เจียงซื่อจำชื่อเมืองที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวไม่ได้
เมื่อชาติก่อน สองปีหลังจากนั้นนางถึงจะกลับมาที่เมืองหลวง เหตุภัยพิบัติสะเทือนขวัญครั้งนี้ติดอยู่ในใจของเหล่าผู้รอดชีวิต นางเพียงแต่บังเอิญได้ยินมาเท่านั้น จึงมิได้สนใจว่าเมืองเล็กนั้นจะมีชื่อว่าอะไร
“เป็นอะไรไปรึ” อวี้จิ่นแตะตัวนาง
เจียงซื่อหลุดออกจากภวังค์ก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าจำไม่ได้”
อวี้จิ่นอดหัวเราะไม่ได้ พลางเอื้อมมือไปหยิกแก้มหญิงสาว “ความฝันก็เป็นเช่นนี้ ตอนอยู่ในฝันเห็นรายละเอียดยิบย่อยเต็มไปหมด แต่ทันทีที่ตื่นขึ้นมา เพียงแค่ชั่วอึดใจก็หลงลืมไปเกือบครึ่ง”
เจียงซื่อเม้มปากแน่น “แต่การจำชื่อเมืองไม่ได้มันน่าขัดใจนี่หนา”
นางครุ่นคิดก่อนจะกำชับชายหนุ่ม “อาจิ่น เมื่อเจ้าไปถึงที่นั่น เจ้ารอให้ไท่จื่อบอกก่อนว่าอยากพักที่เมืองใด แล้วเจ้าค่อยห้าม เพราะในฝันคนพวกนั้นเลือกเองว่าต้องการพักที่ใด”
“ได้ เจ้าวางใจเสียเถิด”
“เจ้าจำขึ้นใจแล้วใช่หรือไม่” เจียงซื่อเองก็ไม่อยากจู้จี้นัก นางจึงถามเป็นครั้งสุดท้าย
อวี้จิ่นกุมมือนางมาวางทาบอกตัวเอง พร้อมส่งรอยยิ้มผ่านแววตา “จำได้ขึ้นใจแล้ว อาซื่อ มีครั้งใดที่ข้าไม่ใส่ใจสิ่งที่เจ้าบอกงั้นรึ”
ครั้นได้ฟังเช่นนั้น จิตใจของเจียงซื่อถึงได้เบาลง แต่การจะให้นางวางใจทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ เพราะนางไม่ทราบชื่อเมืองนั้น อีกทั้งแผ่นดินไหวก็เป็นเหตุภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันทันใด ฉะนั้นจึงมีสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมมากมายยิ่งนัก
เจียงซื่อขมวดคิ้วมุ่นพลางใคร่ครวญเพียงลำพังก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “อาจิ่น ในความฝัน เมืองนั้นแลดูรุ่งเรือง มีประชากรอาศัยหนาแน่น หากเป็นไปได้ เจ้าก็ช่วยคนพวกนั้นเท่าที่กำลังของเจ้าจะทำได้…”
เรื่องบางเรื่องหากไม่รู้ ก็คงไม่กังวล แต่เมื่อรู้แล้ว แม้เรื่องนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเลยแม้แต่น้อย แต่ชีวิตมากมายที่ต้องจากไปอย่างน่าเศร้าสลด กลับทำให้คนที่รู้อดถอนหายใจไม่ได้
ในบรรดาเหยื่อผู้เสียชีวิต คงมีคู่สามีภรรยาไม่น้อยที่รักใคร่กลมเกลียวอย่างนางและอาจิ่น
อวี้จิ่นผงกหัวรับ “เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจของนาง
นางใช้ฝันร้ายมาเป็นลางบอกเหตุเพื่อเตือนเขา อวี้จิ่นตอบรับเพราะเห็นแก่ความรู้สึกของภรรยา แต่ที่เขาเลือกจะเชื่อความฝันของนาง และรับปากว่าจะช่วยชาวบ้านเหล่านั้นกลับมิใช่เรื่องง่าย เพราะการจะทำให้คนเหล่านั้นยอมเชื่อเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นเป็นงานยากยิ่ง
“อาซื่อ แล้วในความฝันของเจ้า แผ่นดินไหวที่เมืองนั้นเกิดขึ้นวันไหนรึ”
หากว่าเขาต้องปกป้องขบวนของไท่จื่ออย่างเดียว การไม่ไปเยือนที่เมืองนั้นก็ถือว่าสิ้นเรื่อง แต่การจะช่วยชาวบ้านในเมือง การรู้เวลาเกิดเหตุที่ชัดเจนก็จะช่วยลดงานได้มาก
