นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา ตอนที่ 404 หนิงหนิงเหนื่อยยิ่งนัก
เสียงของพ่อบ้านสวีดังออกมาจากด้านนอก
สวีฉางหลินขานรับ หันหน้ามามองโจวกุ้ยหลาน กัดฟัน แล้วก้าวเท้าออกไป
ไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ห่างออกไป
โจวกุ้ยหลานก็เดินตามสาวใช้ไปที่ห้องของตนเอง เมื่อเข้าไปแล้ว จึงให้คนเอาน้ำร้อนเข้ามาในห้อง ช่วยเช็ดตัวให้เสี่ยวจิ่ว ปลุกนาง ป้อนอาหารให้นางกิน ดูแลนางที่กำลังหลับใหล และมองออกไปข้างนอก
วันเวลาเช่นนี้ผ่านมาแล้วสามวัน ภายใต้การดูแลของนางเสี่ยวจิ่วฟื้นตัวขึ้นมาไม่น้อย เสี่ยวลิ่วมาบ้างเป็นครั้งคราว โจวกุ้ยหลานได้ทำการติดต่อมากมาย จึงทำให้เข้าใจสถานการณ์อารักขาข้างกายสวีฉางหลิน
จนเสี่ยวจิ่วเริ่มดีขึ้น โจวกุ้ยหลานถึงปลีกตัวออกมา ไปพบพวกเหล่าไท่ไท่
พอนางไปหา ถึงได้รู้ว่าพี่สาวใหญ่กับพวกเด็กออกไปรับจ้างซักผ้าเพื่อเสริมรายได้ครอบครัว โจวต้าซานกับพวกผู้ชายก็ออกไปหางานทำเช่นกัน เหลือพวกเด็กผู้ชายช่วงวัยเยาว์ นั่งฟังอาจารย์บรรยายบทเรียนอยู่ในห้อง
โจวกุ้ยหลานช่วยเหล่าไท่ไท่เด็ดผัก และคุยเล่นกับเหล่าไท่ไท่
“อ๊ะ เทียบกับตอนหลบอยู่ในถ้ำแล้ว ตอนนี้ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์เลยล่ะ!”
เหล่าไท่ไท่ทอดถอนใจ
สามวันมานี้ สีหน้าเหล่าไท่ไท่ดีขึ้นไม่น้อย ไม่แก่โทรมเหมือนที่เห็นเมื่อสองสามวันก่อน
มือโจวกุ้ยหลานหยุดชะงัก จากนั้นเด็ดผักต่อ “ชีวิตเช่นนี้จะใช้ที่ใดก็เหมือนกัน ทุกวันนี้ข้าได้แต่มองรุ่ยอานกับรุ่ยหนิงแค่ตอนกินข้าว ชีวิตทุกวันนี้ไม่ดีเลย”
“อ๊ะข้าว่า เจ้าจะพาข้าไปเจอเด็กทั้งสองคนเมื่อไร ข้ามาตั้งหลายแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่เตรียมพาพวกข้าไปเจอบ้านสามีอะไรนั้นหน่อยเล่า”
โจวกุ้ยหลานยังคงเด็ดผักต่อไป “พวกเขายุ่งอยู่กับการเรียนทั้งวัน พาออกมาไม่ได้ กฎของจวนหู้กั๋วกงเข้มงวด ต่อให้ข้าพูดก็ไม่ได้”
“จะดีจะร้ายอย่างไรก็เป็นครอบครัวที่มีฐานะนะ อย่างไรก็ไม่อาจเหมือนพวกเราชาวบ้านได้ เด็กเอ๋ย พวกข้าทำให้เจ้าเสียหน้าหรือเปล่า”
โจวกุ้ยหลานได้ยินน้ำเสียงที่ระมัดระวังของเหล่าไท่ไท่ ใจสั่นไหว จึงเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “จะเป็นไปได้อย่างไร พวกเราไม่ได้รับเกียรติจากจวนหู้กั๋วกงพวกเขาด้วยซ้ำ”
“แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นสะใภ้ของตระกูลพวกเขา ครอบครัวพวกเรามาเมืองหลวงหลายวันแล้ว หู้กั๋วกงนั้นก็ไม่ได้บอกจะมาเจอพวกเรา…”
เหล่าไท่ไท่กลุ้มใจ รู้สึกไม่สบายใจ
บุตรสาวของนางเป็นคนดี แต่ตอนนี้ครอบครัวพวกเขากินดื่มของบุตรสาว มีลูกสะใภ้เช่นนี้จะมีความสุขได้อย่างไร
