บทที่ 507 ท่องเที่ยวร่วมกัน

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 507 ท่องเที่ยวร่วมกัน

บทที่ 507 ท่องเที่ยวร่วมกัน

ครั้นเดินมาถึงทางแยก อีกเพียงนิดเดียวเหยาซูก็จะชนเข้ากับลู่เหยาที่ตื่นตระหนก ลู่เหยาเองก็เกือบจะถอยไปสะดุดเข้ากับก้อนหิน เหยาซูจึงรีบคว้าเด็กสาวไว้

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เหยาซูประคองลู่เหยาให้ยืนดี ๆ “เหตุใดจึงรีบร้อนนักเล่า?”

ลู่เหยาได้รับการช่วยเหลือจากเหยาซูผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากมารดาของนางในทุก ๆ วัน เด็กน้อยจึงรู้สึกเกร็งไปทั่วร่าง เอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “ข้า…ข้าจะไปหาท่านแม่เจ้าค่ะ”

“ตอนนี้นางอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เจ้ารอก่อนจะดีหรือไม่?” เหยาซูจ้องมองลู่เหยาที่เหมือนกับกระต่ายตื่นตูม น้ำเสียงตื่นตระหนกท้ายที่สุดก็ผ่อนคลายลง

“ได้เจ้าค่ะ” ลู่เหยายังคงไม่ได้สติ เด็กสาวพยักหน้าอย่างขอไปที

ทุกครั้งแม่ของนางจะบอกว่าเหยาซูเป็นคนที่มีแผนการมากมาย เรื่องที่นางทำล้วนมีเป้าหมายที่ไม่อาจจะเปิดเผยได้ เวลาพบเจอต้องระมัดระวังตัวให้มาก แต่จากที่นางดูแล้ว อีกฝ่ายเหมือนจะเป็นคนดีและอบอุ่นเหลือเกิน

ลู่เหยารวบรวมความกล้าจ้องมองเหยาซู เหยาซูยิ้มให้กับเด็กสาวอย่างอบอุ่น จนลู่เหยาอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบอีกฝ่าย

“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เหยาซูยิ้มและเอ่ยขึ้น

“เจ้าค่ะ!” ลู่เหยาพยักหน้า “แล้วพบกันใหม่เจ้าค่ะ”

“พบกันใหม่” เหยาซูโบกมือให้กับลู่เหยา และเด็กหญิงก็โบกมือกลับ

ตนไม่ได้รู้สึกผิดไป อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่เลวร้ายเลย

ลู่เหยานึกขึ้นในขณะที่มองดูเงาของอีกฝ่ายค่อย ๆ ไกลออกไป

“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?”

น้ำเสียงที่ได้ยินเมื่อไม่นานมานี้ดังขึ้นจากบริเวณด้านหลัง ลู่เหยาหันหลังกลับไปมอง ก็พบเข้ากับองค์รัชทายาทที่กำลังจ้องมองมาอยู่

ถึงแม้ว่าองค์รัชทายาทจะรู้สึกว่าปฏิกิริยาต่าง ๆ ของลู่เหยาไม่ใช่ผู้ที่จะสามารถรับงานลอบสังหารหรือผู้สอดแนมเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้ แต่เหตุใดอีกฝ่ายจึงปรากฏตัวที่ทางเดินไปตำหนักตะวันออกในบริเวณสวนหลวงได้เล่า?

“ฝ่า…ฝ่าบาท” ลู่เหยารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “เมื่อครู่แม่ของหม่อมฉันเดินไปทางนี้ จึงอยู่ตรงนี้เพื่อรอนางเพคะ”

องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว “นางก็เลยให้เจ้าอยู่ตรงนี้?”

อายุของลู่เหยาไม่ได้มากนัก ดูเหมือนว่าเด็กหญิงจะไม่ค่อยได้เข้าวังบ่อย ๆ คาดไม่ถึงว่าแม่คนหนึ่งจะสามารถปล่อยให้ลูกของตนอยู่ในสถานที่ใหญ่โตคนเดียวเช่นนี้ได้อย่างสบายใจ

“ท่านแม่กำลังโกรธหม่อมฉันเพคะ” ลู่เหยาพึมพำ

หากกล่าวว่าลู่เหยามีนิสัยเหมือนกับองค์หญิงน้อย องค์รัชทายาทจะต้องไม่มีทางสงสัยอย่างแน่นอน แต่คนอย่างลู่เหยา เมื่อผู้อื่นชี้ไปทางตะวันตก เด็กหญิงก็จะไม่มีวันไปทางตะวันออกอย่างแน่นอน คาดไม่ถึงว่าจะสามารถทำให้มารดาของนางโกรธได้

องค์รัชทายาทไตร่ตรองอยู่สักพัก และยังรู้สึกว่าจะต้องสังเกตการณ์ลู่เหยาสักหน่อย เพื่อที่ตัวเองจะไม่สะเพร่าจนทำให้เสียเรื่อง เขาเดินรุดขึ้นหน้า “อีกสักพักข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าอยากจะช่วยอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือไม่?”

