บทที่ 403 เจ้าไม่คิดว่าเจ้าทำกันเกินไปหน่อยหรือ

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 403 เจ้าไม่คิดว่าเจ้าทำกันเกินไปหน่อยหรือ

เมื่อทายอาหารเย็นเสร็จใต้เท้าหู้กั๋วกงมองดูท้องฟ้า สีหน้าทะมึนยิ่งขึ้นหลายส่วน “เลยเวลานอนไปแล้ว”

โจวกุ้ยหลานก้มหน้าลงราวกับว่าตนเองไม่มีตัวตน และทำราวกับว่าตนเองไม่รู้สึกรู้สาถึงออร่าที่เขาแผ่ออกมา

“นายท่าน วันนี้คือวันพระจันทร์เต็มดวงขอรับ” พ่อบ้านสวีขานตอบ

หู้กั๋วกงเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวง ส่งเสียง “อืม” และออกจากห้องไป

เมื่อเขาจากไป โจวกุ้ยหลานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

แล้วมองดูเด็กทั้งสองคน ก็พบว่าเด็กทั้งสองคนก็ถอนหายใจน้อยๆ เช่นกัน

โจวกุ้ยหลานยื่นมือออกไป คิดจะเข้าไปกอดเสี่ยวรุ่ยอานที่อยู่ด้านข้าง พ่อบ้านสวีก็กลับมา

“คุณชายน้อยทั้งสองท่าน เตรียมน้ำร้อนพร้อมแล้วขอรับ นายท่านสั่งให้ทั้งสองท่านอาบน้ำแล้วเข้านอน”

โจวกุ้ยหลาน “…”

นี่วางแผนให้เด็กทั้งสองเรียบร้อยแล้วหรือ

โจวกุ้ยหลานกำลังจะเปิดปาก พ่อบ้านสวีที่อยู่ข้างๆ ก็ทำความเคารพนางอีกครั้ง “ฮูหยินน้อย นายท่านสั่งว่า คราวหน้าอย่าพลาดเวลาอาหารเย็นอีก”

นี่กำลังแสดงความไม่พอใจต่อนางในวันนี้สินะ…

โจวกุ้ยหลานหุบปากอย่างร้อนตัว

สายตาเด็กทั้งสองฉายแววไม่พอใจ โจวกุ้ยหลานโบกมือให้พวกเขา น้ำตาคลอบอกลาพวกเขา

คราวหน้า นางจะต้องปกป้องลูกชายทั้งสองในคราวหน้าให้จงได้ วันนี้…วันนี้ช่างมีใจจะทำแต่กำลังไม่พอเสียจริง…

สวีฉางหลินเดินไปด้านหลังโจวกุ้ยหลาน ยื่นมือไปวางบนบ่าของนาง บีบนวด เพื่อปลอบโยนนาง

โจวกุ้ยหลานหันหน้ามา ถามเขาแผ่วเบา “วันหน้าไม่มีทางที่ข้ากับลูกทั้งสองต้องใช้ชีวิตเช่นนี้อีกใช่หรือไม่”

“น่าจะ”

“ถ้างั้นพวกเราหย่ากันได้ไหม”

โจวกุ้ยหลานดิ้นรน

นี่ไม่ใช่เป็นการเอาตัวเองไปไว้บนเขียงหรือ

นัยน์ตาสวีฉางหลินฉายแววความปวดร้าว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเพ่งมอง “เจ้าหย่าได้ แต่เด็กสองคน ไปไม่ได้”

“ทำไม”

“พวกเขาคือบุตรของจวนหู้กั๋วกง เจ้าพาไปไม่ได้” สวีฉางหลินจ้องโจวกุ้ยหลานตาไม่กะพริบ

ใจโจวกุ้ยหลานสั่นสะท้าน นางเริ่มโมโห กัดริมฝีปาก จนได้กลิ่นคาวเลือด

สวีฉางหลินเอามือแตะริมฝีปากของนาง แยกฟันออกจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา ใช้นิ้วมือเช็ดเลือดจากริมฝีปากนาง

โจวกุ้ยหลานคว้ามือของเขา พูดอย่างกรุ่นโกรธ “ไม่ว่าอย่างไร ข้าล้วนตัดความสัมพันธ์ไม่ได้ คนบ้านแม่ข้าก็ตัดความสัมพันธ์ไม่ได้ เรื่องพวกนี้ เจ้าคำนวณไว้ตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่”

