ตอนที่ 562 เหตุด่วน

เขาเบี่ยงสายตาไปเล็กน้อย เห็นว่าไห่หรูเยวี่ยใจลอยอยู่ ขนาดตนเดินมาถึงแล้วยังไม่รู้ตัวอีก จึงเอ่ยถาม “คิดอะไรอยู่?”

แม้แต่น้ำเสียงที่ใช้คุยกับนางก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เดิมทีน้ำเสียงจะเต็มไปด้วยอำนาจกดข่มหรือไม่ก็หยอกเอินกะลิ้มกะเหลี่ย

ช่วงที่ใช้อำนาจคือตอนคุยเรื่องงานสำคัญ ส่วนการหยอกเอินกะลิ้มกะเหลี่ยจะใช้ในช่วงยั่วเย้าระเริงสวาทกับสตรีนางนี้ ตอนนี้ความรู้สึกนั้นกลายเปนอดีตไปด้วยไม่ทันรู้ตัว แม้ไห่หรูเยวี่ยจะทรงเสน่ห์เย้ายวนคนเช่นไรก็ยากจะทำให้เขาเกิดความปรารถนาอยากจะบังคับครอบครองและหยอกเล่นอย่างกระเหี้ยนกระหือรือได้อีก

น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นปกติราบเรียบ ไม่มีอารมณ์กำหนัดอยากเล่นสนุกหรือยากเป็นเจ้าของอีก รูปแบบการสื่อสารไม่ใช่แบบที่ใช้กับคนนอกแต่กลายเป็นแบบที่ใช้กับคนในครอบครัวแล้ว

ไห่หรูเยวี่ยได้สติกลับมา ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยถาม “จ้าวกงกงไปแล้วหรือ?”

“ไปแล้ว” หลีอู๋ฮวาพยักหน้ารับ

ไห่หรูเยวี่ยมองไปยังกล่องในอ้อมแขนข้างหนึ่งของเขา “นี่คือสิ่งใด?”

“ของขวัญที่จ้าวเซินนำมาส่งมอบให้ไทเฮา อีกกล่องหนึ่งเป็นสมุนไพรบำรุง ส่วนกล่องนี้ข้าดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร” หลีอู๋ฮวาว่าพลางเปิดกล่องในมือออก

กล่องทั้งสองใยได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนกล่องที่บรรจุสมุนไพรบำรุงไว้ถูกโยนเก็บไว้ชั่วคราว ไม่กล้านำของที่ส่งมาจากทางเมืองหลวงมาให้ไห่หรูเยวี่ยใช้ส่งเดช

เมื่อเปิดหีบใบนี้ออกเห็นเพียงว่าด้านในมีข้าวของจำพวกลูกแก้ว ก้อนอำพันที่มีแมลงติดอยู่ด้านใน ตุ๊กตาแกะสลักจากไม้ตัวเล็กๆ กระดิ่งลมงามประณีต มีของเล่นสดใสละลานตาบรรจุอยู่เต็มไปหมด

หลีอู๋ฮวาไม่ค่อยเข้าใจนัก “เอาไว้ให้ลูกเราเล่นงั้นหรือ? แต่ลูกยังเล็กขนาดนี้ เล่นของพวกนี้ไม่เป็นกระมัง?”

พอเห็นของที่อย่ในกล่อง แววตาของไห่หรูเยวี่ยนิ่งค้างไป ขอบตาค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นมา ยื่นมือเข้าไปในกล่อง ปลายนิ้วลูบไล้ของเล่นต่างๆ เอ่ยงึมงำว่า “ไม่ได้มอบให้ลูกเล่นหรอก แต่เป็นของที่ข้าเคยเลยในยามเยาว์”

