บทที่ 507 ฉินเย่จือป่วย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 507 ฉินเย่จือป่วย

บทที่ 507 ฉินเย่จือป่วย

“ข้าเห็นปิ่นปักผมที่ดูดีอยู่บนไหล่ของคนขาย เดิมทีข้าต้องการจะซื้อให้เจ้า แต่คนขายกลับหายตัวไปในพริบตา ดังนั้นข้าจึงเดินตามหาไปครึ่งเมืองหลิวเจียถึงจะพบ ข้าไปถามที่ร้านจิ่นฝูถึงรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่กับพี่ฝู!” ฉินเย่จือกล่าวด้วยรอยยิ้ม และหยิบปิ่นไม้ออกจากเสื้อของเขา

ปิ่นปักผมทำจากไม้แกะสลักอย่างสวยงาม และมีดอกบ๊วยเหมือนจริงราวกับของจริงประดับอยู่

กู้เสี่ยวหวานหยิบปิ่นปีกผมไม้ขึ้นมาแล้วมองดูอย่างระมัดระวัง

ปิ่นปักผมไม้นี้ไม่รู้ว่าทำมาจากไม้ชนิดใด ถึงปิ่นปักผมไม้จะเล็ก แต่ก็ค่อนข้างมีน้ำหนัก

เมื่อเห็นสิ่งที่กู้เสี่ยวหวานถือของบางสิ่ง พี่ฝูก็เข้ามาดูด้วยความสงสัย ครั้นเห็นว่าเป็นปิ่นไม้ จึงกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ปิ่นไม้นี้ดูมีเอกลักษณ์มาก ไม่รู้ว่าใครกันที่มีฝีมือแกะสลักดอกบ๊วยที่สวยงามเช่นนี้ได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าต้องค้นหาคนขายเกือบทั่วเมืองหลิวเจีย หากเป็นข้า ข้าก็จะไปตามหามันเช่นกัน!”

เมื่อเห็นท่าทางที่มีความสุขของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็รีบหยิบมันขึ้นมาและปักปิ่นให้นาง

กู้เสี่ยวหวานไม่ชอบเครื่องประดับทองและเงิน ดังนั้นในวันธรรมดานางจึงคาดผ้าที่ศีรษะเท่านั้น

ฉินเย่จือสอดปิ่นปักผมไม้เข้าไปในผมของกู้เสี่ยวหวาน ดอกบ๊วยที่ถูกแกะสลักเหมือนของจริงราวกับจะส่งกลิ่นหอมหวนของมันออกมา

แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งที่มีค่ามาก แต่กู้เสี่ยวหวานก็ชอบมัน

นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมอบของบางอย่างให้ตน

“สาวน้อยเสี่ยวหวาน ปิ่นปักผมไม้นี้แกะสลักได้อย่างสวยงามจริง ๆ ดอกบ๊วยที่แกะสลักไว้แกะออกมาอย่างดี ฝีมือของช่างแกะสลักผู้นี้ช่างดีเสียจริง ดอกบ๊วยนี้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง” พี่ฝูเห็นผมบนศีรษะของกู้เสี่ยวหวานที่มีปิ่นปักไว้ก็ยิ้มและพูดว่า “เด็กน้อย เจ้าไม่มีเครื่องประดับติดผมดี ๆ เลยสักชิ้นบนศีรษะ มันดูเรียบง่ายเกินไป เสี่ยวหวานก็โตแล้ว ในอนาคตเจ้าจะต้องแต่งตัวให้ดี”

เดิมทีกู้เสี่ยวหวานไม่ได้สนใจเกี่ยวกับสิ่งภายนอกนี้มากนัก ประการแรกคือ ตอนนี้นางยังเด็กอยู่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสวมเครื่องประดับมากมาย ใส่แค่ผ้าคาดศีรษะธรรมดาก็ได้เช่นกัน ประการที่สองคือ กู้เสี่ยวหวานไม่อยากเปิดเผยความมั่งคั่งของนาง ครอบครัวของนางเต็มไปด้วยเด็กเล็ก หากพวกเขาตกเป็นเป้าหมายของคนร้ายขึ้นมาก็จะเดือดร้อน

อย่างไรก็ตาม ปิ่นปักผมไม้ที่ฉินเย่จือมอบให้ในตอนนี้ เป็นสิ่งที่เหมาะกับกู้เสี่ยวหวานเป็นอย่างมาก

ธรรมดา เรียบง่าย แต่ประณีตและงดงาม มันดูไม่เปิดเผยเกินไป แต่เมื่อใช้ประดับก็สวยงามมาก

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานชอบปิ่นปักผมไม้ ฉินเย่จือก็พอใจมากเช่นกัน

ไม่ต้องเสียเวลาทำปิ่นปักผมไม้ที่มีกลไกซ่อนอยู่ไปอย่างเสียเปล่า

ปิ่นปักผมไม้นี้ดูธรรมดามาก แต่มีบางอย่างมากมายอยู่ข้างใน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะบอกนาง เมื่อเห็นท่าทางที่มีความสุขของนาง ฉินเย่จือก็พูดว่า “เสี่ยวหวาน หากเจ้าชอบก็ใส่มันทุกวันไม่ต้องถอดเลยนะ”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “ได้สิ ไม่ว่าอย่างไรมันก็ดูดี ข้าสามารถใส่ได้ทุกวัน!”

กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่ากลไกที่ซ่อนอยู่ของปิ่นปักผมไม้นี้คืออะไร แต่รู้เพียงว่าปิ่นปักผมไม้นี้มีเรื่องราวมากมาย

นางคิดเสมอว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ คือกระต่ายสีขาวตัวเล็ก แต่นางไม่คิดว่าเขาจะเป็นจิ้งจอกในคราบของกระต่าย เขาได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว และกำลังรอให้กู้เสี่ยวหวานก้าวเข้าไปทีละก้าว

หลังจากที่ทุกคนพูดคุยกันเสร็จแล้ว พวกกู้เสี่ยวหวานก็กลับไป กู้เสี่ยวหวานตกลงกับหลี่ฝานเพื่อมาในเมืองเพื่อลงนามในสัญญาในวันรุ่งขึ้น กู้เสี่ยวหวานวางแผนที่จะพาทั้งครอบครัวไปด้วยเพื่อเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ฉินเย่จือกลับป่วย เขานอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

กู้เสี่ยวหวานหมดหนทาง นางทำได้เพียงบอกให้เขาพักผ่อนอยู่บนเตียง จากนั้นจึงพากู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ไปในเมือง

ทันทีที่กู้เสี่ยวหวานออกไป เงาดำก็แวบเข้ามา และขณะนี้มีอีกคนหนึ่งอยู่ในห้อง

อาโม่มองไปที่ฉินเย่จือผู้ซึ่งหลับตาอยู่บนเตียงและรู้สึกกังวลเล็กน้อย “นายท่าน เกิดอะไรขึ้นกัน?”

เมื่อได้ยินเสียงของอาโม่ ดวงตาของฉินเย่จือก็เปิดขึ้นทันที ดวงตาของเขาเป็นประกาย ดูเหมือนป่วยตรงไหนกัน

เขากระเด้งขึ้นจากเตียงอย่างแข็งแรง และมีชีวิตชีวา

เมื่ออาโม่เห็นว่าเจ้านายของเขายังคล่องตัวมากและดูไม่เหมือนคนไม่สบายเลย อาโม่ก็สับสน “นายท่าน แล้วทำไมจึงโกหกแม่นางกู้ว่าป่วยล่ะแสร้งทำเป็นป่วยเพื่อไม่ไปในเมืองหรือ?”

ฉินเย่จือกลอกตาใส่เขา “เสี่ยวหวานไปหาหลี่ฝาน เจ้าคิดว่าข้าควรไปกับนางหรือไม่?”

“อา?” เมื่ออาโม่ได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเขาเบิกกว้างและกล่าวว่า “ช่างมันไปเสียเถอะ ท่านควรแสร้งทำเป็นป่วยต่อไป!”

หลังจากที่เขาพูดจบ เงาดำก็แวบออกไป บุคคลนั้นหายไปแล้ว ฉินเย่จือไม่เคยเห็นคนผู้นี้ล้อเลียนเขามาก่อน แม้อยากจะตำหนิ แต่อีกฝ่ายก็หายไปแล้ว

ฉินเย่จือเดินไปรอบ ๆ เพียงลำพัง แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร

อ่านหนังสือ อ่านไปถึงสองหน้าก็โยนลงข้าง ๆ ฝึกคัดลายมือ หลังจากเขียนสองคำแล้วก็โยนมันไว้ข้าง ๆ นอนบนเตียงก็รู้สึกปวดหลัง เดินไปรอบ ๆ ห้อง แต่เดินไม่ถึงสองก้าวก็วนรอบห้องแล้ว

เฮ้อ…

ฉินเย่จือทำผิดพลาด เขาไม่ควรแกล้งป่วยในเวลานี้เลย!

ไม่รู้ว่ากู้เสี่ยววานและคนอื่น ๆ จะไปถึงเมืองหลิวเจียหรือยัง!

ไม่รู้ว่าเจอครอบครัวคนขายที่ดินแล้วหรือยัง? ลงนามในสัญญาแล้วหรือไม่?

หัวใจของฉินเย่จือเต้นแรง การที่เขาไม่รู้ว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังทำอะไรอยู่ในขณะนี้ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ในตอนที่กู้เสี่ยวหวานออกไปไม่ไกล นางก็เจอกับกุ้ยชุนเจียว

เกรงว่าวันนี้กุ้ยชุนเจียวจะอารมณ์ดีและสีหน้าของนางก็ดูดี เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ออกไปข้างนอก นางก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “หือ? เสี่ยวหวาน พี่ใหญ่ฉินที่มักจะตามหลังเจ้าไปไหนเสียล่ะ?”

“เขาไม่สบายนิดหน่อย เลยพักผ่อนอยู่ที่บ้าน” ความรู้สึกของกู้เสี่ยวหวานที่มีต่อกุ้ยชุนเจียวเบาบาง แม้ว่านางจะไม่เกลียด แต่นางก็ไม่ชอบเช่นกัน เมื่อเห็นนางพูดกับตน ตนจึงก็ตอบกลับตามมารยาท

กุ้ยชุนเจียวตอบรับ เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานและคนอื่น ๆ ออกไป นางจึงกลับมาที่บ้านและพูดคำสองสามคำกับกุ้ยซื่อ เมื่อกุ้ยตงเหมยผู้มีหูไวได้ยินว่าฉินเย่จืออยู่ที่บ้านเพียงลำพัง ในใจนางก็ตื่นเต้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าฉินเย่จือป่วย หัวใจดวงน้อยที่ตื่นเต้นก็ราวกับกำลังจะกระโดดออกมา

นี่เป็นเรื่องที่ดี โอกาสในการแสดงของนางมาถึงแล้ว!