บทที่ 506 เสี่ยวอี้ที่มีแววเป็นเถ้าแก่เนี้ย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 506 เสี่ยวอี้ที่มีแววเป็นเถ้าแก่เนี้ย

บทที่ 506 เสี่ยวอี้ที่มีแววเป็นเถ้าแก่เนี้ย

ในเวลานั้น ครอบครัวนั้นเสนอราคาที่สูงมาก ไม่ว่าหลี่ฝานจะต่อราคาอย่างไร เขาก็ไม่ไม่ยอมลดแม้แต่เหรียญเดียว อย่างไรก็ตาม ลูกชายทั้งสองกำลังจะแต่งงานและไม่อยากรอการแยกบ้าน

“หนึ่งร้อยตำลึงเงิน?” กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วมุ่น ภูเขาที่มีทำเลดีขนาดนี้มีราคาเพียงหนึ่งร้อยตำลึงเงินเองหรือ?

เมื่อเห็นความสงสัยของกู้เสี่ยวหวาน หลี่ฝานก็กล่าวต่อ “ครอบครัวของพวกเขากำลังรอเงินอย่างใจจดใจจ่อ ดังนั้นแน่นอนว่าพวกเขาต้องการจะขายมันโดยเร็วที่สุด!”

หลังจากได้ยินเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานก็เชื่อในทันที!

“ตกลง ข้าจะซื้อที่ดินตรงนี้” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างหนักแน่น

“เยี่ยมเลย! พรุ่งนี้กลับมาที่นี่และนำเงินมาด้วย ถ้าเงินไม่พอ ข้ายังมีอยู่ พูดมาได้เลยว่าต้องการเท่าไร! คืนนี้ข้าจะไปหาครอบครัวนั้นแล้วขอให้พวกเขามาลงนามที่ร้านของข้าในวันพรุ่งนี้ และเรียกคนจากที่ว่าการอำเภอมาจัดการโฉนดทางการ! เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าหลี่ฝานได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ดังนั้นนางเพียงแค่ไปแสดงตัวตนและลงชื่อในโฉนดที่ดินเท่านั้น

ในใจรู้สึกซาบซึ้งมาก “ขอบคุณท่านลุงหลี่”

หลี่ฝานโบกมือและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณอะไรกัน? ภูเขาลูกนี้เป็นสถานที่ที่ดี และเป็นเพราะพรหมลิขิต! ข้าแนะนำให้เจ้าซื้อมันโดยเร็วที่สุด”

“เมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องการสร้างบ้านก็ให้มาบอกข้า ข้ารู้จักคนบางคนที่รับสร้างบ้าน ทำของใช้ในครัวเรือน ขายไม้ อิฐ และกระเบื้อง ข้ารู้จักพวกเขาทั้งหมด ในเรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องกังวลกับมันมาก เมื่อถึงเวลา เจ้าเพียงแค่ต้องดูว่าเจ้าต้องการสร้างบ้านแบบไหนก็พอ” หลี่ฝานได้คิดเกี่ยวกับบ้านของกู้เสี่ยวหวานในอนาคตไว้แล้ว

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินเรื่องนี้ นางก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก “ท่านลุงหลี่ แค่นี้ก็รบกวนท่านมากแล้ว นี่ยังทำให้ท่านต้องลำบากอีก”

“เฮ้อ อย่าพูดอย่างนั้นสิ เจ้าช่วยร้านค้าทั้งสองของข้าคำนวณบัญชี ไม่รู้ว่าเจ้าช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ข้ามากแค่ไหน ในตอนที่ข้าทำสิ่งเหล่านี้ ข้าแค่ส่งคนไปและเพียงออกคำสั่ง ข้าไม่เหนื่อยเลย เจ้าคือเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งของข้า ข้าไม่กล้าทำให้เจ้าเหนื่อยหรอก” หลี่ฝานพูดกึ่งตลกกึ่งจริงจัง

ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากัน ห่างออกไปไม่ไกลนัก ร่างที่สวมชุดสีครามก็หายลับเข้าไปในใบไม้และบินออกไป เห็นเพียงแต่เงาสีดำที่เคลื่อนไหว ใบไม้ร่วงโรย และหายลับไปโดยไม่เหลือแม้แต่เงา

กู้เสี่ยวหวานขึ้นรถม้าของหลี่ฝานกลับไปยังเมืองหลิวเจีย และขอลงรถที่ร้านขายผ้าจี๋เสียง หลี่ฝานไม่ลืมที่จะเตือนนางอีกแล้วจากไป

กู้เสี่ยวหวานยืนส่งเถ้าแก่หลี่อยู่หน้าประตู จนกระทั่งรถม้าเริ่มเคลื่อนตัวออกไปแล้ว นางก็เข้าไปในร้านขายผ้า

ด้านในร้านมีชีวิตชีวาและแออัดไปด้วยผู้คน เมื่อเห็นว่าพี่ฝูกำลังยุ่งหัวหมุน กู้เสี่ยวอี้จึงช่วยลูกค้าเลือกเสื้อผ้าและช่วยวัดร่างกาย กู้เสี่ยวอี้ตัวน้อยเดินตามพี่ฝูต้อย ๆ โดยเอาปากกาและกระดาษมาบันทึกสัดส่วนร่างกายและขนาดของผ้าที่ลูกค้าเลือกไว้

