนกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง

ถนนจูเชวี่ยถูกปกคลุมไปด้วยหมอกฝน

องค์หญิงซิ่นหยางอยู่ในสภาพสวมใส่ชุดนอน ราวกับเพิ่งลุกออกจากแท่นบรรทม

นั่งดูฝนพรำข้างหน้าต่าง

อวี้จิ่นเดินออกมาจากห้องจัดดอกไม้ เก็บร่ม ปัดน้ำฝนบนร่ม แล้วยื่นให้สาวใช้ตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ จากนั้นนางก็หันหลังกลับเข้าไปในห้อง รายงานกับองค์หญิงซิ่นหยาง “ดอกโบตั๋นนั้นยังมีชีวิตอยู่นะเพคะ แต่ทว่ามันจะเป็นอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้วนะเพคะ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปคงไร้หนทางชุบชีวิตมันได้แล้วเพคะ”

ไร้ซึ่งคำตอบจากองค์หญิงซิ่นหยาง

“ลมฝนพัดเข้ามาแล้วเพคะ” อวี้จิ่นเดินไปหยิบไม้เท้าที่ค้ำหน้าต่างออก แล้วลดหน้าต่างลง “หลังฝนตก อากาศคงจะหนาวขึ้น และคงหนาวไปจนถึงวันไหว้พระจันทร์แน่ๆ เลยเพคะ”

พอไม่มีทิวทัศน์ให้ดู องค์หญิงจึงละสายตาออกจากหน้าต่าง กระนั้นก็ยังไม่เอ่ยอะไรออกมาอยู่ดี

“องค์หญิงทรงมีเรื่องไม่สบายใจหรือเพคะ” อวี้จิ่นเอ่ยถาม

“เมื่อครู่ข้าฝัน ฝันถึงเด็กคนนั้น”

แววตาของอวี้จิ่นเริ่มส่องประกาย “ฝันถึงเสี่ยวโหวเหย่หรือเจ้าคะ”

“อืม” องค์หญิงซิ่นหยางยอมรับตรงๆ พลางเอามือขวาจิกเข้าไปที่ชายเสื้อฝั่งซ้าย “เขาเอาแต่พูดว่าจะฆ่าข้า”

“องค์หญิง!” อวี้จิ่นเริ่มหน้าเสีย

แต่องค์หญิงซิ่นอยางได้แต่ยิ้มเบาๆ ให้

อวี้จิ่นลังเลที่จะพูดและถอนหายใจ “นี่ก็ดึกมากแล้ว ทรงพักผ่อนเถิดเพคะ”

เซียวหลิวหลังตื่นขึ้นมากลางดึก เขานอนอยู่บนเตียงนุ่มและเวียนหัวอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะจำได้ว่าดูเหมือนเขาจะหลับไปบนโต๊ะ แต่เหตุใดเขาถึงมาโผล่บนเตียงเสียอย่างนั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่ที่นอนของตัวเองด้วย

“ฟื้นแล้วสินะ”

เสียงของกู้เจียวดังขึ้น

ฝนเริ่มซาลงแล้ว จากเม็ดใหญ่เริ่มเล็กลง บรรยากาศรอบๆ เริ่มมีกลิ่นอายของฤดูใบไม้ร่วง

แสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันส่องสว่างในห้อง

เซียวลิ่วหลังมองกู้เจียวซึ่งนอนอยู่ข้างๆ เขา สีหน้าและน้ำเสียงของนางยังดูปกติดี เห็นได้ชัดว่านางยังไม่ได้นอน

พอได้เห็นคนข้างๆ อาการใจสั่นที่เหลืออยู่ในความฝันสงบลงทีละน้อย

“นี่ข้าเป็นอะไรไปรึ” ทันทีที่เขาเปิดปาก เขาก็รู้ว่าเสียงแหบนั้นไม่ใช่ของเขาเลย และลำคอของเขาก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

