บทที่ 562 ลาก่อน

วันถัดมา

เว่ยฉิงตื่นเช้าขึ้นมาโดยมีภรรยาของเขางัวเงียตื่นตามขึ้นมา เขาโน้มตัวไปจูบที่หน้าผากของถังหลี่

“นอนต่ออีกสักหน่อยเถอะ”

ถังหลี่ส่ายหน้า ยืนกรานที่จะตื่นขึ้นมาส่งเขา เว่ยฉิงมองใบหน้าเล็กๆ ที่ดื้อรั้นของถังหลี่ เขาช่วยประคองนางไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำและทานอาหารเช้า

หลังจากทั้งคู่ทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเดินไปที่ประตูจวนพร้อมกัน เห็นเด็กทั้งสี่ยืนเรียงแถวอยู่หน้าประตู

สวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋งสวมชุดสีขาวตัวสูงเพรียวคิ้วสวยได้รูป เว่ยจื่ออี้เตี้ยกว่ายังดูเป็นเด็กอยู่ ส่วนซานเป่าอยู่ในชุดสีแดง นางมัดผมทรงหางม้าสูง ดวงตากลมโตน่ารัก เมื่อคืนในระหว่างมื้อค่ำเด็กทั้งสี่ได้รู้ว่าเว่ยฉิงกำลังจะไปมณฑลวั่งเซี่ยน วันนี้พวกเว่ยฉิงยิ้มกว้างมองเด็กๆ เขาจับมือถังหลี่แล้วเอามือโอบไหล่สวี่เจวี๋ยที่อยู่ใกล้ๆ พาเดินไป

“ไปเถอะ”

ครอบครัวเว่ยพากันขึ้นรถม้า ในครั้งนี้เว่ยฉิงไม่ได้ไปคนเดียว เขาให้คนใต้บังคับบัญชาของเขาไปด้วย และเขายังนัดให้บุคคลสำคัญในคดีนี้ คือลูกชายของเจ้าเมืองเล่อสุ่ยไปพบที่ประตูเมือง

รถม้าแล่นไปยังประตูเมือง ในตอนนั้นเองเป็นเวลาเช้าจึงทำให้ประตูเมืองมีคนไม่มากนัก ทั้งครอบครัวลงจากรถม้า เด็กๆ เริ่มกล่าวคำลากับเว่ยฉิง ทุกคนมองมาที่เขาอย่างอาลัยอาวรณ์

ชายหนุ่มลูบหัวสวี่เจวี๋ยและเว่ยจื่ออั๋ง

“พวกเจ้าโตแล้ว ดูแลแม่กับน้องๆ ให้ดีล่ะ” เด็กสองคนพยักพยักหน้ารับ

“ท่านพ่อไม่ต้องกังวล” เว่ยจื่ออั๋งกล่าว

เว่ยฉิงลูบหัวจื่ออี้เบาๆ

“อย่าเอาแต่อ่านหนังสือ เจ้าจะสายตาเสีย”

เว่ยจื่ออี้พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เขาหันไปหาซานเป่า เด็กหญิงกอดแขนของเว่ยฉิงถูไถใบหน้าของตัวเองกับแขนของบิดาอย่างออดอ้อน

“ท่านพ่อ ข้าจะเป็นเด็กดี รีบกลับมาเร็วๆ นะเจ้าคะ”

“ตกลง” สีหน้าของเว่ยฉิงอ่อนโยนมาก เขาบีบใบหน้าเล็กๆ ของบุตรสาว ซานเป่าเขย่งเท้า เว่ยฉิงโน้มตัวลงมา พ่อลูกกระซิบกระซาบกัน

“ท่านพ่อต้องกลับมาเร็วๆ นะ ไม่งั้นท่านแม่จะไม่ยอมกินอาหาร” เว่ยฉิงยิ้มกว้างมากขึ้น เขาเคาะจมูกเล็กๆ ของนาง เด็กหญิงแหงนหน้ามองบิดา