เจียงซื่อส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง “ข้าจำไม่ได้หรอก แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่พอจะยืนยันได้คือ ไท่จื่อพักอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วันก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้น…”
เจียงซื่อขมวดคิ้วขบคิด นางพยายามควานหารายละเอียดในความทรงจำก่อนจะพึมพำ “คงไม่เกินสามวัน”
อวี้จิ่นยกมือขึ้นคลายปมขมวดที่หว่างคิ้วของนาง เขายิ้มพลางบอก “เอาเถอะ ข้าจะจำไว้ เจ้าเองก็อย่าหมกมุ่นกับเรื่องนี้นักเลย นี่ยังเช้าอยู่ เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถิด”
เขาบอกพลางดึงให้นางเอนตัวลง ชายหนุ่มตระกองกอดหญิงสาวและทิ้งตัวสู่ห้วงนิทรา
เวลาผันผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบได้ เมื่อเสียงลมหายใจเป็นจังหวะของร่างข้างๆ ดังขึ้น เขาถึงค่อยๆ ดึงแขนตัวเองออกมา พร้อมวางเท้าลงข้างเตียงแผ่วเบา
“ท่านอ๋อง…” อาเฉี่ยวเห็นอวี้จิ่นเดินออกมาก็รีบทำความเคารพ
อวี้จิ่นยกมือขึ้นพร้อมกล่าวแผ่วเบา “พระชายายังนอนอยู่ อย่าเพิ่งไปปลุกนาง”
อาเฉี่ยวมองไปที่ประตูห้องด้วยความลังเล
หรือว่าท่านอ๋องไม่อยากให้นายหญิงไปส่งงั้นหรือ หากนายหญิงตื่นขึ้นมา คงจะผิดหวังน่าดู…
“เมื่อคืนพระชายาพักผ่อนไม่เต็มที เพิ่งจะหลับไปเมื่อรุ่งสางนี้เอง”
เมื่อได้ยินอวิ้จิ่นกล่าวเช่นนั้น อาเฉี่ยวก็สลัดความคิดที่จะไปปลุกเจียงซื่อออกจากหัว
นายหญิงกำลังตั้งท้องอยู่ ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ
เช้าตรู่ในเดือนที่ห้า แสงของดวงอาทิตย์เรื่อเรืองฉายส่องสดใสจนไม่อาจนอนต่อได้อีก เสียงนกขับขานเจื้อยแจ้วที่นอกหน้าต่างไม่หยุดพัก
เจียงซื่อลืมตาตื่น มือลูบๆ คลำๆ ข้างกาย ทว่ากลับว่างเปล่า
อาจิ่นไปแล้วหรือ
นางลุกขึ้นนั่งพลางขมวดคิ้ว
อาหมานและอาเฉี่ยวที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเดินเข้ามาด้านใน ตามหลังมาด้วยสาวรับใช้ที่ถืออ่างล้างหน้า ผ้าเช็ดหน้า และของใช้อื่นๆ
“ท่านอ๋องเล่า”
อาเฉี่ยวและอาหมานหันมาสบตากัน
อาเฉี่ยวเป็นคนตอบ “ท่านอ๋องเสด็จไปแล้วเจ้าค่ะ เห็นว่าเหนียงเหนียงกำลังบรรทมจึงมิได้ปลุกเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อเงียบงันไปชั่วขณะก่อนจะบอก “ช่วยข้าล้างหน้าที”
กิจวัตรยามเช้าผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับอาหารเช้าก็ถูกเตรียมไว้พร้อม
อาเฉี่ยวประคองเจียงซื่อเดินมาที่โต๊ะอาหารที่มีจานวางอยู่เต็มโต๊ะ แต่กระนั้นในใจกลับรู้สึกว่างเปล่า
นางเคยชินกับการทานอาหารสองคน ตอนนี้ถึงได้รู้สึกแปลกไป
แม้ตอนนี้จะยังปรับตัวไม่ได้ เจียงซื่อก็ยังกินเสี่ยวซาลาเปาและโจ๊กชามหนึ่งเข้าไป นางลูบท้องกลมกลึงที่ไม่รู้สึกอิ่มแต่อย่างใด
นางจ้องมองหน้าท้องที่พองกลมพลางคิดในใจ พอท้องแล้วทำให้กินเก่งได้ขนาดนี้เชียวหรือ
เจียงซื่อยังจำคำของหมอเหลียงได้ว่า ช่วงใกล้ถึงกำหนดคลอดให้ควบคุมปริมาณอาหาร เพราะหากท้องใหญ่เกินไป จะทำให้คลอดยาก
ครั้นมื้ออาหารสิ้นสุดลง ตามปกตินางจะออกไปเดินเล่น
“คุณหนู โต้วซูหว่านมาแล้วเจ้าค่ะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ม่านลูกปัดก็ถูกแหวกออกพร้อมการปรากฏตัวของโต้วซูหว่าน