“ก็เจ้าเล่นตากฝนขนาดนั้น ตอนที่ทุกคนยังไม่กลับมา เสี่ยวจิ้งคงคอยดูแลเจ้าอยู่ตลอดเลย”

“เจ้าตัวเล็ก…ดูแลข้า อย่างนั้นรึ” เซียวลิ่วหลังเหลือเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน

เจ้าเณรน้อยนั่นดูแลคนเป็นกับเขาด้วยรึ

กู้เจียวเบะปากพลางชี้ไปที่แผ่นแปะลดไข้ที่หน้าผากของเขา “เนี่ย เสี่ยวจิ้งคงแปะแผ่นนี้ให้เจ้า”

ตอนที่เสี่ยวจิ้งคงป่วยเป็นไข้อีสุกอีไส กู้เจียวเคยใช้แผ่นลดไข้แปะให้เขา นางเองก็นึกไม่ถึงว่าเสี่ยวจิ้งคงจะจำได้แม่นขนาดนี้ อุตส่าห์ไปหาจนเจอแล้วเอามาแปะให้เซียวลิ่วหลัง

เขายกมือขึ้นไปแตะที่หน้าผากก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างเย็นๆ นิ่มๆ แปะไว้อยู่จริงด้วย

ไม่บอกก็รู้ว่าแผ่นแปะนี้จะต้องเป็นของที่อยู่ในกล่องยาของกู้เจียวแน่นอน เพราะเขาเคยเห็นนางให้คนอื่นใช้มาก่อน

เขาไม่ตกใจอะไรกับของแปลกๆ ที่อยู่ในกล่องยาของกู้เจียวเท่าใดนัก เพราะเรื่องที่น่าตกใจว่าคือเจ้าตัวเล็กนั่นมาดูแลเขาได้อย่างไร

“เสี่ยวจิ้งคงดูแลคนเป็นด้วยรึ”

กู้เจียวเบะปากใส่เขาอีกครั้ง “ไม่เพียงแต่ดูแลเท่านั้นนะ เขายังป้อนน้ำให้เจ้า แต่เจ้าอาจจำไม่ได้ ตอนนั้นฝนตกหนัก ไม่มีใครอยู่ เขาคนเดียวฝ่าฝนออกไปหาหมอซ่งให้ช่วยมาที่เรือนด้วย”

“เจ้าเด็กนั่น…เดินออกไปไกลขนาดนั้นเชียว”

เซียวลิ่วหลังตกใจจนพูดไม่ออก

เจ้าตัวเล็กนี่ก็เห็นวันๆ เอาแต่เล่นซนร้องเพลงเสียงดังโหวกเหวกโวยวายจนทั้งคนทั้งสัตว์ต่างรำคาญ ก็นึกว่าจะดีแต่เล่นเสียอีก

ที่แท้เขามีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เห็นอีกหรือนี่

กู้เจียวชำเลืองคนตรงหน้า “ตกใจอะไรขนาดนั้น”

เซียวลิ่วหลัง “ข้าไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะสนใจข้ามากขนาดนี้”

“เสี่ยวจิ้งคงน่ะเป็นห่วงเจ้ามากกว่าข้าเสียอีก เขาบอกว่าเจ้าน่ะ ไม่รู้จักดูแลตัวเอง ฝนตกก็ไม่พกร่ม”

“ก็ข้าไม่รู้ว่าวันนี้ฝนจะตกนี่นา” เซียวลิ่วหลังอธิบาย

ด้วยความที่เซียวลิ่วหลังต้องออกเดินทางแต่เช้ามืด จึงไม่สามารถมองเห็นสภาพท้องฟ้าได้เลย ส่วนเสี่ยวจิ้งคงที่ออกเดินทางสายหน่อย ก็เป็นเวลาที่แสงสายัณห์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแล้ว เขาเพิ่งเรียนเรื่องนี้จากกั๋วจื่อเจียนไปเมื่อไม่นานมานี้ว่า “แสงสายัณห์ยามเช้าอย่าออกเรือน แสงสายัณห์ยามเย็นให้เดินทางไกล”

