บทที่ 503 ธุรกิจของซูเสี่ยวซื่อ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 503 ธุรกิจของซูเสี่ยวซื่อ

บทที่ 503 ธุรกิจของซูเสี่ยวซื่อ

ในไม่ช้า ครอบครัวอื่นที่อยู่เมืองหลวงก็ได้รับข่าวว่าเหล่าซานกำลังเข้าเมืองหลวง พวกเขามีความสุขกันมากโดยเฉพาะคนบ้านซู

เสี่ยวเถียนหารือกับฮั่วซิวเฉิงไว้ก่อน หลังจากที่พ่อเธอมาถึงเมื่อไรก็ค่อยจัดการเรื่องหน้าที่การงานแล้วกัน

เดิมทีฮั่วซิวเฉิงก็คุยกับเพื่อนไว้แล้ว ทั้งยังบอกแล้วด้วยว่าเมื่อถึงเวลาจะพาเหล่าซานมาเจอเพื่อนคนนี้ และจัดการเรื่องงานซะ

ต้องบอกว่าฮั่วซิวเฉิงเป็นคนที่ตลกจริง ๆ เขาขอให้เสี่ยวเถียนเรียกตัวเองว่าพี่ใหญ่ แต่กลับสงสัยว่าควรเรียกเหล่าซานว่าอะไรดี

เสี่ยวเถียนพูดไม่ออก เธอไม่คิดสนใจชายคนนี้อีกต่อไป!

ส่วนพ่อฮั่วแม่ฮั่วเดิมทีคิดจะเดินทางกลับบ้านเกิดแล้ว แต่เพราะต้องรอเหล่าซานจึงทำได้เพียงอยู่ที่นี่ต่อ

ฮั่วซิวเฉิงไม่อยากให้พ่อแม่กลับไปเลย ได้แต่หวังว่าพวกท่านจะอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน

เพราะสภาพในเมืองหลวงดีกว่าที่บ้านเกิดเขานิดหน่อย แต่ด้วยสภาพตัวเองในปัจจุบัน เขาไม่สามารถเลี้ยงคนแก่ทั้งสองคนไหว

ช่วยไม่ได้ที่เขาขัดความคิดผู้ให้กำเนิดไม่ได้ เพราะพวกท่านยืนกรานว่าจะกลับ เขาก็ทำได้เพียงเคารพการตัดสินใจเท่านั้น

ในขณะที่รอเหล่าซาน ธุรกิจหลู่เว่ยหออีหมิงได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

หน้าต่างที่มุมสุดของหออีหมิงเปิดออกไว้เป็นพื้นที่สำหรับการขาย

ตอนนี้อากาศยังไม่หนาวเท่าไร เราสามารถทำธุรกิจโดยเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ได้

เสี่ยวเถียนคิดว่าอีกไม่กี่วันการเปิดหน้าต่างขายของแบบนี้มีแต่จะเสีย

เพราะมันจะมีเสียงรบกวนจากภายนอกเข้ามา

แต่คนในยุคนี้ไม่ได้ให้ความสนใจ ไม่งั้นธุรกิจเราก็คงล่าช้าแล้ว

ในช่วงทดลองงาน กำลังหลักของธุรกิจนี้คือเด็ก ๆ บ้านซู

คุณย่าซูเองก็งานยุ่งจนไม่มีเวลาดูแล

ภายใต้การดูแลของเสี่ยวซื่อ เด็กคนอื่น ๆ สนใจมาก เมื่อผู้ใหญ่ในบ้านตัดสินใจแล้ว ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเด็ก ๆ

ก่อนหน้านี้เสี่ยวเถียนพูดกับคุณปู่คุณย่าไว้ว่า ถ้าธุรกิจนี้ทำเงินได้ในช่วงทดลอง เงินจะเป็นของเด็ก ๆ หมดเลย แต่ยกเว้นเงินต้นทุนนะ

เสี่ยวเถียนไม่ได้ขาดเหลือเงิน โส่วเวินก็มีเงินในมือตั้งแต่รับงานแปลมาทำ ส่วนเด็กคนอื่น ๆ มีเงินไม่เท่าไร จึงตื่นเต้นมากที่จะทำงานหาเงินได้

เรียกได้ว่าเด็กสาวเปิดโอกาสให้พวกพี่ ๆ หาเงินเลยก็ว่าได้

“เสี่ยวเถียน เธอก็เข้าร่วมงานนี้ด้วยหรือ?”