เจียงซื่อส่งยิ้มพลางเอ่ย “อาหญิงมาได้เวลาพอดี ไปเดินเล่นในสวนกันเถิด”
โต้วซูหว่านเอื้อมมือมาประคองเจียงซื่อ แล้วทั้งสองก็เดินออกไป
“พระชายาเสวยได้ดีอยู่หรือไม่เพคะ” โต้วซูหว่านเอ่ยถามขณะที่อยู่ในสวนหลากสีสัน
แม้ใจของเจียงซื่อยังคะนึงหาแต่อวี้จิ่น ทว่ามิได้แสดงออกให้คนอื่นได้รับรู้ นางคลี่ยิ้มหวาน “ดีทีเดียวเชียว ขนาดกินซาลาเปาไปแล้วลูกหนึ่ง กับโจ๊กชามหนึ่ง ยังรู้สึกอยากอาหารอยู่เลย แต่อาหมานไม่ให้กินแล้ว”
โต้วซูหว่านหลุดหัวเราะ “ท่านหมอแต่ละคนก็แตกต่างกันเพคะ หากเป็นที่บ้านของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคนที่ตั้งครรภ์ห้ามทานเยอะ”
เจียงซื่อยิ้มพร้อมกะพริบตา “ทีนี้อาหญิงก็มีประสบการณ์แล้ว ต่อไปก็รู้ว่าควรทำเช่นไร…”
ใบหน้าแดงระเรื่อของโต้วซูหว่านมองตรงไปที่เจียงซื่อ “พระชายาอย่าหยอกหม่อมฉันซิเพคะ”
เจียงซื่อรู้ว่าโต้วซูหว่านเป็นพวกหน้าบาง และนางก็อายุมากกว่าเจียงซื่อ สุดท้ายนางจึงเลิกแกล้งไป
ตอนช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ โต้วซูหว่านและหลงต้านได้หมั้นหมายกันไว้เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นจึงเหมือนกันกับนางที่กำลังเฝ้าเป็นห่วงใครอีกคน
“พระชายามิต้องกังวลไปนะเพคะ ท่านอ๋องจะต้องกลับมาก่อนที่พระองค์ให้ประสูติทารกเป็นแน่เพคะ” แม้โต้วซูหว่านจะเป็นหญิงพรหมจรรย์ แต่นางก็มิใช่เด็กสิบสามสิบสี่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว นางทราบดีว่าคนท้องมักจะคิดมาก จึงพยายามเอ่ยปลอบใจ
สายตาของเจียงซื่อทอดยาวเลยพุ่มดอกโบตั๋นไป “อื้ม เขาคงได้กลับมาเร็วๆ นี้”
ตอนนี่ยังห่างจากกำหนดคลอดประมาณหนึ่งเดือน ส่วนภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งที่สองที่พรากชีวิตคนมากมายก็กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า รอให้เหตุแผ่นดินไหวเกิดขึ้นแล้ว ไท่จื่อถึงจะเสด็จกลับเมืองหลวง
ในจุดนี้นางไม่ได้กังวลนัก สิ่งที่นางเป็นห่วงมากที่สุดคือความปลอดภัยของอวี้จิ่น
ในตอนที่มีอีกคนอยู่ด้วยก็ไม่ทันได้สังเกต แต่ครั้นอีกคนไม่อยู่แล้ว ถึงได้รู้สึกว่า ความสวยงามจับตาบัดนี้กลับดูจืดชืดขาดสี
ทั้งสองเดินเล่นอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับเข้าไปด้านใน และดูเหมือนว่าเจียงซื่อเพิ่งจะค้นพบเรื่องหนึ่ง “เอ้อร์หนิวหายไปไหน”
เพราะเจียงซื่อหลับไปจึงมิได้ตื่นขึ้นมาส่งอวี้จิ่น แต่ทว่าโต้วซูหว่านช่วยทำหน้าที่นั้น นางจึงตอบว่า “ท่านอ๋องพาเอ้อร์หนิวไปด้วยเพคะ”
ครั้นนึกถึงเจ้าสุนับตัวใหญ่ที่นอนเอือกแทะกระดูกทั้งวัน เจียงซื่อจึงเอ่ยขึ้นว่า “พาเอ้อร์หนิวออกไปรับลมข้างนอกบ้างก็ดี”
เอ้อร์หนิวตื่นเต้นสุดฤทธิ์ มันเดินตามอวี้จิ่นไปพร้อมส่ายหางไม่พัก
ไท่จื่อตกใจจนตาแทบถลนออกจากเบ้า “เจ้าเจ็ด เหตุใดเจ้าถึงพาสุนัขไปด้วยเล่า”
เหล่าขุนนางที่ตามหลังมาลอบส่ายหัวกันเป็นแถว
จะไปบรรเทาทุกข์ราษฎรแล้วพาสุนัขไปด้วยเนี่ยนะ เยี่ยนอ๋องดูพึ่งพาไม่ได้ยิ่งกว่าไท่จื่อเสียอีก!
อวี้จิ่นตบหัวเจ้าสุนัขตัวใหญ่พลางบอกเคร่งขรึม “พี่รองพี่ว่าผิดแล้ว นี่มิใช่สุนัขธรรมดา”