ด้วยท่าทางที่จริงจัง เมื่อเห็นเช่นนั้น กู้เสี่ยวหวานก็อดหัวเราะไม่ได้

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกนาง หากแต่ยืนอยู่ด้านข้าง

ในตอนที่กู้เสี่ยวหวานก้าวเข้าไปในร้านขายผ้าจี๋เสียง พี่ฝูก็รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ในร้านเนืองแน่นด้วยลูกค้า ดังนั้นนางจึงไม่ได้ปลีกตัวมาทักทาย ทำได้แค่ต้องจัดการเรื่องในร้านให้เสร็จ จากนั้นลูกค้าเหล่านี้ก็จากไปทีละคน

ร้านขายผ้าจี๋เสียงที่เมื่อครู่ยังครึกครื้นอยู่ ในขณะนี้ได้กลับคืนสู่ความสงบแล้ว

กู้เสี่ยวอี้นำผ้าและขนาดร่างกายมอบให้พี่ฝู เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ นางจึงลูบศีรษะกู้เสี่ยวอี้ด้วยความพึงพอใจ และกล่าวยกย่องด้วยรอยยิ้ม

กู้เสี่ยวอี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับคำชมจากผู้เป็นอาจารย์

ในเวลานี้ นางมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นพี่สาวมองมาที่ตนด้วยความปีติ พลันรีบวิ่งเข้าไปกอดกู้เสี่ยวหวาน เงยศีรษะขึ้นและถามว่า “ท่านพี่ เสร็จแล้วหรือ?”

กู้เสี่ยวหวานเคาะจมูกของกู้เสี่ยวอี้ และยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่ได้คาดคิดว่าเสี่ยวอี้ของข้าจะจริงจังและมีความละเอียดเช่นนี้ ข้าได้เห็นก็ประทับใจมาก! เจ้าดูเหมือนเถ้าแก่เนี้ยตัวน้อย!”

เมื่อเห็นพี่สาวยกย่องตัวเอง กู้เสี่ยวอี้ก็มีความสุขมาก “ท่านอาจารย์บอกว่าข้าก้าวหน้าไปมาก!”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว เกรงว่าอีกไม่นานเด็กคนนี้จะสามารถออกรบด้วยตนเองได้ ในฐานะอาจารย์ เกรงว่าจะไม่มีอะไรจะต้องสอนแล้วล่ะ” พี่ฝูพูดด้วยรอยยิ้ม

“อาจารย์ อย่าพูดเช่นนั้น อาจารย์สอนข้ามามากแล้ว ในอนาคตหากมีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ ข้ายังคงต้องขอให้อาจารย์สอนข้า!” กู้เสี่ยวอี้ได้ยินพี่ฝูพูดเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยเอาใจ

เมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้มีเหตุมีผล กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกสบายใจเช่นกัน

“เป็นครูหนึ่งวัน เปรียบดั่งเป็นพ่อชั่วชีวิต! พี่ฝูเป็นอาจารย์ของเสี่ยวอี้ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ท่านก็จะเป็นอาจารย์ของเสี่ยวอี้!” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างจริงจัง

พี่ฝูซาบซึ้งใจ เปิดร้านขายผ้ามาสิบกว่าปีแล้วไม่เคยรับลูกศิษย์เลย กู้เสี่ยวอี้เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของนาง หากแต่มีความสามารถมาก ใช้เวลาเพียงครึ่งปี ฝีมือของนางพัฒนาขึ้นมาก ถึงแม้ว่านางจะยังเด็ก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ลูกศิษย์ผู้นี้จะแซงหน้านางได้อย่างแน่นอน!

แม้ว่าจะรู้สึกไม่เต็มใจ แต่ก็โล่งใจมากที่เห็นว่าลูกศิษย์ที่ตนสอนสามารถทำเช่นนั้นได้

“หือ? ทำไมถึงไม่เห็นฉินเย่จือเลยล่ะ?” พี่ฝูรีบเปลี่ยนเรื่องและเอ่ยถาม

กู้เสี่ยวหวานมาที่นี่นานแล้ว ถ้าเป็นเพราะเมื่อครู่มีคนในร้านมากเกินไปจึงไม่สะดวกที่จะเข้ามา แต่ตอนนี้คนน้อยลงแล้ว ดังนั้นเขาควรจะเข้ามาได้แล้ว แต่หลังจากคุยกันนานมาก ทำไมเขาถึงยังไม่เข้ามาอีก?

“ข้าก็ไม่เห็นเขาเหมือนกัน เกรงว่าเขาจะออกไปข้างนอก…” ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานจะพูดจบ นางก็เห็นพี่ฝูยิ้มให้กับคนข้างหลังตน “พูดถึงฉินเย่จือ ฉินเย่จือก็มาเลย”

กู้เสี่ยวหวานมองย้อนกลับไป และร่างชายหนุ่มสวมชุดสีครามก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าตน

“ไปไหนมา? เมื่อครู่ทำไมข้าถึงไม่เห็นเจ้าที่ทางเข้าร้านจิ่นฝู” น้ำเสียงของกู้เสี่ยวหวานแปลกไปเล็กน้อยกึ่งกังวลกึ่งบ่น

ในขณะที่นางบ่นว่าฉินเย่จือหายไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรกับตนเอง

ฉินเย่จือก็ยิ้มเมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานมุ่ยปากและบ่นกระปอดกระแปด รอยยิ้มนั้นทำให้พี่ฝูตกตะลึงเล็กน้อย

ชายนุ่มผู้นี้เวลายิ้มช่างงดงามเสียจริง! พี่ฝูถอนหายใจในใจและรู้สึกว่าฉินเย่จือเป็นที่รัก และมันก็อุ่นใจเมื่อมีเขาอยู่ในบ้าน