เสี่ยวปาเห็นเสี่ยวเถียนยืนมองอยู่ข้าง ๆ ด้วยความสนใจก็ถามด้วยความประหลาดใจ

“ทำไมจะไม่เข้าร่วมล่ะคะ? ไอเดียนี้หนูก็เป็นคนคิดนะ” เด็กสาวยิ้มมุมปาก

อันที่จริงเธอไม่ได้ตั้งใจจะแข่งขันเรื่องทำมาค้าขายกับพวกพี่ ๆ

ธุรกิจหลู่เว่ยเพิ่งจะเริ่มเอง ยืนมองเฉย ๆ สบายใจกว่าอีก

ใบหน้าเสี่ยวปาหมองลดลงอย่างเห็นได้ชัด นั่นหมายถึงรายได้ส่วนแบ่งที่ได้จะน้อยลง

เขาหาเงินไว้เพื่อซื้อด้ายถักสีแดงให้น้องน่ะ

“พี่แปดไม่อยากให้หนูร่วมวงด้วยหรือ?” เสี่ยวเถียนหยุดยิ้มแล้วทำหน้าตาเศร้าสร้อย

เด็กหนุ่มตื่นตระหนก พลางเอ่ยขึ้นเสียงดัง “ไม่ใช่ ๆ พี่จะคิดแบบนั้นได้ยังไงล่ะ? แค่คิดว่างานมันหนักไป เสี่ยวเถียนยืนดูอยู่เฉย ๆ ก็พอ!”

เสี่ยวเถียนทรุดตัวลงนั่งอย่างใจเย็น จุดประสงค์หลักในวันนี้คือดูพี่ ๆ ขายของ และเธอไม่มีความคิดที่จะทำเองด้วย

คุณย่าซูเตรียมเนื้อตุ๋นไว้ล่วงหน้าหนึ่งคืนเพื่อให้เด็ก ๆ เอาไปขาย

เด็ก ๆ ที่สปิริตสูงไม่มีอะไรทำเลย อันที่จริงพวกเขาก็ได้แต่ยืนแห้งเหี่ยว!

ธุรกิจแย่กว่าที่คิดไว้มาก ครึ่งชั่วโมงถึงจะมีลูกค้ามาสักคน

แถมยังเป็นลูกค้าประจำที่เคยชิมหลู่เว่ยร้านเราแล้วด้วย

เหล่าเด็กหนุ่มต่างผิดหวัง

เสี่ยวเถียนบอกว่าหลายวันที่ผ่านมาเราได้มีการป่าวประกาศให้ลูกค้าเป็นวงกว้างแล้วนะ แต่ทำไมไม่มีใครมาเลยล่ะ?

เสี่ยวเถียนนั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ ในมือถือหนังสือ

พวกพี่ ๆ คิดจะถามน้องเล็กว่าควรทำยังไง แต่พอเห็นภาพนั่นก็ล้มเลิกแผนการที่จะขอให้เธอช่วย

เราจะรอให้น้องมาช่วยทุกเรื่องไม่ได้หรอก จริงไหม?

หลังจากเด็ก ๆ พูดคุยกัน ต่างก็แบ่งงานการอย่างง่าย ๆ

พวกเราแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม สองกลุ่มออกไปประชาสัมพันธ์ข้างนอก อีกกลุ่มประจำอยู่ที่ร้านเพื่อรับลูกค้า

หน้าต่างบานแค่นี้เอง เบียดกันเยอะไม่ไหว

ถ้าถามว่าใครเป็นคนต้นคิด แน่นอนว่าเป็นเสี่ยวซื่อ

เสี่ยวซื่อคิดหาวิธีที่ให้แขกได้มาลิ้มรสหลู่เว่ย ถึงน้องเล็กจะไม่ได้บอกแต่ก็เป็นความคิดที่ดีมาก

เด็กสาวเห็นพี่ ๆ ยุ่งกับงานที่ทำ เธอจึงตัดสินใจตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือแทน

เวลาเธออ่านหนังสือเธอจะมีสมาธิกับมันมาก ตอนที่ละสายตาออกมาก็เห็นภาพพี่ ๆ กำลังทำความสะอาดข้าวของอยู่

เธอถามด้วยความตกใจ “ขายหมดแล้วหรือ?”