“อะไรนะเพคะ?” ลู่เหยาตกใจมากที่จู่ ๆ ก็อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้กัน นางจึงหมายจะถอยกลับ แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาท เด็กสาวจึงทำได้แค่เพียงอดกลั้นอยู่ที่เดิม

“ในเมื่อแม่ของเจ้าไม่สนใจเจ้า เจ้าจงไปบอกกับคนของฮองเฮาตรงนั้นว่าเจ้ามีเรื่องจึงจะต้องออกไปก่อน แล้วก็พาข้าออกไป”

“เช่นนี้…จะทำได้เช่นไรกันเพคะ!” ลู่เหยาตื่นตระหนกจนไม่สามารถควบคุมน้ำเสียงได้ โชคดีที่องค์รัชทายาทมือไม้ตอบสนองไวจึงปิดปากเด็กหญิงไว้ได้ทัน

“เหตุใดเจ้าจึงเอาแต่ตกใจตลอดเล่า!” องค์รัชทายาทพาลู่เหยาแยกออกมาจากสายตาของผู้คน และเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

ใบหน้าของลู่เหยาแดงก่ำ จนองค์รัชทายาทตระหนักขึ้นได้ว่าการกระทำเช่นนี้ระหว่างทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมากเกินไป จึงรีบปล่อยมือลง

“เจ้าพูดมาสิ ว่าจะช่วยข้าหรือไม่?”

ลู่เหยาไม่เคยทำเรื่องที่เกินขอบเขตเช่นนี้มาก่อน แต่ตนเองก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะช่วยเหลือองค์รัชทายาทเช่นนี้ได้บ่อย นางจึงไม่อยากยอมแพ้ง่าย ๆ ในที่สุดเด็กสาวก็พยักหน้าด้วยความยากลำบาก “ได้สิเพคะ”

ตนเองได้ช่วยเหลือองค์รัชทายาทเชียวนะ หากว่าท่านแม่ได้รู้เรื่องนี้ก็คงจะไม่โกรธตนเองเช่นนี้ ไม่แน่ว่าคงจะดีใจเป็นอย่างมาก

องค์รัชทายาทตะลึงไปครู่หนึ่ง เพราะคิดว่าลู่เหยาที่มีนิสัยตื่นกลัวจะไม่ช่วยตนอย่างแน่นอน เช่นนี้ทำให้พระองค์ย้อนคิดไปถึงเซี่ยเซินที่เอาแต่กัดริมฝีปาก คาดไม่ถึงว่านางจะตรงไปตรงมาได้เช่นนี้!

“ดี เช่นนั้นพวกเราไปพบกันที่บริเวณรถม้า” เมื่อองค์รัชทายาทกล่าวประโยคนี้จบ ก็หันหลังและวิ่งจากไป

ลู่เหยากัดริมฝีปาก รวบรวมสติ ในที่สุดก็มีความกล้าขึ้น เด็กสาวตรงไปหานางกำนัลของฮองเฮา

ในขณะที่องค์รัชทายาทเตรียมตัวออกจากวัง หลินซือก็ได้พบกับเจี่ยงเถิงที่งานเทศกาลโคมไฟแล้ว

“พี่อาเถิง!” หลินซือร้องเรียกด้วยความดีใจให้เจี่ยงเถิง ไม่ใช่สิ ต้องเป็นถังหูลู่ในมือของเจียงเถิงมากกว่า

“กินช้า ๆ หน่อย” เจี่ยงเถิงช่วยบังลมให้กับหลินซือที่อ้าปากกว้างเพื่อที่จะกินถังหูลู่อย่างช่วยไม่ได้ “ไม่มีใครแย่งเจ้าสักหน่อย จะรีบร้อนไปเพื่ออะไร?”

หลินซือยัดถังหูลู่เข้าในปากของนางอย่างพึงพอใจ ความสุขของรสชาติหวานนิดอมเปรี้ยวหน่อยแพร่กระจายจากปากไปยังท้องของเด็กสาว พาให้หลินซือมีความสุขเป็นอย่างมาก

“ท่านไม่เข้าใจ ถังหูลู่ต้องกินแบบนี้จึงจะสัมผัสถึงรสชาติ” หลินซือทำท่าทางราวกับเป็นผู้ใหญ่ จนเจี่ยงเถิงเองก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

“หัวเราะอะไร?” หลินซือซือเงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างขุ่นเคือง

“ไม่มีอะไร” เจี่ยงเถิงรีบส่ายหน้า แต่เมื่อมองดูการแสดงออกของหลินซือแล้ว มันก็อดไม่ได้จริง ๆ และในที่สุดเด็กหนุ่มก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง

“ท่านยังหัวเราะ ยังจะหัวเราะอีกหรือ!” หลินซือตบหลังเจี่ยงเถิง เด็กหนุ่มหลบไปข้าง ๆ และหัวเราะอย่างชอบใจ

