บทที่ 561 รอข้านะ

ช่วงปลายเดือนเจ็ด ในเมืองหลวงมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น เมื่อฮ่องเต้โจวเสด็จไปหอคอยฉงอันเพื่อถวายเครื่องบูชา จู่ๆ มีชายคนหนึ่งในชุดซ่อมซ่อเข้าขวางทางไว้เพื่อถวายฎีกาแก่พระองค์

ชายคนนั้นอ้างว่าเขาเป็นบุตรชายของอดีตเจ้าเมืองเล่อสุ่ย มณฑลวั่งเซี่ยน บิดาของเขาไม่ยอมรับสินบนทำให้ถูกลงโทษประหารชีวิต บิดาเป็นคนเที่ยงธรรมซื่อสัตย์ รักราษฎรประหนึ่งลูกหลาน เขาจะไม่มีวันทรยศต่อราษฎร ที่เขามายื่นฎีกาถวายต่อฮ่องเต้ก็เพื่อหวังให้พระองค์ส่งคนไปพิจารณาคดีและทวงคืนความยุติธรรมให้แก่บิดาของเขา หนังสือฎีกาของเขามีรายชื่อผู้คนหลายหมื่นชื่อประทับมาด้วย ทุกรอยประทับล้วนเปื้อนเลือด ดูแล้วเป็นที่น่าตกใจเป็นอันมากที่มีผู้คนจำนวนมากต้องหลั่งเลือดของตนเพื่อทูลถวายฎีกาเช่นนี้

ฝ่าบาทจึงรับปากว่าจะส่งคนไปสืบคดีเรื่องนี้

หินเพียงก้อนเดียวทำให้เกิดกระแสคลื่นนับพัน ผู้คนล้วนมีความคิดแตกต่างกันออกไป เมืองเล่อสุ่ย มณฑลวั่งเซี่ยนอยู่ที่ไหนน่ะหรือ…นั่นคือที่ดินศักดินาขององค์หญิงใหญ่ ระบบศักดินาได้สืบทอดมาจากราชวงศ์ก่อน แต่หลังจากการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์จึงทำให้ระบบนี้เปลี่ยนไป

ท่านอ๋องปันแห่งราชวงศ์ก่อนทรงมีอำนาจมาก เขาเพลิดเพลินกับการเก็บภาษีที่ดินและสะสมกำลังทหาร เมื่อมีอำนาจมากขึ้น ความทะเยอทะยานของเขาก็สูงขึ้นเช่นกัน สุดท้ายแล้วเขาจึงได้ก่อกบฏ ราชวงศ์ก่อนจึงได้ถูกทำลายลง ต่อมาต้าโจวจึงได้มีการปฏิรูประบบศักดินาที่ว่านี้

ขุนนางจะได้รับภาษีจากที่ดินศักดินาเพียงครึ่งเดียว ไม่สามารถมีกองกำลังทหารส่วนตัวได้ ต้องอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของขุนนางท้องถิ่นเท่านั้น

แน่นอนว่ามีน้อยคนที่จะได้เสวยสุขกับที่ดินศักดินาได้ นอกจากเขาจะสร้างคุณงามความดีมากมายหรือเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ องค์หญิงใหญ่เป็นประเภทหลัง ฝ่าบาทและองค์หญิงใหญ่เป็นพี่น้องที่ประสูตรจากพระมารดาองค์เดียวกัน พวกเขาจึงมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นลึกซึ้ง

ที่ดินส่วนใหญ่ในวั่งเซี่ยนจึงเป็นที่ดินที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้แก่องค์หญิงใหญ่ ที่ดินนั้นมีทั้งความอุดมสมบูรณ์และอยู่ใกล้เมืองหลวงที่สุด

แท้จริงแล้วอาจจะดูเป็นเรื่องไม่ใหญ่โตนัก ที่บุตรชายของเจ้าเมืองเล่อสุ่ยจากมณฑลวั่งเซี่ยนมายื่นถวายฎีกาแก่ฮ่องเต้ สำหรับที่นี่การปกครองโดยส่วนใหญ่ควบคุมดูแลโดยขุนนางท้องถิ่น แต่ที่ดินศักดินาขององค์หญิงใหญ่กลับแตกต่างออกไป ในมณฑลวั่งเซี่ยนแล้ว องค์หญิงใหญ่แทบจะเอาพระหัตถ์ปกคลุมท้องฟ้าด้วยฝ่ามือเดียว

ผู้คนในเมืองหลวงไม่ว่าใครก็ไม่อยากนำตัวไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะไม่มีใครอยากทำให้องค์หญิงใหญ่ขุ่นเคืองพระทัย หากพระองค์นำความไปกราบทูลฝ่าบาท พวกเขาคงจะได้อยู่อย่างไม่มีความสุขเป็นแน่