“….” หลีอู๋ฮวาพูดไม่ออกแล้ว

ไห่หรูเยวี่ยหยิบผ้าแพรชิ้นหนึ่งออกมา คลี่ออกดู เห็นเพียงว่าบนผ้าปักลายบุปผาใบหญ้าบิดๆ เบี้ยวๆ ไว้ ยังมีผีเสื้อหน้าตาน่าเกลียดสองตัวเกาะอยู่บนบุปผาใบหญ้าด้วย พอเห็นสิ่งนี้ น้ำตาอุ่นๆ ก็ทะลักออกมา นางยกมือปิดปากตัวเองมองไปที่ลูกน้อยแวบหนึ่ง คล้ายเกรงว่าจะเสียงดังจนรบกวนลูกน้อยที่หลับพริ้มอยู่

หลีอู๋ฮวาแปลกใจ “เป็นอะไรไป?”

ไห่หรูเยวี่ยสะอื้นเอ่ยไปว่า “นี่คือผลงานชิ้นแรกสมัยข้าเรียนเย็บปักในยามเยาว์ เสด็จแม่…”

ที่แท้ก็รำลึกถึงอดีต หลีอู๋ฮวาพอจะเข้าใจ ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “หรือคิดจะใช้ความผูกพันสั่นคลอนอารมณ์ คิดจะใช้สิ่งเหล่านี้ล่อเจ้ากลับเมืองหลวง?”

ไห่หรูเยวี่ยส่ายหน้าทั้งน้ำตา มีสีหน้าบึ้งตึง “ข้ามิใช่เด็กสาวเช่นในวันวานแล้ว เสด็จพี่ก็มิใช่เด็กหนุ่มเช่นในกาลก่อน เสด็จแม่ควบคุมเขาไม่ได้และควบคุมข้าไม่ได้เช่นกัน ยังจะกลับไปได้อีกหรือ? กลับไปไม่ได้แล้ว!”

เข้าใจหลักเหตุผลข้อนี้ก็ดีแล้ว! หลีอู๋ฮวายื่นมือไปลูบหลังนางเอ่ยปลอบโยน “ในเมื่อเป็นความทรงจำในวัยเยาว์ เช่นนั้นเจ้าก็เก็บไว้กับตัวเถิด”

ไห่หรูเยวี่ยรับกล่องไปถือ กอดเอาไว้พลางนั่งลงด้านข้างหยิบออกมาทีละชิ้นๆ ลูบไล้ไปทีละชิ้นๆ วางแต่ละชิ้นลงบนโต๊ะ

ทุกชิ้นล้วนเป็นทรงจำส่วนหนึ่งของนาง เล่นไปพลางเช็ดน้ำตาไป

ด้านในไม่ได้มีเพียงงานปักชิ้นแรกของนางเท่านั้น ยังมีผงงานคัดอักษรที่นางคัดเป็นครั้งแรกด้วย กระดาษเหลืองคร่ำคราแล้ว แต่ยังพับทบวางไว้ในกล่องเป็นอย่างดี พอเห็นลายมือแสนน่าเกลียดนั้นแล้ว ไห่หรูเยวี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา

พอมาดูในปัจจุบันนี้แล้ว ยากจะจินตนาการได้ว่านี่คือผลงานที่นางเขียนขึ้น

แต่ทันทีที่เห็นก็ทราบทันทีว่าเป็นผลงานตน

หลีอู๋ฮวายืนอยู่ตรงประตู ผินหน้ามองนางอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ก้าวเท้าเดินออกไป…

วันต่อมา ร่างกายของไห่หรูเยวี่ยค่อนข้างผิดปกติไป เริ่มมีไข้เล็กน้อย ซ้ำยังไอเป็นระยะด้วย

ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะได้เห็นสิ่งของในยามเยาว์แล้วสะเทือนอารมณืขึ้นมาหรือไม่ หลีอู๋ฮวาไม่ไยดีสิ่งเหล่านี้อีก เอากล่องพร้อมของที่อยู่ด้านในออกไปทันที กันออกจากทางนี้ไป