“ท่านแม่ ข้ากำลังจะคุยเรื่องนี้กับท่านพอดีเลย ตอนนี้แคว้นเหลียงของพวกเราไม่สงบ และเมืองหลวงนั้น ก็โกลาหลมากเช่นกัน ข้าหารือกับสวีฉางหลินแล้ว ครอบครัวพวกเราออกไปหลบซ่อนก่อนดีไหม รอจนผ่านช่วงนี้ไปค่อยกลับมา”
“เมืองหลวงก็ยังไม่สงบได้หรือ แต่ที่นี่เทียบกับหมู่บ้านต้าสือพวกเราดีกว่าอีกนะ”
เหล่าไท่ไท่เริ่มรู้สึกสับสน
เหตูไดบุตรสาวอยู่ดีๆ ก็ว่าแบบนี้
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “เป็นเพราะท่านไม่ได้ออกไปดู ตอนนี้น่ะ โกลาหลมาก ตอนนี้องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองของพวกเรากำลังต่อสู้อย่างดุเดือด ทั้งพวกเราเป็นญาติกับจวนหู้กั๋วกงข้ากลัวว่าจะมีใครลงมือกับพวกเรา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีย่อมดีกว่า”
เหล่าไท่ไท่ตกตะลึง “นี่มันเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราเล่า”
“ใช้พวกเรามาข่มขู่สวีฉางหลินไง ในบทงิ้วก็มีออกจะบ่อยไม่ใช่หรือ”
ขณะโจวกุ้ยหลานพูด ก็ถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ข้ากับเด็กทั้งสองคนเคยถูกลักพาตัว หากไม่ใช่เพราะสวีฉางหลิน พวกเราสามแม่ลูกคงจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว”
“ห๊า เรื่องนี้เมื่อไรกัน ทำไมเจ้าถึงไม่บอกแม่”
เหล่าไท่ไท่ร้อนรน พยายามที่จะดูว่าโจวกุ้ยหลานได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่
โจวกุ้ยหลานก็ไม่ปิดบังนาง บอกเรื่องนี้กับเหล่าไท่ไท่
เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องตอนที่พวกเขามาวันนั้น ในใจเหล่าไท่ไท่ก็เป็นทุกข์ แล้วพูดไม่หยุดว่าเป็นเพราะตนเองทำให้พวกเขาเดือดร้อน
โจวกุ้ยหลานปลอบประโลม ถึงทำให้เหล่าไท่ไท่รู้สึกสบายใจ
“ดังนั้นข้าว่า ให้พวกท่านหาที่ซ่อนตัวใช้ชีวิตไปก่อน รอจนข่าวลือซาไป พวกท่านค่อยกลับมามีชีวิตที่ดี ดีหรือไม่”
“ข้าก็ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้พวกเจ้า แต่ครอบครัวใหญ่เช่นนี้ พวกเราจะไปที่ไหนได้ อีกอย่าง ครอบครัวเราไม่เคยออกไปข้างนอกเลย เอ่อ…”
เหล่าไท่ไท่จะมีความสามารถเพียงใด แต่เวลาเช่นนี้ก็หวาดผวาเช่นกัน
“ข้าจะหาคนไปช่วยเหลือ ท่านแม่ก็หารือเรื่องนี้กับลุงใหญ่กับคนอื่นๆ อย่าเพิ่งพูดอะไร”
โจวกุ้ยหลานกำชับโดยเฉพาะ
เหล่าไท่ไท่พยักหน้าซ้ำๆ บอกว่าเมื่อโจวต้าซานกลับมา จะหารือกับเขา
กินข้าวแล้ว โจวกุ้ยหลานก็ไปที่ร้าน
เมื่อเข้าร้านถึงรู้ว่าไป๋ยี่เซวียนไม่ได้มาที่ร้านหลายวันแล้ว พวกคนรับใช้ในร้านก็คงทำงานตามปกติ ซึ่งก็ยังดี
โจวกุ้ยหลานประหลาดใจ เดาว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับไป๋ยี่เซวียน