เว่ยจื่ออี้เอามือมาสะกิดนาง ซานเป่ากะพริบตา นางเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร เด็กหญิงถอยห่างจากเว่ยฉิงไปพร้อมกับพี่ชายสามคนเปิดโอกาสให้บิดา มารดาได้ร่ำลากัน

ถังหลี่มองเว่ยฉิงตาไม่กะพริบ นางเห็นความไม่เต็มใจอยู่บนใบหน้าของสามีเช่นกัน เขายื่นมือออกมาลูบไล้ที่ใบหน้าของนางเบาๆ ถังหลี่หยิบเครื่องรางที่มีเชือกสีแดงห้อยไว้ออกมาจากแขนเสื้อ เป็นเครื่องรางที่นางได้มาจากตอนไปวัดกับฮูหยินซูเมื่อครั้งก่อน

“สามี ท่านเก็บเครื่องรางนี้ไว้กับตัว”

ความปรารถนาสูงสุดของนางคือ ให้การเดินทางของเขาเป็นไปอย่างราบรื่น เว่ยฉิงก้มหัวลงให้ถังหลี่คล้องเครื่องรางใส่ให้เขาที่คอ เขาจับเครื่องรางไปไว้ในตำแหน่งใกล้กับหัวใจของตนเอง

พวกเขาพูดคุยกันเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไป คนจากกรมอาญาจึงมาถึง ชายหนุ่มจูบริมฝีปากของถังหลี่จากนั้นเขาก็ขึ้นม้า ทั้งคู่ต่างสบตากันอย่างอาวรณ์ เว่ยฉิงจึงได้ขี่ม้าออกเดินทางไป

ถังหลี่มองแผ่นหลังของเขาที่จากไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า ใบหน้าของหญิงสาวหมองลง นางรู้ว่าการเดินทางในครั้งนี้สำหรับสามีมีอันตรายมากเพียงไหน

ที่มณฑลวั่งเซี่ยนล้วนมีแต่คนขององค์หญิงใหญ่ การไปครั้งนี้ของเว่ยฉิงเหมือนกับลูกแกะที่เดินเข้าปากเสือ มีอันตรายรอเขาอยู่มาก

องค์หญิงใหญ่มีความแค้นกับสามีของนาง ทั้งเว่ยฉิงต้องรับผิดชอบการล้างแค้นของสกุลเซียว ถังหลี่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

ไม่ใช่ว่าสามีของนางไม่ทำอะไรเลย เขาวางแผนการเอาไว้แล้ว ในที่สุดก็มีโอกาสลงมือ องค์หญิงใหญ่เป็นหนึ่งในศัตรูตัวสำคัญของเว่ยฉิง หากนางและฝ่าบาทแตกคอกันได้ จะกลายเป็นจุดแตกหักครั้งใหญ่

เพราะจ้าวชูเองก็อาศัยพึ่งใบบุญของนางอยู่เช่นกัน

บุตรชายของเจ้าเมืองเดินทางมาถึงเมืองหลวงเพื่อถวายฎีกาด้วยรายชื่อที่เขียนจากเลือด โอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้เว่ยฉิงจะปล่อยไปได้อย่างไร ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือหรือ?

“ท่านแม่ เรากลับกันดีไหมขอรับ” เว่ยจื่ออั๋งเห็นมารดาท้องโตแล้ว หากยืนนานๆ เกรงว่านางจะเมื่อย

“กลับเถอะ” หญิงสาวพยักหน้า

เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี๋ยช่วยกันพยุงถังหลี่เข้าไปในรถม้า พวกเขาทั้งห้าคนนั่งอยู่ข้างใน หลังจากที่เว่ยฉิงจากไป พวกเขารู้สึกเศร้าหดหู่ใจเล็กน้อย เว่ยจื่ออี้เล่าเรื่องที่น่าสนใจให้พวกเขาฟังสองสามเรื่องจนทุกคนหลุดยิ้มออกมา

“ท่านแม่ ดูนั่นๆ อาคารสีแดงตรงนั้นเป็นที่นักปราชญ์พบปะกับนางฟ้าจิ้งจอกที่ข้าพูดถึง” เว่ยจื่ออี้ร้องออกมา เขาเปิดผ้าม่านออก ถังหลี่มองออกไปข้างนอกหน้าต่างเห็นอาคารสีแดงที่ดูประณีต นางมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