หลินซือไม่สนใจเด็กหนุ่มแล้ว และในท้ายที่สุดเจี่ยงเถิงซื้อโคมที่สีสันสวยงามให้กับเด็กสาวสองอัน สีหน้าของนางจึงดีขึ้น

“อ้อ? หลินซือ เจ้าดูโคมสองอันนั้นสิ มันเหมือนกับถุงเงินของพวกเราหรือไม่?” เจี่ยงเถิงปล่อยมือหลินซือและชี้ไปยังแผงเล็ก ๆ ด้านหน้า

หลินซือเงยหน้ามองตาม ก็พบกับโคมรูปกระต่ายและเสือที่หน้าตาดูโง่เง่า อย่าพูดถึงเลย เพราะมันเหมือนกับถุงเงินของทั้งสองอย่างมาก

“ไปซื้อกัน” หลินซือรีบเอ่ยขึ้น

เจี่ยงเถิงซื้อโดยไม่พูดอะไร ตอนนี้ทั้งสองคนก็มีของเต็มไม้เต็มมือ หลินซือทำได้แค่น้ำลายไหลและจ้องมองขนมที่หอมกรุ่นบนถนนเท่านั้น

“ข้าอยากกินขนมดอกกุ้ยฮวา” หลินซือใช้ข้อศอกแตะเจียงเถิง

เจี่ยงเถิงตัดบท “แต่ข้าไม่มีมือจ่ายเงินแล้ว อาซือเองก็ไม่มีมือที่จะกินแล้ว”

“แต่ข้าอยากกิน” หลินซือเม้มปาก “มือท่านใหญ่ หนึ่งมือถือได้สองชิ้นเชียวนะ”

“เช่นนี้แล้วเทียนข้างในจะคว่ำลงมานะ” เจี่ยงเถิงชี้ให้หลินซือมองโคมในมือ โคมที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวบ้านนั้นไม่ได้ประณีตละเอียดอ่อนเช่นโคมในวัง เทียนไขติดอยู่ที่ฐานของเทียนมีโอกาสจะล้มได้ทุกเมื่อ

หลินซือหยุดอยู่ที่ทางแยกตรงแผงขนมดอกกุ้ยฮวา และไม่ขยับเขยื้อน

เจี่ยงเถิงถอนหายใจ เด็กหนุ่มทำได้เพียงแค่เป่าเทียนให้ดับก่อน แต่ยังไม่ทันจะได้เป่าเทียน จู่ ๆ เจี่ยงเถิงก็เหลือบไปเห็นผู้ช่วยที่มาได้ทันเวลาพอดี

“เหยาเอ้อ เหตุใดจึงมาผู้เดียว” เจี่ยงเถิงเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มที่สว่างไสว

เหยาเอ้อหลางขนหัวลุกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มเช่นนั้น เด็กหนุ่มจึงถอยไปสองสามก้าวและเอ่ยขึ้น “ข้าชอบอยู่คนเดียวมันสบายใจดี นี่เจ้าจะทำอะไรน่ะ!?”

เจี่ยงเถิงจ้องมองไปยังมือที่ว่างเปล่าของอีกฝ่าย และเอ่ยขึ้นด้วยความกระตือรือร้น “เทศกาลใหญ่โตเช่นนี้ เหตุใดในมือจึงว่างเปล่าเล่า? มา ๆ น้องรักคนนี้มีโคมสองอันจะมอบให้!”

เหยาเอ้อหลางถูกยัดโคมรูปสัตว์โง่ ๆ สองตัวใส่มือด้วยความงุนงง ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้ เจี่ยงเถิงก็วิ่งไปที่ด้านข้างของหลินซือเสียแล้ว เขาผูกโคมไฟที่มือของหลินซือ ก่อนที่จะซื้อขนมดอกกุ้ยฮวากับเด็กสาวหนึ่งชิ้น

“นี่ก็ดึกมากแล้ว กินน้อย ๆ หน่อยเถิด กินเยอะมันไม่ดีต่อสุขภาพ” เจี่ยงเถิงปลอบโยนหลินซือที่ไม่พอใจ

ถึงหลินซือจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ว่าได้กินก็ถือว่าไม่เลวแล้ว จึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ในขณะที่กินขนมอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นสุนัขโสดเหยาเอ้อหลาง จึงเดินเข้าไปขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ “ขอบคุณท่านพี่ที่ช่วยถือโคมให้นะเจ้าคะ!”

หัวใจของเหยาเอ้อหลางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นี่เป็นถึงเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ เขาไม่เพียงต้องมาเห็นทั้งสองคนแสดงความรักกันต่อหน้า แต่ยังถูกบีบบังคับให้ใช้แรงงานอีกด้วย

………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

น้องเหยาโดนแม่ทิ้งแล้ว ดีที่เจออาซูกับองค์รัชทายาท ถ้าน้องหลงทางอยู่คนเดียวไม่เจอใครเลยจะทำยังไงหะนังตู้

สงสารเอ้อหลางจังค่ะที่ต้องมาเหม็นความรักของสองคนนี้ ๕๕๕

ไหหม่า(海馬)