วังองค์หญิงใหญ่

พระพักตร์ของพระนางทรงบึ้งตึง

ใบหน้าขององค์หญิงใหญ่นั้นบิดเบี้ยวมา

“เกิดอะไรขึ้นในสภาขุนนางหรือ?” องค์หญิงใหญ่ตรัสถามอย่างเย็นชา

บ่าวรับใช้รีบแจ้งทันที

ขุนนางผู้นั้นเป็นคนซื่อตรงและเด็ดเดี่ยว หลังจากที่มณฑลวั่งเซี่ยนยืนยันที่จะขึ้นภาษี เขาปฏิเสธที่จะทำตาม ซ้ำยังนำกฎหมายของต้าโจวมาเผชิญหน้าสู้กับเจ้าคณะมณฑล ทำให้…

เขาถูกตั้งข้อหาในการก่ออาชญากรรมและถูกประหารชีวิต จนทำให้บุตรชายของเขาต้องเดินทางมายื่นฎีกาถึงในเมืองหลวง กับฮ่องเต้

“เขามาที่เมืองหลวงได้อย่างไร แล้วเหตุใดจึงไปยื่นฎีกาต่อฝ่าบาทได้!”

องค์หญิงใหญ่ทรงประหลาดพระทัยในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขาเป็นเพียงบุตรชายของเจ้าเมืองเล็กๆ แต่เดินทางเข้ามายังเมืองหลวงอย่างเงียบๆ ได้อย่างไร เขารู้จักไปยื่นฎีกาให้ฝ่าบาทที่หอคอยฉงอัน เขาเลือกโอกาสนี้เพื่อจะฟ้องราชสำนัก

นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีใครอยู่เบื้องหลังและพุ่งเป้ามาที่นางแน่นอนบราวนี่ออนไลน์

“หากฝ่าบาทส่งคนไปที่วั่งเซี่ยนย่อมไม่มีทางปกปิดได้เป็นแน่” องค์หญิงใหญ่ตรัส

วั่งเซี่ยนเป็นอำนาจเขตปกครองของพระนาง องค์หญิงใหญ่เป็นพระญาติของฮ่องเต้ หากมีเรื่องที่ฝ่าฝืนกฎของต้าโจวแล้วล่วงรู้ไปถึงฝ่าบาท คงจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร

อาจจะเป็นช่องทางที่ผู้คนจะหาเรื่องโจมตีนางได้ องค์หญิงใหญ่ลูบหว่างคิ้วรู้สึกปวดพระเศียรขึ้นอย่างกระทันหัน

“องค์หญิงอย่าทรงคิดมากเลยพะย่ะค่ะ พระองค์มีเส้นสายมากมายในราชสำนัก ไม่มีใครกล้ารับภารกิจนี้แน่นอน หากมีคนของพระองค์รับเรื่องนี้ เขาจะตรวจสอบและรายงานข่าวมาให้ทางเราก่อนพะย่ะค่ะ”

ก็จริง…เรื่องได้เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้ทำได้แค่หาทางแก้ไขเท่านั้น องค์หญิงใหญ่มีบุตรบุญธรรมมากมาย บุตรสาวของนางแต่งงานกับขุนนางของราชสำนักหลายคน คนเหล่านี้คือเส้นสายขององค์หญิงใหญ่ ก็แค่เลือกหนึ่งในนั้นไปเป็นทูตจากราชสำนักก็พอแล้ว

“องค์หญิงใหญ่เพคะ คุณชายลิ่วเยว่มาเพคะ” คนที่ด้านนอกรายงาน

บุคคลที่ทูลรายงานองค์หญิงใหญ่ก้มหัวลงแววตาของเขาดูถูกเหยียดหยาม ที่รอบกายขององค์หญิงใหญ่มีสัตว์เลี้ยงมากมาย ลิ่วเยว่คือสัตว์เลี้ยงตัวโปรดขององค์หญิงใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานะของเขาเป็นแค่เพียงนายบำเรอเท่านั้น

“องค์หญิง กระหม่อมทูลลา” ชายผู้นั้นกล่าว องค์หญิงใหญ่โบกพระหัตถ์เขาจึงก้าวถอยหลังจากไป

….