อาคารหลังนี้ค่อนข้างสูง ที่หน้าต่างสีแดงมีรูปวาดของสตรีที่ดูละเอียดอ่อนและประณีตมาก

“ท่านแม่ ข้าเคยอ่านพบว่าอาคารสีแดงหลังนี้เป็นของคุณชายลิ่วเยว่ ข้าเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่ง…” เว่ยจื่ออี้พูดอย่างโหยหา

“คุณชายลิ่วเยว่เป็นคนสง่างาม” ถังหลี่กล่าว

“สง่างามอะไร เขาเป็นพวกชายบำเรอ!” ที่ด้านนอกของรถม้ามีชายคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนบัณฑิต เมื่อได้ยินเรื่องนี้ก็พูดจาดูถูกขึ้นมา

ชายบำเรอ?

ถังหลี่ประหลาดใจ

ในขณะนั้นเองทุกคนก็หันไปมองที่หน้าต่าง มีร่างสีขาวปรากฏขึ้น ชายคนนั้นอายุราวยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้าปี รูปร่างหล่อเหลาเปล่งประกายราวดวงจันทร์ที่สว่างไสว ทว่าดวงตาของเขากลับเย็นชาและเฉยเมย มีทั้งความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง และเย่อหยิ่ง สายตาของเขาเหม่อลอย

บัณฑิตที่ยืนสงบนิ่งอยู่สีหน้าแปรเปลี่ยน จากนั้นจึงได้เดินหลีกหนีหายไป

เว่ยจื่ออี้ลงจากรถม้า คำนับคนที่ยืนอยู่ที่หน้าต่างบานนั้น ผู้ชายคนนั้นคำนับตอบ แล้วเอื้อมมือมาปิดหน้าต่าง

หรือว่านี่อาจจะเป็น…

เด็กหนุ่มเข้ามาในรถม้าอีกครั้ง เมื่อรถม้าแล่นไปได้ระยะหนึ่ง เว่ยจื่ออี้จึงพูดขึ้นว่า

“ท่านแม่ คุณชายลิ่วเยว่เป็นคนขององค์หญิงใหญ่…นางสร้างเสี่ยวหงโหลวให้เขา ไม่ว่าคุณชายลิ่วเยว่จะเป็นใครแต่เขาเป็นผู้ที่มีความสามารถมาก บางครั้งเขาเชิญผู้คนไปที่เสี่ยวหงโหลวเพื่อพบปะพูดคุยหารือเกี่ยวกับลัทธิเต๋า…ข้าเคยเข้าร่วมครั้งเดียวและไม่ได้ไปอีก”

ถังหลี่รู้สึกประหลาดใจเมื่อคิดว่าหนุ่มหน้าใสผู้นั้นคือชายบำเรอคนโปรดขององค์หญิงใหญ่ นางไม่รู้ว่าควรจะแสดงความรู้สึกอย่างไรออกมา

“เหตุใดเจ้าไปที่นั่นครั้งเดียว”

“มีคนน้อยมากที่เข้าร่วม ทั้งพวกเขายังดูถูกคุณชายลิ่วเยว่ ข้าไม่เข้าใจว่าหากพวกเขาไม่ชอบเหตุใดจึงเข้าร่วมด้วยเล่า? ช่างน่าแปลกมากเลย พวกเราล้วนเป็นคนที่รักการอ่านหนังสือเหมือนๆ กันทั้งนั้น” เว่ยจื่ออี้พึมพำ

“ท่านแม่ความจริงแล้วคุณชายลิ่วเยว่มีความสามารถและมีความรู้ หากเขาได้เข้าร่วมการสอบ เขาจะต้องสอบผ่านเป็นแน่ แต่ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงไม่ทำ?” เว่ยจื่ออี้สงสัย

หญิงสาวลูบศีรษะของเขา

“ทุกคนมีทางเลือกของตัวเอง และบางคนไม่สามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้”