เสี่ยวซื่อเอ่ยอย่างปรีดา “ขายหมดแล้วสิ! เห็นพี่เป็นใคร? นี่คือเสี่ยวซื่อพลม้า มีคนเดียวแต่เหมือนมีสองคน!”

“พี่สี่บอกถ้าหาคนมาซื้อไม่ได้ ก็เข็นรถออกไปขายเลยน่ะ” เสี่ยวจิ่วโจมตีอีกดอก

เพราะเขาเอ่ยออกมาอย่างกะทันหัน เสี่ยวซื่อจึงไม่ทันได้หยุดน้องและจ้องเขม็งกลับไปแทน

“พี่สี่ ลองคำนวณดูค่ะ วันนี้ขายได้เท่าไร ไม่รวมค่าใช้จ่ายนะ!”เสี่ยวเถียนยอมถอยให้แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยทันที

“คำนวณไว้ของช่วงเช้า ถ้าหักค่าใช้จ่ายแล้วเราจะได้ 53.5 หยวน” เสี่ยวซื่อ

วัตถุดิบที่เอามาทำไม่ได้แพงเท่าไร แต่ราคาที่ขายก็ไม่ได้ถูก แค่ถูกกว่าเนื้อหมูหน่อยนึง

“น่าเสียดายที่มีน้อยไปหน่อย ถ้ามีมากกว่านี้อาจจะหารายได้มากกว่านี้ก็ได้!”เสี่ยวลิ่วเสียใจ

“พี่คะ แล้วหลังจากนี้จะขายกันต่อยังไงล่ะ?” เสี่ยวเถียนลองเชิง

“พวกเราหรือ? มีเวลาที่ไหนล่ะ!” เสี่ยวชีก็สงสัย

ปู่ย่าก็ยุ่งจนไม่มีเวลาดูแล

เราอยากจะทำนะแต่ต้องไปโรงเรียน แถมไม่มีเวลาอีก แต่ถ้าจะยอมแพ้ เสี่ยวชีก็ไม่เต็มใจ เพราะพอขายจริง ๆ แล้วเราได้กำไรมานี่นา แค่ช่วงเช้าก็ได้มากกว่าห้าสิบหยวนแล้ว แต่ถ้าคนมากขึ้นหากเอาเงินที่ได้มาหารจะตกอยู่คนละกี่หยวนกันล่ะ?

แต่เสี่ยวซื่อเข้าใจสิ่งที่เสี่ยวเถียนสื่อนะ น้องคิดจะให้เราทำธุรกิจนี้เพื่อหาเงิน

การที่พูดแบบนี้จะต้องมีวิธีแน่นอน หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้น

“ติดป้ายประกาศแล้วกัน หลังจากนี้ที่หออีหมิงจะขายหลู่เว่ยทุกวันเวลาหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม ส่วนวันหยุดสุดสัปดาห์จะขายทั้งวัน ถ้าเป็นแบบนี้เราน่าจะทำต่อได้แล้วล่ะ!”

อาจจะเหนื่อยหน่อยเพราะต้องทำงานหนักขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมง แต่เราก็สามารถหาเงินได้

เดิมทีเสี่ยวเถียนคิดว่าจะขายหลู่เว่ยแค่วันหยุดเสียอีก แต่ไม่คิดว่าพี่สี่จะวันละชั่วโมงในวันปกติด้วย

แต่ไม่รู้ว่ามันจะทำให้การเรียนพี่รั้งท้ายคนอื่นหรือเปล่า

เพราะตอนนี้พวกเรายังเป็นนักเรียนอยู่ ต้องโฟกัสกับการเรียนนะ