ตอนที่ 1017 หอเมฆาสวรรค์ (5) ตอนที่ 1018 ชนะโดยไม่ต้องสู้

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 1017 หอเมฆาสวรรค์ (5) / ตอนที่ 1018 ชนะโดยไม่ต้องสู้
ตอนที่ 1017 หอเมฆาสวรรค์ (5)

ชวีซินรุ่ยหัวเราะอย่างเย็นชาเป็นคำตอบ หลังจากพลังวิญญาณของนางขึ้นสู่ระดับสีม่วง นางก็ออกจากที่นั่นตามคำเชิญของตำหนักหวนจิตของสิบสองตำหนัก นางกลับมาที่เมืองพันอสูรก็เพราะนางมีเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จที่นี่เท่านั้น

“บุตรชายของหลินเชวียเป็นแค่ขยะไร้ประโยชน์ แต่หลินเชวียยังมีประโยชน์อยู่ ถ้าข้าฆ่าบุตรชายของมัน ข้าไม่คิดว่ามันจะยังยอมทำงานให้เราอยู่หรอกนะ อย่างไรเสียพวกมันก็ต้องตายอยู่ดี แต่สำหรับหลินเชวียยังต้องรอจนมันทำงานที่ข้ามอบหมายให้เสร็จสิ้นก่อนที่มันจะตาย”

“ตามที่เจ้าพูดมา เจ้าตั้งใจจะจัดการกับหลินเชวียหลังจากที่มันช่วยเราหาที่ตั้งของสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ” บุรุษผู้หนึ่งถามขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ชวีซินรุ่ยหรี่ตาลง ดวงตาของนางทอแววโหดเหี้ยม

“แม้ว่ามังกรมายาจะไม่ได้สำคัญมากเท่ากับสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ แต่มันก็ยังสำคัญมากอยู่ดี เจ้าขยะนั่นเอาความโกรธชั่ววูบมาทำให้ข้าเสียมังกรมายาไป แล้วข้าจะปล่อยมันไปง่ายๆ ได้อย่างไรกัน”

“แต่หลินเชวียภักดีกับเจ้ามากนะ กระทั่งมังกรมายาที่หายากหาเย็นแบบนั้น หลินเชวียก็ยังจัดการหามันมาให้เจ้าได้ แต่ก็น่าเสียดายนะ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ขึ้น ถ้าเจ้านำมังกรมายากลับไปที่ตำหนักได้ ซินรุ่ย เจ้าจะได้ความดีความชอบอย่างมากแน่ๆ” บุรุษผู้นั้นพูดพร้อมกับยิ้ม

ชวีซินรุ่ยชำเลืองมองเขา ดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สากับคำพูดเหน็บแนมของบุรุษผู้นั้นแม้แต่น้อย

“ถ้าพวกเจ้ามีเวลามากขนาดมาบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับข้าได้ เจ้าก็ควรจะมองเรื่องนี้ในอีกมุมแทนนะ มังกรมายาตายไปแล้วก็จริง แต่พวกเราก็ได้ของดีกลับมาไม่ใช่หรือ”

“ของดี เจ้าหมายถึงสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติน่ะหรือ”

ชวีซินรุ่ยส่ายศีรษะ “แม้ว่าสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติจะหายาก แต่มันก็ไม่ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายที่นี่ได้หรอก ตรงกันข้ามกับฮ่องเต้น้อยแห่งรัฐเหยียนที่จะมีประโยชน์กับเรามากกว่า รัฐเหยียนเป็นรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสามโลกเบื้องล่าง ไม่ว่าจะจำนวนประชากรหรือความแข็งแกร่งในการต่อสู้ ก็ไม่มีรัฐใดในสามโลกเบื้องล่างนี้เทียบกับพวกเขาได้ ถ้าเราทำให้ฮ่องเต้น้อยยอมจำนนต่อเราได้ เราก็จะสามารถระดมกองทัพที่เขามีอยู่ในมือไปสำรวจผาสุดขอบฟ้าได้ และผลที่ได้ย่อมเหนือกว่าที่เมืองพันอสูรเพียงเมืองเดียวจะทำได้”

“มิน่าเล่าเจ้าถึงพูดว่าให้ลืมเรื่องนี้ไปเสีย อย่างนั้นเจ้าก็คิดแบบนี้อยู่แล้วสินะ ข้านึกว่านิสัยเจ้าเกิดเปลี่ยนไปแล้วเสียอีกถึงได้ตัดสินใจไม่เอาเรื่องหลินเชวีย แล้วยังไม่ตามเอาเรื่องจวินเสียด้วย ดูเหมือนตอนที่เจ้าสั่งให้ส่งคำเชิญไปให้ฮ่องเต้น้อย เจ้าคิดจะดึงเอาฮ่องเต้น้อยมาเป็นพวกอยู่แล้วใช่หรือไม่” บุรุษผู้นั้นรู้ดีว่าความอาฆาตพยาบาทของชวีซินรุ่ยสามารถทำอะไรได้บ้าง เขาเข้าใจทันทีว่าชวีซินรุ่ยวางแผนอะไรไว้