สิ่งที่ทำให้หลีอู๋ฮวาหวาดหวั่นยิ่งขึ้นคือ บุตรชายตัวน้อยของเขาก็เริ่มมีไข้แล้วเช่นกัน ร้องไห้โยเยไม่หยุด

ตัวเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรได้ป้อนโอสถวิญญาณให้สองแม่ลูกไม่ขาด ใช้พลังช่วยรักษา

อุณหภูมิของสองแม่ลูกลดลง อาการไอก็หยุดไป แต่ผ่านไปได้ไม่นานก็กำเริบขึ้นมาอีก รักษาไปเท่าไรก็กำเริบกลับมาอยู่ดี

ไม่ว่าจะใช้พลังปราณหรือว่าใช้โอสถต่างไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ กลับกลายเป็นว่าเลือดลมของสองแม่ลูกค่อยๆ พร่องลงไป

ผู้ใหญ่ยังพอว่า มีความสามารถพอจะควบคุมตัวเองได้

แต่ทารกน้อยกลับไม่เข้าใจเรื่องนี้ พอร้องไห้ไม่หยุดเช่นนี้ไปเรื่อยก็ๆ เริ่มไม่สู้ดีแล้ว จำเป็นต้องสกัดจุดให้เขา ทำให้อยู่ในสภาวะสลบไสลถึงจะหยุดแผดเสียงร้องไห้

หลีอู๋ฮวาค่อนข้างตื่นตระหนกขึ้นมาแล้ว รีบส่งข่าวไปหาทางสำนักเพื่อขอความช่วยเหลือ

ราชทูตจากแคว้นต่างๆ ที่ทยอยเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีก็ไม่ได้เข้าพบไห่หรูเยวี่ย ต่างถูกหลีอู๋ฮวาหาเหตุผลมาขัดขวางไว้…

หนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ควบม้าเข้าเมืองมาสองคน เดินทางมาอย่างไม่เร่งร้อนและไม่ได้ปิดบังอำพราง ปรากฏตัวขึ้นในเมืองด้วยโฉมหน้าจริง

หลังจากเข้าเมืองมาก็ไปพบกับฟางเจ๋อที่มารอรับก่อน แล้วทั้งสามถึงมุ่งหน้าไปยังจวนผู้ว่าการมณฑลพร้อมกัน

ส่วนอู๋เหล่าเอ้อร์ได้ล่วงหน้าเข้าเมืองมาก่อนแล้ว เดินทางไปยังศูนย์ประสานงานที่มณฑลหนานโจวก่อตั้งขึ้นทางนี้อย่างลับๆ แล้ว

หลังจากมาถึงที่หมาย ทั้งสามคนคอยอยู่หน้าประตูจวนผู้การมณฑลครู่หนึ่ง หลังจากยามเฝ้าประตูเข้าไปรายงานไม่นานนักก็มีคนนำทางทั้งสามเข้าสู่ด้านใน

จูซุ่นปรากฎตัวขึ้นรอรับอยู่ด้านใน พ่อบ้านคนนี้ดูชราวัยลงไปมาก สีหน้าอิดโรย

“พ่อบ้านจู พักผ่อนไม่พอหรือ?” พอพบหน้าหนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยถามไปเรื่อยเปื่อย

จูซุ่นยิ้มให้เล็กน้อย ไม่ได้พูดมาก ผายมือเชิญทั้งสามให้ตามเขาไป

ระหว่างที่เดินลึกเข้าสู่จวนผู้ว่าการมณฑล หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างแล้ว บ่าวไพร่ที่เดินสวนไปมาไม่ทำความเคาระจูซุ่นเลย

หนิวโหย่วเต้าพอจะมองออกรางๆ แล้ว ดูเหมือนพ่อบ้านคนนี้จะสูญเสียอำนาจในจวนผู้ว่าการมณฑลแห่งนี้ไปแล้ว