“ภรรยา…”

“เจ้าเคยคิดถึงครอบครัวพวกเราบ้างหรือไม่ เคยคิดถึงเด็กทั้งสองบ้างไหม เจ้าปิดบังข้าตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วทำให้ข้าเข้ามาพัวพันกับสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ เจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าทำกันเกินไปหน่อยหรือ”

หูของโจวกุ้ยหลานเต็มไปด้วยเสียงของตนเอง นางสัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองในน้ำเสียงตัวเองอย่างชัดแจ้ง แต่นางไม่อยากอดกลั้นเอาไว้ และยิ่งไม่คิดที่จะควบคุม

สวีฉางหลินไม่ตอบ ได้เพียงแต่มองนางอย่างแน่วแน่ ในดวงตาสื่ออารมณ์ที่นางไม่อาจเข้าใจ

ส่วนอารมณ์นี้จะหมายถึงอะไร โจวกุ้ยหลานไม่อยากรับรู้ นางได้ระบายออกไป ในใจจึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

สูดหายใจ ระงับอารมณ์ตนเอง แล้วกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าจะไปหาเสี่ยวจิ่วแล้ว”

พูดจบ ก็หันกายเดินจากไป

ใต้ความโกรธที่พลุ่งพล่าน นางไม่มีแรงที่จะหันกลับไปมองสายตาสวีฉางหลินที่มองนาง

โจวกุ้ยหลานเดินหน้าตามสาวใช้นำทาง เข้าไปในห้องของเสี่ยวจิ่ว

เดินไปถึงข้างกายเสี่ยวจิ่ว เห็นนางยังไม่ได้สติ

โจวกุ้ยหลานนั่งข้าง ๆ ดวงตาสะท้อนภาพขอบเตียง สายตาเหม่อลอย คิดว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างไร

มันผิดพลาดตั้งแต่แรก การกระทำทั้งหมดของนางผิดพลาดไปหมด

นางไม่ควรมาตามหาสวีฉางหลินที่เมืองหลวง ไม่ควรพาเด็กทั้งสองคนไปหาเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หากไม่มาเมืองหลวง ก็คงไม่เป็นอย่างทั้งหมดในตอนนี้

บางทีตอนนี้ควรจะหย่ากัน หากไม่รั้งอยู่ที่แคว้นเหลียงคงจะไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือไม่

หลายปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นราวกับวัชพืช จนนางได้สติกลับคืนมา นางก็คิดหาทางออกได้แล้ว

ส่วนสวีฉางหลิน…

นางกับเขาไม่ใช่คนทางเดียวกัน

โจวกุ้ยหลานรู้สึกเริ่มปวดหัว และเริ่มหายใจไม่ออก นางคิดว่าอาจเพราะช่วงนี้ตนนอนน้อยเกินไป มองไปทางเสี่ยวจิ่วเห็นนางยังคงนอนอย่างสงบนิ่ง โจวกุ้ยหลานค้นหาไปรอบๆ ห้อง เจอผ้านวมผืนหนึ่ง คลุมบนร่างแล้วพิงเก้าอี้หลับไป

แต่ก็ตื่นขึ้นตลอดทั้งคืน นางบังคับตัวเองให้หลับครั้งแล้วครั้งเล่า การขดตัวนอนมันอึดอัดเกินไป จึงเหยียดขาลงบนพื้น

ในเมื่อนั่งเมื่อยเกินไป จึงนอนคว่ำ

ไม่ง่ายเลยที่จะผ่านพ้นยามค่ำคืนจนสาวใช้มาปลุก เมื่อเปิดประตู ก็เห็นสาวใช้สามคนของเมื่อวานยืนถืออุปกรณ์ล้างหน้าอยู่ข้างนอก ด้านหน้าสุด คือเสี่ยวฉาน

โจวกุ้ยหลานเบี่ยงกายให้พวกนางเข้ามา แล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เสี่ยวฉานดึงเก้าอี้ออก หยิบหวีขึ้นมา กล่าวกับโจวกุ้ยหลานด้วยความเคารพว่า “ฮูหยินน้อยเชิญนั่งเจ้าค่ะ”