เสี่ยวจิ้งคงก็เลยเตรียมร่มและเสื้อกันฝนติดไว้

เป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายดียิ่งนัก

กู้เจียวยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ย “เสี่ยวจิ้งคงยังบอกว่า ‘ข้ารู้ว่าพี่เขยของข้าน่ะออกไปแต่เช้ามืด แต่เขาจะไม่ซื้อร่มระหว่างทางเลยหรือ แล้วเขาก็ต้องเดินกลับมาท่ามกลางสายฝนเนี่ยนะ ช่างโง่เสียจริง!’”

มุมปากของเซียวลิ่วหลังกระตุก หึหึ พูดเสียเหมือนเชียวนะ

กู้เจียวเอ่ยต่อ “เขายังถามข้าด้วยว่าข้าไม่ได้ให้เงินค่าขนมเจ้าหรือเปล่า เจ้าเลยไม่มีเงินซื้อร่ม”

เซียวลิ่วหลัง “…”

ตัวแค่นี้แต่หัดพูดเยอะแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

กู้เจียวยกผ้าห่มและลุกจากเตียง หยิบยาแล้วยื่นให้เขา และเทน้ำร้อนใส่ถ้วยและวางไว้ข้างๆ “ในเมื่อเจ้าตื่นแล้ว อย่าลืมกินยาล่ะ”

เสี่ยวลิ่วหลังลุกขึ้นนั่ง กินยาและดื่มน้ำหมดแล้ว

“แล้วนี่ข้ามาอยู่บนเตียงเจ้าได้อย่างไร” ในที่สุดเซียวลิ่วหลังก็เพิ่งนึกได้ว่าจะถามอะไร

กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ พลางเอยเสียงแข็ง “ข้าไม่ได้เป็นคนลากเจ้ามานะ!”

เซียวลิ่วหลัง “…”

“นอนเถอะ!” หลังจากเก็บถ้วยชา กู้เจียวก็รีบล้มตัวนอนลงใต้ผ้าห่มอย่างแน่วแน่ราวกับแสร้งทำเป็นตาย!

เซียวลิ่วหลังเอนตัวลงไปนอน แต่ไม่ได้หลับ เขาเอาแต่จ้องมองคนข้างๆ ไม่กระพริบตา

กู้เจียวรู้ว่ากำลังถูกคนข้างๆ จ้องอยู่ จึงเอ่ยทัก “เอ่อ จริงด้วย ข้าลืมดับตะเกียง”

พูดจบก็รีบดับไฟลง แล้วนอนต่อ

ทันใดนั้นห้องก็จมดิ่งสู่ความมืดและความเงียบที่น่าขนลุก

เซียวลิ่วหลังได้ยินเสียงหายใจไม่สม่ำเสมอจากคนข้างๆ ในความมืด จึงเอ่ยถาม “ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่าข้าไม่ใช่อย่างที่เจ้าเห็น เจ้าจะผิดหวังไหมหรือไม่”

“ทำไมข้าต้องผิดหวังด้วย” กู้เจียวหันศีรษะไปหาเขา “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ใบหน้าที่ข้างเห็นอยู่ตรงหน้านี้คือเป็นหน้าปลอมหรือย่างไร”

กู้เจียวเอ่ยพลางยื่นมือไปหยิกเบาๆ ที่หน้าเขา

“…ไม่ใช่สิ” เขาเอ่ย

“แล้วนี่ล่ะ” นิ้วซุกซนของกู้เจียวค่อยๆ เลื่อนลงไปที่แผ่นกล้ามเนื้อที่อกของเขา

เซียวลิ่วหลังสูดหายใจลึก “…ไม่ใช่อย่างนั้น”

“แล้ว นี่ล่ะ”