นางสอบถามเล็กน้อย ก็ไปหาแม่ค้านายหน้าคนนั้นที่อยู่ใกล้ๆ แล้วคุยเรื่องที่ตนหาคนมาสร้างสำนักบัณฑิตกับแม่ค้านายหน้า แม่ค้านายหน้าจึงรีบไปหาผู้ชายของนาง
โจวกุ้ยหลานพูดคุยเรื่องต่างๆ กับผู้รับเหมาจนเรียบร้อย รู้สึกว่าชายคนนี้ค่อนข้างน่าเชื่อถือ จึงมอบหมายเรื่องนี้ให้เขา ชายผู้นั้นได้รับงานที่ใหญ่ขนาดนี้ มีความสุขมาก แทบจะยกย่องโจวกุ้ยหลานเป็นบรรพบุรุษ
เขารับรองซ้ำๆ ว่า เรื่องนี้จะต้องเรียบร้อยแน่นอน
โจวกุ้ยหลานกับเขาลงนามในสัญญา แล้วให้แม่ค้านายหน้าไปที่หยาเหมินทำเรื่องรับรองเอกสาร
เมื่อมองดูท้องฟ้า เห็นว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว จึงนั่งรถม้ากลับไปกินข้าวเย็น
คราวนี้นางถึงก่อนเวลานั่งโต๊ะอาหาร จึงยังไม่มีใคร นางรออย่างเงียบๆ เมื่อถึงเวลา เด็กทั้งสองคนเดินเข้ามาห้องอาหารด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
หลังจากเห็นโจวกุ้ยหลาน เด็กทั้งสองก็ยิ้มตาหยี ความเหนื่อยล้าบนใบหน้าหายไปไม่น้อย
โจวกุ้ยหลานเห็นพวกเขาทั้งสองคน ก็รีบลุกขึ้น เร่งเท้าเดินเข้ามา มือแต่ละข้างโอบแต่ละคนไว้ในอ้อมอก
“ท่านแม่ หนิงหนิงเหนื่อยยิ่งนัก…”
เสี่ยวรุ่ยหนิงที่ซนเหมือนลิง มีเรี่ยวแรงที่ใช้ทั้งวันก็ไม่หมด แต่ตอนนี้กลับบอกว่าเหนื่อย
โจวกุ้ยหลานยกมือตบแขนเขาเบาๆ เสี่ยวรุ่ยหนิงร้องอุทาน
นางรีบปล่อยเด็กทั้งสอง จับแขนเสื้อของเสี่ยวรุ่ยหนิง เลิกขึ้นมา เดิมทีอยากจะดูแขนของเขา แต่เมื่อเห็นข้อมือที่บวมและมีรอยฟกช้ำของเสี่ยวรุ่ยหนิง หัวใจราวกับถูกแทงอย่างแรง
“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร”
“ตอบฮูหยินน้อย ตอนนี้คุณชายน้อยทั้งสองท่านกำลังเรียนวรยุทธ์ขอรับ” พ่อบ้านสวีตอบด้วยความนอบน้อม
โจวกุ้ยหลานจิ้มข้อมือที่บวมอย่างรุนแรงเบาๆ ขมวดคิ้วไม่ยอมคลาย “เด็กเล็กขนาดนี้ กระดูกยังอ่อนอยู่ จะเรียนวรยุทธ์ได้อย่างไร”
พ่อบ้านสวีเข้าใจว่าโจวกุ้ยหลานไม่ได้ถามเขา จึงยืนเงียบๆ ไม่เอ่ยเสียง
โจวกุ้ยหลานช่วยเสี่ยวรุ่ยหนิงดึงเสื้อผ้าลงมา แล้วหันร่างไป เลิกเสื้อผ้าของเสี่ยวรุ่ยอาน
หลังมือขาวเนียนเต็มไปด้วยรอยแดง ทั้งมือบวมพอง เหมือนกุบข้อต่อมือจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
เมื่อเห็นเช่นนี้ เสี่ยวรุ่ยอานดูอาการร้ายแรงยิ่งกว่าเสี่ยวรุ่ยหนิง
มือโจวกุ้ยหลานกอดเสี่ยวรุ่ยอานไว้ ถามอย่างปวดใจ “เจ็บหรือไม่”
“เจ็บ…” เสี่ยวรุ่ยอานที่รู้ความอยู่เสมอ ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมา
ความโกรธในใจโจวกุ้ยหลานพลุ่งพล่านขึ้นมา นี่มันใช่การสั่งสอนเด็กที่ไหนกัน นี่แทบจะใช้เด็กทั้งสองคนเป็นคนเหล็กในการฝึกฝนไม่ใช่หรือไร