โจวกุ้ยหลานก็ไม่เกรงใจ นั่งลงมา

เสี่ยวฉานนั้นเป็นคนที่ประพฤติตัวเรียบร้อย สางผมก็ดี

โจวกุ้ยหลานปล่อยให้นางทำ แล้วให้สาวใช้อีกสามคนออกไป

หลังจากเหลือเพียงนางและเสี่ยวฉานในห้อง โจวกุ้ยหลานจึงเปิดปาก “ภายภาคหน้าเจ้าจะติดตามข้าไปหรือไม่”

“เจ้าค่ะฮูหยินน้อย”

เสี่ยวฉานตอบด้วยความเคารพ

โจวกุ้ยหลานพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรมากอีก

หลังจากแต่งตัวเรียบร้อย โจวกุ้ยหลานก็เดินตามนางออกไป และถูกพาไปที่ห้องอาหารอีกครั้ง

ตอนนี้สวีฉางหลินนั่งอยู่ที่โต๊ะ เด็กทั้งสองคนงัวเงียเล็กน้อย

โจวกุ้ยหลานเดินมานั่งตรงข้ามสวีฉางหลิน ยื่นมือไปโอบเสี่ยวรุ่ยอาน อุ้มเขาไว้ในอ้อมอกตนเอง เสี่ยวรุ่ยอานหาตำแหน่งที่สบาย หาวแล้วนอนคว่ำหน้าหลับไป

“หลับไม่สบายหรือ” สวีฉางหลินถาม

โจวกุ้ยหลานส่งเสียง “อืม” ไม่ทันจะได้พูดอะไรมาก ใต้เท้าหู้กั๋วกงก็เข้ามา

นางระงับความนึกคิดในใจ ก้มหน้าทานข้าว

มื้ออาหารเช้าที่น่าอึดอัด พอใต้เท้าหู้กั๋วกงไปแล้ว เด็กทั้งสองคนก็ถูกพาตัวไปอีกครั้ง

เมื่อเห็นสวีฉางหลินยืนขึ้น โจวกุ้ยหลานรีบเปิดปากเรียกเขาไว้ “สวีฉางหลิน”

สวีฉางหลินหยุดชะงัก นั่งลงทันที สีหน้าผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

“มีอะไรหรือ”

โจวกุ้ยหลานระงับความคิดในใจ พยายามพูดอย่างใจเย็น “ข้าอยากให้ลูกทั้งสองคนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ตอนนี้พวกเขาเหน็ดเหนื่อยกันเกินไปแล้ว”

ใบหน้าสวีฉางหลินฉายแววผิดหวัง เลื่อนนิ้วลงบนโต๊ะสองครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้น มองโจวกุ้ยหลาน “ตระกูลสวีไม่มีการพักผ่อน”

“แต่พวกเขายังเด็ก ต้องตื่นแต่เช้าทุกวัน ร่างกายทนไม่ไหวหรอก” โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ที่จะโต้แย้ง

เสียงของสวีฉางหลินก็เย็นชาขึ้นหลายส่วน “ข้าก็ใช้ชีวิตเช่นนี้มาเหมือนกัน”

พูดจบ เห็นสีหน้าโจวกุ้ยหลานผิดแปลกไป เขาจึงเอ่ยเสียงอ่อนลง “ตอนนี้ยิ่งหมั่นเพียร วันหน้าถึงจะยิ่งรักษาชีวิตรอดได้”

โจวกุ้ยหลานก้มหน้า ไม่ตอบรับอีก

นางคิดว่าการพาลูกกลับมาหาสวีฉางหลินจะทำให้มีความสุข แต่ความจริงในตอนนี้กำลังบอกนางว่า มันไม่ใช่ แม้นางจะอยากย้อนกลับไป ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

“เจ้าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี” สวีฉางหลินยืนขึ้นกำหมัดแน่น แล้วเดินออกไป

เมื่อเท้าข้างหนึ่งยกขึ้นกำลังจะข้ามธรณีประตู เขาก็ชักเท้ากลับ หันหน้ามา ชี้แจงโจวกุ้ยหลานอีกครั้ง “ทนทุกข์ทรมานสักหน่อยจะเป็นการดีต่อพวกเขา”

โจวกุ้ยหลานส่งเสียง “อืม” แล้วไม่ตอบอะไรอีก

“คุณชาย ท่านต้องออกเดินทางแล้ว มิฉะนั้นจะพลาดประชุมเช้าขอรับ”