จูซุ่นเองก็ไม่มีทางบอกเล่าความทุกข์ยากลำบากใจในมณฑลจินโจวแห่งนี้ต่อคนนอกเช่นกัน

กองกำลังสายสกุลเซียวที่แท้จริงด้อยอำนาจในมณฑลจินโจวไปนานมากแล้ว

สมัยที่เซียวเปี๋ยซานยังอยู่สุขภาพอ่อนแอ เป็นไห่หรูเยวี่ยที่ออกหน้าดูแลตระกูล

เมื่อเซียวเปี๋ยซานจากโลกไป เซียวเทียนเจิ้นก็อ่อนวัยและอ่อนแอ ยังคงเป็นไห้หรูเยวี่ยที่ดูแลตระกูลอยู่

มณฑลจินโจวมีไห่หรูเยวี่ยเป็นตัวแทนตระกูลเซียวมาโดยตลอด ไปๆ มาๆ ไห่หรูเยวี่ยก็ปกครองมณฑลจินโจวมาเกือบยี่สิบปีแล้ว

คนเก่าคนแก่ที่เดิมทีจงรักภักดีต่อตระกูลเซียวส่วนใหญ่ล้วนย้ายข้างกันแล้ว ตอนไม่เกิดเรื่องก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอเกิดเรื่องขึ้นจูซุ่นถึงตระหนักได้ว่า กองกำลังเหล่านั้นที่เคยภักดีต่อตระกูลเซียวได้เปลี่ยนฝั่งไปภายในกลวิธีอันละมุนละม่อมของไห่หรูเยวี่ยแล้ว ตระกูลเซียวขึ้นอยู่กับไห่หรูเยวี่ย ไห่หรูเยวี่ยก็คือผู้นำตระกูลเซียว ตระกูลเซียวล่มสลายแล้ว แต่ของเพียงไห่หรูเยวี่ยยังอยู่ก็ไม่เป็นไร

ถึงขั้นที่ต่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็ไม่อาจก่อให้เกิดระลอกคลื่นในมณฑลจินโจวได้ ไห่หรูเยวี่ยเลี่ยนแปลงสถานะได้อย่างง่ายดาย

ตระกูลเซียวกลายเป็นอดีตสำหรับมณฑลจินโจวไปแล้ว เป็นอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว ในเมื่อวังสวรรค์หมื่นวิมานลงมือแล้วก็ไม่ต้องการให้ตระกูลเซียวมีอิทธิพลอันใดได้อีก ไม่ต้องการให้วันข้างหน้าเกิดเหตุวุ่นวายแก่งแย่งอันใดขึ้นในพื้นที่มณฑลจินโจวอีก ถึงอย่างไรก็ยังมีบุตรชายสกุลเซียวอยู่กับทางหมอผีอีกคน

ส่วนเขาที่เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของตระกูลเซียว เดิมทีหลีอู๋ฮวาต้องการจะเตะส่งเขาออกไป แต่เป็นไห่หรูเยวี่ยที่คำนึงถึงความทุ่มเทในหลายปีมานี้ของเขาจึงขอให้เก็บเขาไว้

ถึงแม้คนจะได้อยู่ต่อ แต่กลับเสียอำนาจไปแล้ว ถูกมองเป็นอากาศธาตุ พ่อบ้านคนปัจจุบันของจวนผู้ว่าการมณฑลคือศิษย์คนหนึ่งของหลีอู๋ฮวา

ยามที่พบหลีอู๋ฮวาในลานเรือน หนิวโหย่วเต้าก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน สังเกตเห็นว่าแม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างหลีอู๋ฮวาก็ยังมีสีหน้าอิดโรยเช่นกัน

หลีอู๋ฮวาไม่รอให้เขาได้แสดงมารยาทก็ถลึงตาแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามาทำไม?”