กู้เจียวเอ่ย พลางเลื่อนนิ้วไปที่กล้ามหน้าท้องของเขา

เซียวลิ่วหลังเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่าง

เซียวหลิวหลางรีบคว้ามือเล็กๆ ที่อยู่ไม่สุขของนาง กังวลว่าหากนางไม่หยุด หากนางเริ่มลงต่ำเรื่อยๆ อาจสะกิดบางสิ่งที่ไม่ควรสะกิด

“ก็ต้องจริงสิ” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “มืออย่าได้ซนนัก”

กู้เจียว “อ้อ”

เซียวลิ่วหลังนึกในใจ ทำไมน้ำเสียงฟังดูผิดหวังนักล่ะ

เซียวลิ่วหลังยังคงคว้ามือของนางไว้ไม่ปล่อย แต่เขาไม่ได้ใช้แรงมากเกินไป นางสามารถดึงออกมาได้หากต้องการ

กู้เจียวพลิกตัวหันไปทางเขาเพื่อให้มองได้ชัดขึ้น

ลมหายใจของทั้งสองประสานกัน

ทันใดนั้น นางก็เกี่ยวนิ้วของเขาแล้วเอ่ยถาม “ในเมื่อเจ้าจริงตั้งแต่หัวจรดเท้าขนาดนี้ ข้าจะผิดหวังไปทำไมล่ะ”

แล้วถ้าตัวตนของข้าไม่ใช่ของจริงล่ะ

ถ้าข้าไม่ใช่คนที่เจ้าคิดว่าข้าเป็นล่ะ

เซียวลิ่วหลังรวบรวมสติ และต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากที่จะเอ่ยออกไป “เจ้าเคยคิดไหมว่าบางทีข้า อาจไม่ใช่ตัวจริง…”

ว่ากันตามตรงแล้ว กู้เจียวไม่ได้ถือสาหรอกว่าเขาจะเป็นเซียวลิ่วหลังตัวจริงหรือไม่

แต่ในเมื่อเขาพูดมาเสียขนาดนี้แล้ว กู้เจียวย่อมเปิดใจรับฟังความในใจของเขาอย่างแน่นอน

กู้เจียวจ้องมองเขา “อะไรไม่ใช่ตัวจริงอย่างนั้นรึ”

เซียวลิ่วหลังกำมือนางไว้แน่น “ข้าหมายถึงตัวขะ…”

“ฮัดชิ่ว!”

เสียงจามดังขึ้นจากด้านหลังไม่ผิด เซียวลิ่วหลังหยุดพูดกะทันหันแล้วหันไปตามเสียง

แม้จะไม่เห็นว่าเป็นใคร แต่แค่เอามือลูบๆ คลำๆ ถึงได้รู้ว่าเจ้าตัวเล็กอยู่ในห้องนี้ด้วยอีกคน แถมกำลังหาวหวอดๆ อยู่

“นี่เขา เขามาอยู่นี่ได้อย่างไร”

เซียวลิ่วหลังตกใจจนเหงื่อท่วม

ดีนะที่เขาไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นกับกู้เจียว ไม่อย่างนั้นละก็

กู้เจียวพอนึกขึ้นได้ก็ร้องอ๋อ “เจ้าตัวเล็กเป็นห่วงเจ้าอย่างไรเล่า ก็เลยตามข้ามาเฝ้าด้วย ตอนนี้คงถึงเวลาเข้าห้องน้ำของเขาพอดี ก่อนหน้านี้ก็ดื่มน้ำสาลี่ไปไม่น้อยเลยล่ะ”

กู้เจียวเอ่ยพลางจุดตะเกียงที่อยู่ตรงหัวเตียง

ในตอนนั้นเอง เจ้าตัวเล็กก็กำลังฝันว่าเขาปวดฉี่มาก พลางเอามือปิดก้นตัวเองไว้ ในฝันเขากำลังตามหาห้องน้ำ และในที่สุด ก็เจอห้องน้ำจนได้!