วันถัดมา

ในการประชุมสภาขุนนาง ฮ่องเต้ทรงมีพระราชวินิจฉัยให้ส่งราชทูตไปที่มณฑลวั่งเซี่ยนเพื่อตรวจสอบเรื่องเจ้าเมืองเล่อสุ่ย

“ฝ่าบาท กระหม่อมขออาสาไปวั่งเซี่ยนเพื่อตรวจสอบเองพะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าหลี่ยู่ฉีเหมาะสมมากพะย่ะค่ะ เขาเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในศาลาว่าการของวั่งเซี่ยนและคุ้นเคยกับมณฑลวั่งเซี่ยนเป็นอย่างดี” เหล่าข้าราชบริพารเริ่มเสนอชื่อ มีบางคนยืนหยัดอาสา คนเหล่านี้มีความสัมพันธ์เหนียวแน่นกับองค์หญิงใหญ่

ส่วนคนที่เหลือกลับไม่อยากเกี่ยวข้อง พวกเขาต่างหลบหน้าเพราะกลัวฮ่องเต้จะทอดพระเนตรตรงมาที่พวกเขา มีเพียงอู่อวี้เจ้ากรมอาญาเพียงคนเดียวเท่านั้น

ฮ่องเต้กวาดสายพระเนตรไปรอบๆ ท่ามกลางเหล่าข้าราชบริพารที่อาสา สุดท้ายแล้วพระองค์ทรงเลือกเว่ยฉิง

“อู่อวี้ เจ้าไปที่นั่นเถิด” ฮ่องเต้ตรัส

“กระหม่อมรับพระราชโองการพะย่ะค่ะ” เว่ยฉิงขานรับ

ไม่นานเรื่องนี้ก็ลอยไปถึงวังขององค์หญิงใหญ่ พระพักตร์ของพระนางดูไม่ได้ไปในทันที

“มีคนตั้งมากมายเหตุใดฮ่องเต้จึงเลือกเขา?” อู่อวี้โหวเจ้ากรมอาญา

ก่อนที่เขาจะเข้ารับตำแหน่ง กรมอาญาเป็นเพียงกรมเลื่อนลอยไร้ซึ่งอำนาจใดๆ ความสำคัญจะอยู่ที่ศาลต้าหลี่และกรมตรวจตราเท่านั้น หลังจากที่อู่อวี้ถูกย้ายไปที่กรมอาญาเขาได้รับความชื่นชมในการจัดการปัญหาน้ำท่วมที่อี้โจว จนทำให้ได้รับตำแหน่งเจ้ากรมอาญา

จากฝีมือการทำงานของเขาเพียงเวลาหนึ่งปีเท่านั้น กรมอาญาก็ได้สร้างผลงานขึ้นมากมาย

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าเจ้ากรมอาญาผู้นี้เป็นตอแข็ง ยากที่จะจัดการได้ ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังของเขามีแม่ทัพกู้และจวนอู่โหวหนุนหลังอยู่

นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงเลือกเขา หรือจะเป็นเพราะฝ่าบาทสงสัยในตัวนาง? องค์หญิงใหญ่พระอารมณ์เสียเป็นอย่างมากเมื่อทุกสิ่งได้พัฒนาไปในทิศทางที่พระนางไม่สามารถควบคุมได้

“อย่าให้ทูตผู้นั้นค้นเจอได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นั่น หากเขาเจอ ก็อย่าให้มีชีวิตรอดออกมาจากวั่งเซี่ยนได้” พระเนตรขององค์หญิงใหญ่ฉายแววอำมหิตลุกโชนออกมา

….

จวนอู่โหว

ในตอนเย็นหลังจากที่เว่ยฉิงกลับจวน เขาก็บอกเรื่องที่จะไปวั่งเซี่ยนกับถังหลี่

“วั่งเซี่ยนอยู่ใกล้เมืองหลวงมาก เดินทางเพียงสามสี่วันเท่านั้น” เว่ยฉิงพูด

“ฮูหยินเจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอกนะ”

ถังหลี่ไม่พูดอะไร เว่ยฉิงเดินเข้าไปกอดนางอีกครั้ง

“ฮูหยิน ข้าคงคิดถึงเจ้าและลูกมาก” เขาวางฝ่ามือไปที่หน้าท้องกลมนูนของภรรยา ในนั้นมีลูกของเขานอนอยู่ หญิงสาวเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเขาด้วยใบหน้าเศร้าหมอง นางสังหรณ์ใจถึงพายุที่กำลังจะพัดโหมเข้ามา จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับการเดินทางของสามีในครั้งนี้

“องค์หญิงใหญ่ทรงเลี้ยงดูพระธิดามากมาย ทุกคนล้วนแต่งงานกับขุนนางและผู้สูงศักดิ์ ความทะเยอทะยานของนางชัดเจนมากแต่ฝ่าบาทและพระนางเป็นพี่น้องร่วมพระครรภ์เดียวกัน ข้าไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วฮ่องเต้ถูกหลอกหรือฝ่าบาททรงเชื่อพระทัยองค์หญิงใหญ่มาก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้นลึกซึ้ง เรื่องของเมืองเล่อสุ่ยในวั่งเซี่ยน ถ้าส่งคนไปตรวจย่อมพบเจอสิ่งผิดปกติอย่างแน่นอน เรื่องนี้อาจจะทำให้เกิดรอยร้าวขนาดใหญ่จนทำให้อำนาจของพระนางสั่นคลอน หากเป็นเรื่องเล็กองค์หญิงใหญ่ยังทรงอยู่รอดปลอดภัย ไม่ว่าราชทูตจากสำนักผู้นี้จะเป็นใครก็ตาม ย่อมทำให้พระนางทรงขุ่นเคืองพระทัยอย่างแน่นอน

ถังหลี่มองไปที่เว่ยฉิง

“สามี ท่านรู้อยู่แล้วใช่ไหม?”

เว่ยฉิงพยักหน้า เขารู้แต่ว่าไม่ได้บอกนางเพราะกลัวว่าถังหลี่จะกังวล เดิมทีเขาต้องการรวบรวมหลักฐานและเขียนฎีกาถึงฮ่องเต้เพื่อล้างมลทินให้กับสกุลเซียว แต่เรื่องของไทเฮาทำให้เว่ยฉิงแอบคิดว่าฝ่าบาทอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของสกุลเซียว เขาจึงเปลี่ยนแผน

เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะล้างแค้นให้สกุลเซียวได้ในเร็ววัน พวกเขามีศัตรูมากเกินไป ทั้งองค์หญิงใหญ่ สกุลหวัง สกุลหลู และฮ่องเต้…

การทวงคืนความยุติธรรมในครั้งนี้ก็เหมือนกับการเผชิญหน้ากับภูเขาสูงใหญ่ ด้วยพละกำลังของเขา ไม่มีทางเลยที่จะคว่ำภูเขาลูกนี้ลงไปได้ อย่างมากที่สุดก็ทำได้แค่พังทลายมันลงเท่านั้น

แต่ความทะเยอะทะยานขององค์หญิงใหญ่กลับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการแตกหักของทั้งสองฝ่า

เมื่อเขารู้ว่าบุตรชายของเจ้าเมืองเล่อสุ่ยต้องการจะยื่นถวายฎีกา เขารวบรวมล่ารายชื่อเพื่อไปยื่น เว่ยฉิงจึงให้การช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาจะไม่สามารถออกมาจากเขตวั่งเซี่ยนได้เลย

“ฮูหยินไม่ต้องห่วง ไม่ว่าอย่างไรข้าจะปลอดภัย ข้าจะพาองครักษ์ลับไปด้วย เมื่อทราบความจริง ข้าจะรีบกลับทันที”

เว่ยฉิงพูด

“เจ้าจำท่านเป่ยได้ไหม?”

“เป่ย?” ถังหลี่จำได้ “จากเหลียงโจวหรือ?”

“ใช่เขามาที่นี่เพื่อปกป้องข้า” เว่ยฉิงพูด

“มีคนมากมายคอยปกป้องข้าอยู่ ข้าจะปลอดภัยอย่างแน่นอน” สามีของนางยืนยัน ทำให้ถังหลี่คลายความกังวลลง

“ท่านจะออกเดินทางเมื่อใด?” ถังหลี่ถาม

“พรุ่งนี้เช้า”

ออกเดินทางเช้า…ไม่รู้อีกนานไหมกว่าจะได้พบกันอีก

“สามี…เจ้าสนใจกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเถอะ ข้าจะดูแลตัวเอง รอท่านอยู่ในเมืองหลวง” ถังหลี่พูด

นางกำลังตั้งครรภ์ จึงไม่สามารถไปที่มณฑลวั่งเซี่ยนกับเว่ยฉิงได้ นางได้ยืนยันว่าครอบครัวทุกคนจะสบายดี เพื่อที่เว่ยฉิงจะได้ไม่ต้องกังวลอะไร

ชายหนุ่มพยักหน้ากอดภรรยาไว้ในอ้อมแขน

เขาจากไปไม่รู้ว่าอีกนานเพียงใดถึงจะได้กลับมา เว่ยฉิงลังเลใจที่จะแยกทางจากลูกน้อยของเขา แต่นั่นคือภาระหน้าที่ที่เขาต้องทำ เขาจูบหน้าผากของถังหลี่กระซิบกับนางว่า

“ฮูหยิน รอข้านะ”