ชวีซินรุ่ยยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “ในสามโลกเบื้องล่างมีของที่สามารถทำให้ข้าสนใจได้ไม่มากนักหรอก ถ้าพวกมันสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้แล้วทำไมจะไม่ใช้เล่า ถ้าหน้าตาของฮ่องเต้น้อยถูกใจข้า ข้าก็จะทำดีกับเขาเหมือนกัน” ขณะที่พูดชวีซินรุ่ยก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากสีแดงของนางเล็กน้อย

“ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่เจ้าวางแผนเอาไว้ก็คงดี”

“จะเกิดอะไรขึ้นก็ขึ้นอยู่กับว่าฮ่องเต้น้อยจะรู้หรือไม่ว่าอะไรดีสำหรับเขา อีกไม่กี่วันหลินเชวียก็จะจัดคนไปที่ผาสุดขอบฟ้าและดูว่าพวกเจ้าสามคนใครจะเป็นคนได้ไปกับพวกเขา ต่อให้คนของเมืองพันอสูรจะไม่มีใครรอดชีวิตกลับมาได้ แต่เราก็ไม่น่าจะเสียแรงไปเปล่าๆ อย่างน้อยก็น่าจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ข้างล่างนั่นมาบ้าง” ชวีซินรุ่ยพูดกับกลุ่มบุรุษพวกนั้น

“ได้”

หลังจากนั้นชวีซินรุ่ยก็โบกมือและพูดว่า “พวกเจ้าทุกคนออกไปได้แล้ว”

บุรุษทั้งสามคนสบตากันและก็เห็นแววตาล้อเลียนเยาะเย้ยจากอีกฝ่ายแต่พวกเขาเลือกที่จะไม่พูด ทั้งสามคนแสร้งทำเป็นเชื่อฟังและเดินลงจากชั้นบนสุดของหอเมฆาสวรรค์

ไม่นานกลุ่มชายหนุ่มหน้าตาดีที่ถูกไล่ออกไปเมื่อครู่ก็ขึ้นบันไดมาและรีบเข้ามารุมล้อมประจบประแจงชวีซินรุ่ยอีกครั้ง

ชวีซินรุ่ยปล่อยตัวเองไปกับการปรนเปรอนั้นและหลับตาลงอย่างเพลิดเพลิน

ตอนที่ 1018 ชนะโดยไม่ต้องสู้

เนื่องจากใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะได้เหยียบเวทีประลองของลานประลองสัตว์วิญญาณจนพังพินาศตอนที่มันเผยร่างจริงของมัน มันจึงเป็นฝ่ายที่ออกนอกเวทีประลองก่อน ดังนั้นใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะจึงไม่ได้อยู่ในตำแหน่งอันดับหนึ่งของลานประลองสัตว์วิญญาณอีกต่อไป แต่เนื่องจากมังกรมายาที่ ‘ชนะ’ ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะได้ถูกกินไปแล้ว อันดับสองของลานประลองสัตว์วิญญาณจึงได้เลื่อนขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแทน

ตอนบ่ายของวันนั้น จวินอู๋เสียพาใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะไปที่ลานประลองสัตว์วิญญาณอีกครั้ง และแจ้งพวกเขาว่านางต้องการลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการประลอง

แต่ทว่า…

เจ้าหน้าที่ของลานประลองแทบจะคุกเข่าลงอ้อนวอนตรงหน้าจวินอู๋เสีย

ตามปกติพวกเขามีแต่สัตว์วิญญาณระดับต่ำที่ถูกนำเข้าแข่งขันในลานประลองสัตว์วิญญาณ ไม่ต้องพูดถึงสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติเลย แม้แต่สัตว์วิญญาณระดับกลางก็ยากที่จะได้เห็นในการประลอง

ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะเป็นถึงสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติที่ทรงพลังอย่างมาก การเข้าร่วมการประลองของพวกเขาจะมีความหมายอะไร สัตว์วิญญาณที่มาอยู่ตรงหน้าใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะนั้นไม่จำเป็นต้องให้ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะร้องออกมาเป็นครั้งที่สองเลยด้วยซ้ำ แค่เสียงร้องครั้งแรกก็ทำให้พวกมันหวาดกลัวจนควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว

นอกจากเรื่องที่สัตว์วิญญาณจะไม่กล้ายืนอยู่ต่อหน้าใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะแล้ว แม้แต่เจ้านายของพวกมันที่กระตือรือร้นจะอวดความสามารถในการฝึกสัตว์วิญญาณ ก็พากันเอาสัตว์วิญญาณของพวกเขาไปซ่อนจากใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะ ไม่มีใครอยากจะเห็นสัตว์วิญญาณของพวกเขาถูกใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะ ‘เล่น’ บนเวทีหรอก

ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ลานประลองสัตว์วิญญาณจะอยู่ได้อย่างไร

เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เจ้าหน้าที่ของลานประลองสัตว์วิญญาณก็ประกาศว่าใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะผ่านการประลองแล้วและรีบยัดกำไลสะกดอสูรใส่มือของจวินอู๋เสีย จากนั้นก็พาเด็กหนุ่มและสัตว์วิญญาณออกนอกลานประลองอย่างเร่งรีบราวกับอีกฝ่ายเป็นเทพแห่งหายนะ

การมีสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติที่ลานประลองสัตว์วิญญาณ…ไม่ใช่แค่ปีนี้หรอก ต่อให้รอไปจนถึงปีหน้าก็ไม่มีใครกล้ามาประลองที่นี่แน่

นี่ไม่ใช่สำนวนที่ว่า ‘ถึงรู้ว่ามีเสืออยู่บนภูเขา แต่ก็ยังเลือกที่จะเดินขึ้นเขาไปอยู่ดี’ หรอกนะ

เมื่อได้รับกำไลสะกดอสูรที่อยากได้มาแบบง่ายๆ โดยไม่คาดคิด จวินอู๋เสียก็รู้สึกประหลาดใจมาก แต่เมื่อนางเห็นสีหน้าที่เกือบจะร้องไห้ของเจ้าหน้าที่ลานประลอง นางก็รับกำไลมาแล้วอุ้มใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะออกไปจากที่นั่นทันที จึงไม่ทันได้เห็นพวกเจ้าหน้าที่ของลานประลองสัตว์วิญญาณพากันเช็ดน้ำตาหลังจากที่นางจากไปแล้ว

เมื่อได้กำไลสะกดอสูรมาแล้ว จวินอู๋เสียก็กลับไปที่ตึกเพลิงพิโรธเพื่อศึกษามัน

ตอนนี้ฟ่านจัวยังคงอยู่ข้างนอกเมืองพันอสูร และนางก็ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของเขา ต้องหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในเมืองพันอสูรและติดต่อนางมาก่อนเท่านั้น นางถึงจะสามารถมอบกำไลสะกดอสูรให้แก่ฟ่านจัวได้

กำไลสะกดอสูรของเมืองพันอสูรถูกจัดแยกออกเป็นระดับต่างๆ วงที่จวินอู๋เสียมีอยู่ในมือเป็นอันที่คุณภาพต่ำที่สุด สามารถใช้ฝึกสัตว์วิญญาณระดับต่ำหนึ่งตัวเท่านั้น สำหรับคนอย่างจวินอู๋เสียที่มีสัตว์วิญญาณระดับภัยพิบัติอยู่แล้วถึงสองตัว ของชิ้นนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับนางเลย หลังจากดูมันอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่สองสามรอบนางก็เก็บมัน

จากนั้นจวินอู๋เสียก็หยิบเอาอ่างบัวออกมาจากถุงเอกภพและดูดซับพลังวิญญาณจากมันอย่างช้าๆ นางขึ้นสู่จุดสูงสุดของพลังวิญญาณขั้นสีเขียวมาตั้งนานแล้ว และนางสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับพลังวิญญาณขั้นสีน้ำเงินเมื่อไรก็ได้ที่นางต้องการ แต่จวินอู๋เสียยังไม่อยากทำตอนนี้เนื่องจากตอนที่นางทะลวงขั้นพลังนางจะไม่รู้สึกตัวไปชั่วขณะ อยู่ในเมืองพันอสูรแบบนี้จวินอู๋เสียไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองหมดสติไป แม้ว่านางจะมีพวกใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะอยู่ข้างกาย แต่นางก็ไม่ได้มั่นใจในความฉลาดของใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะกับกระต่ายโลหิตมากนัก มีเพียงเจ้าแมวดำตัวน้อยเท่านั้นที่นับได้ว่าฉลาดมีไหวพริบ แต่นางก็ไม่แน่ใจว่ามันจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้หรือเปล่า

ถึงอย่างไรในเมืองพันอสูรนี้ก็มีคนจากสิบสองตำหนักอยู่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จวินอู๋เสียจะทะลวงขั้นพลังวิญญาณเพียงลำพังในสถานการณ์เช่นนี้

ขณะที่นางดูดซับพลังวิญญาณอยู่เงียบๆ ในใจของจวินอู๋เสียก็ใคร่ครวญสถานการณ์ในเมืองพันอสูรไปด้วย