“มา เดี๋ยวข้าอุ้มเขาเอง” เซียวลิ่วหลังเอ่ย

ขณะที่กำลังช้อนร่างเจ้าตัวเล็กขึ้นมา จู่ๆ เซียวลิ่วหลังกลับสัมผัสได้ถึงความเปียกแฉะ…

เสี่ยวจิ้งคงฉี่รดกางเกงเสียแล้ว!

เซียวลิ่วหลังที่ถูกเสี่ยวจิ้งคงฉี่ใส่ “…”

วันต่อมา อาการของเซียวลิ่วหลังเริ่มดีขึ้น จะเหลือก็แต่เจ็บคอและเสียงแหบอยู่บ้าง

เจ้าตัวเล็กลุกขึ้นจากที่นอนของกู้เจียวด้วยท่าทางสดชื่น

พอหันไปทางอีกห้อง เขาก็เห็นลิ่วหลังนั่งอยู่ในห้องหลัก ดูเหมือนกำลังจัดแจงหนังสืออยู่ ด้วยความที่เมื่อคืนฝนตกหนัก ทำให้หนังสือบางส่วนเปียก ดังนั้นวันนี้เซียวลิ่วหลังจึงวางแผนที่จะนำหนังสือออกไปตากแดดให้แห้ง

พอเห็นเจ้าตัวเล็กมองมาทางนี้ เขาก็เอ่ยทัก “เมื่อคืนเจ้าฉี่ราดนะ”

เสี่ยวจิ้งคงพอได้ยินดังนั้นก็ถลึงตาใส่ “ไร้สาระ! ข้าจะฉี่ราดได้ยังไง! ตั้งแต่หนึ่งขวบมาข้าก็ไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลยนะ!”

ที่เสี่ยวจิ้งคงพูดนั้นไม่เกินจริง เขาเคยเป็นเณรน้อยคนเดียวในวัดที่ไม่เคยฉี่รดที่นอนเลย!

“ไม่เชื่อก็ลองไปดูเองสิ กางเกงเจ้าเปียกขนาดนั้นข้ายังไม่มีเวลามาซักให้หรอกนะ”

พอได้ยินดังนนั้น เสี่ยวจิ้งคงก็รีบวิ่งไปที่สวนหลังบ้านเพื่อดูกางเกงที่เขาใส่เมื่อคืน และที่เห็นก็คือมันเปียกจริงๆ!

และตอนนี้เขาก็ใส่กางเกงอีกตัวอยู่

พอแน่ใจแล้วว่าเป็นฝีมือของตัวเองจริงๆ เสี่ยวจิ้งคงก็ถึงกับยกมือป้องปากตัวเองแล้วร้องด้วยความตกใจ “น่ะ นี่ นี่มัน…”

“ว่าอย่างไรล่ะ บอกแล้วข้าไม่ได้โกหก” เซียวลิ่วหลังเดินเข้ามาใกล้ๆ เจ้าตัวเล็ก

เสี่ยวจิ้งคงโบกกำปั้นเล็กๆ ของเขาและกระโดดอย่างกระวนกระวาย “ข้าไม่ได้ฉี่รดกางเกง! ถ้าไม่ใช่ของข้า ก็ต้องเป็นของเจ้า! ไม่เชื่อดูสิ กางเกงเจ้าก็เปียกด้วยเหมือนกัน”

“ก็ข้าพลอยโดนฉี่ราดไปด้วยน่ะสิ!”

เสี่ยวจิ้งคงไม่เชื่อว่าเขาฉี่รดกางเกง และยังคงคิดว่าเป็นฝีมือของเซียวลิ่วหลัง พลางนึกในใจ เฮ้อ อายุมากขนาดนี้ยังฉี่ราดอยู่อีกหรือนี่!

“เฮอะ!”

เสี่ยวจิ้งคงถอนหายใจแล้วเดินสะบัดออกไป