สำหรับแขกที่มาเยือนคนนี้ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทด้วยเลยจริงๆ เรื่องที่เคยจับตัวเซียวเทียนเจิ้นเป็นตัวประกันขู่วังสวรรค์หมื่นวิมานช่างตราตรึงยากจะลืมลงได้

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนผู้อาวุโสหลีวิวาห์ไม่ทันได้มาร่วมยินดี หวังว่าจะอภัยให้กันได้ พอทราบข่าวว่าผู้อาวุโสมีทายาทแล้วจึงมาแสดงความยินดีเป็นการเฉพาะ”

ตอนที่ทางนี้วิวาห์กับไห่หรูเยวี่ย เป็นเรื่องมที่เกิดขึ้นหลังศึกมณฑลหนานโจว เขาอยู่ระหว่างหลบซ่อนกบดาน ไม่อยากให้สำนักหยกสวรรค์ตามตัวพบด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้มาร่วมงาน

หลีอู๋ฮวาตวัดแขนเสื้อคราหนึ่ง “เจ้าไม่จำเป็นต้องแสดงความยินดี ทางข้าไม่ต้อนรับเจ้า!”

ไม่มีสีหน้าดีๆให้ ซ้ำยังไม่ไว้หน้าเลยสักนิด หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นหลานส่วน “ผู้อาวุโสหลี ฟังจากความหมายในวาจานี้ของท่าน หรือคิดจะเป็นตัวแทนวังสวรรค์หมื่นวิมานยุติพันธมิตรระหว่างจินโจวและหนานโจว? หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าก็จะจากไป แต่ข้าขอพูดจาระคายหูต่อหน้าสักหน่อยเถิด เมื่อข้าพ้นประตูจวนนี้ไป วังสวรรค์หมื่นวิมานจะต้องเสียใจภายหลัง!”

เดิมทีหลีอู๋ฮวาก็ร้อนใจนว้าวุ่นวแล้ว ตอนนี้ยังมาถูกคนเขาข่มขู่ซึ่งๆ หน้าอีก อยากตวาดไล่อีกฝ่ายให้ไสหัวไปจริงๆ!

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ร้อนใจจนเลอะเลือนไป รู้ซึ้งดีว่ามณฑลหนานโจวในปัจจุบันนี้ต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว แม้แต่สำนักหยกสวรรคืก็ยังถูกคนผู้นี้เตะส่งออกไปจากมณฑลหนานโจวได้ เขาไม่มีอำนาจพอจยุติการการเป็นพันธมิตรแทนมณฑลจินโจวได้ แต่อีกฝ่ายกลับมีอำนาจพอจะยุติดการเป็นพันธมิตรแทนมณฑลหนานโจว

ภาระหนักหนาถึงเพียงนี้ เขาแบกรับไม่ไหว มิเช่นนั้นเขาคงไม่ยอมปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าล่วงเข้าประตูมา

กัวหวันจินศิษย์ของหลีอู๋ฮวาผู้รับช่วงต่อจากจูซุ่นคอยดูแลเรื่องต่างๆ ในปัจจุบันนี้ รีบออกหน้าช่วยไกล่เกลี่ยหาทางลงให้อาจารย์ของตน “ช่วงนี้อาจารย์ได้รับความสะเทือนอารมณ์ ขอน้องหนิวอย่าได้ถือสาเลย”

หนิวโหย่วเต้าก็ไม่คิดจะแตกหักกับทางนี้เช่นกัน ยอมมอบทางลงให้ เอ่ยถามไปด้วยรอยยิ้ม “มีภรรยางดงามปานบุปผาซ้ำยังมีทายาทสืบสกุลแล้ว เป็นช่วงเวลาที่น่าปิติยินดี เรื่องใดกันที่ทำให้ผู้อาวุโสหลีอารมณ์เสียได้ขนาดนี้?”

กัวหวันจินก็ไม่ทราบว่าควรจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ดีหรือไม่ ตอนนี้ยังต้องเก็บเรื่องนี้เป้นความลับอยู่ ด้วยเกรงว่าหากมีข่าวแพร่ออกไปแล้วจะเกิดความวุ่นวายขึ้นในมณฑลจินโจว

ในเวลานี้เอง มีเสียงทารกร้องไห้ “แว้ๆ” แว่วเลือนรางมาจากทางด้านใน

หลีอู๋ฮวาหันกลับไปทันที สีหน้าเจือความร่อนรนกังวล เขาทราบดีว่าถึงช่วงที่ลูกน้อยจะต้องกินนมอีกครั้งแล้ว

ไม่อาจปล่อยให้ทารกน้อยนอนหลับไปตลอดโดยไม่กินอาหารได้ แต่ทันทีที่ตื่นทารกน้อยก็จะร้องไห้จ้า พอได้ยินเสียงร้องไห้ของบุตรชายเขาก็ร้อนรนกังวลใจขึ้นมาอีกครั้ง

กัวหวันจินก็อดไม่ได้ที่ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

หนิวโหย่วเต้าที่มีสัญชาตญาณเฉียบไวตระหนักอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยเนิบๆ ขึ้นว่า “ข้าต้องการพบองค์หญิงใหญ่”

หลีอู๋ฮวาหันกลับมาเอ่ยว่า “นางเพิ่งคลอดบุตร ไม่สะดวกพบแขก มีเรื่องใดกล่าวกับข้ามาก็ได้เช่นกัน”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ผู้อาวุโสหลี ข้าไม่ต้องการให้เกิดเรื่องที่จะกระทบต่อความเป็นพันธมิตรของทั้งสองฝ่าย ดูเหมือนจะเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นกับทางท่านแล้ว! ข้าจะพูดอีกครั้ง ข้าต้องการพบองค์หญิงใหญ่!”

ขวางไม่อยู่แล้ว ยิ่งขวางไม่ยอมให้พบ หนิวโหย่วเต้าก็ยิ่งตระหนักได้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้กับไห่หรูเยวี่ยแล้ว

ข้ออ้างที่ว่าเพิ่งคลอดบุตรไม่สะดวกพบปะคนอันใดเหลวไหลทั้งเพ หลังจากคลอดบุตรผ่านไปสักสามสี่วัน สตรีในครอบครัวชาวบ้านทั่วไปก็สามารถพบปะผู้คนได้แล้ว เขาจึงไม่เชื่อว่าสตรีที่มีกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรคอยช่วยบำรุงฟื้นฟูจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าจนไม่สามารถพบปะผู้คนได้

ขัดขวางไปก็ไร้ผล หนิวโหย่วเต้าจะต้องเข้าพบให้ได้ ต่อให้ต้องปะทะกันด้วยเหตุนี้ก็จำเป็นต้องทราบถึงความจริงให้ได้

สุดท้ายหลีอู๋ฮวาไม่มีทางเลือก ได้แต่พาเขาเข้าไปพบ

พอเข้าไปในห้องที่ไห่หรูเยวี่ยพักฟื้นอยู่ ศิษย์คนหนึ่งของวังสวรรคืหมื่นวิมานกำลังใช้พลังปราณช่วยจัดการเลือดลมให้ไห่หรูเยวี่ยอยู่พอดี

ไม่ได้มีศิษย์เพียงคนเดียวที่ยุ่งง่วนกับการรักษาอยู่ มีศิษย์หลายคนคอยผลัดเวรกันมาใช้พลังช่วยเหลือตลอดทั้งวัน ทางฝั่งทารกน้อยเองก็เช่นกัน

มาถึงขั้นนี้ไม่มีการคำนึงถึงธรรมเนียมชายหญิงมิพึงชิดใกล้อันใดแล้ว

ยามที่สาวใช้สองนางช่วยประคองไห่หรูเยวี่ยให้นอนลง หนิวโหย่วเต้าได้เห็นหน้าไห่หรูเยวี่ยแล้ว สองเนตรเลื่อนลอยไร้แวว สีหน้าซีดเซียว

ไห่หรูเยวี่ยก็มองเห็นเขาเช่นกัน ทันทีที่เห็นเขาก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที ราวกับเห็นผีก็มิปาน