บทที่ 549 การเปลี่ยนแปลงสถานะ

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 549 การเปลี่ยนแปลงสถานะ

บทที่ 549 การเปลี่ยนแปลงสถานะ

“อะไรนะ?!” ซูอันตกใจมาก เขาจับมือเว่ยหงเต๋อทันที “พี่เว่ยมีวิธีช่วยข้างั้นเหรอ?”

เว่ยหงเต๋อยิ้ม “อันที่จริงไม่ใช่ข้าหรอก แต่เป็นท่านพ่อของข้าต่างหาก”

การแสดงออกของซูอันเริ่มมืดมน “นี่ท่านพยายามล้อเล่นกับความรู้สึกข้าหรือไง?”

“เจ้าเข้าใจข้าผิดน้องซู” เว่ยหงเต๋อกล่าว “มิตรภาพของเจ้ากับเว่ยสั่วเป็นเหตุผลที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ และอีกอย่าง เจ้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดของตระกูลฉู่ที่ข้าจะเข้าหา แต่รุ่นเยาว์อย่างข้าและเจ้าก็ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจใด ๆ หรอก”

ซูอันอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนถูกดูถูก?”

เห็นได้ชัดว่าเว่ยหงเต๋อหมายความว่าบุคคลระดับสูงของตระกูลฉู่ต้องไปพบกับเว่ยต๋าเป่าเพื่อหารือเรื่องนี้

เว่ยหงเต๋อยิ้ม “ข้าพูดตรงไปตรงมาเพราะมิตรภาพของเจ้ากับเว่ยสั่ว ข้าหวังว่าน้องซูจะยกโทษให้ข้า ถ้าข้าทำให้เจ้าขุ่นเคือง”

ซูอันบ่น “อย่างน้อย ๆ ท่านช่วยเผยข้อมูลมาสักหน่อยจะได้ไหม? ไม่อย่างนั้น ข้าจะกลับไปรายงานกับตระกูลฉู่ได้อย่างไร?

หลังจากลังเลเล็กน้อย ในที่สุดเว่ยหงเต๋อก็พูดว่า “เราได้ยินมาว่าตระกูลฉู่ต้องการการสนับสนุนทางการเงิน เราสามารถให้ความช่วยเหลือเจ้าได้ ส่วนเรื่องอื่นนอกจากนี้ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดเพิ่มเติมจริง ๆ”

ซูอันตัวสั่น ตระกูลเว่ยพยายามที่จะเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ดอกโหดหรือไม่?

ตระกูลเว่ยมีสถานะต่ำในเมืองจันทร์กระจ่าง ทุกคนรู้ว่าตระกูลของพวกเขามีรากฐานมาจากเมืองหลวง และพอมีเส้นสายภายในราชสำนัก แต่มันก็เท่านั้น

ตระกูลเว่ยไม่ได้มีส่วนร่วมในกิจการใดของเมืองจันทร์กระจ่าง เกือบจะเปรียบได้ว่าพวกเขาไม่มีตัวตน ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าพวกเขาคงกลัวที่จะไปขัดแข้งขัดขากับกลุ่มอำนาจที่อยู่ในเมืองจันทร์กระจ่างกลุ่มอื่น ๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ตระกูลเว่ยแทบจะไร้ความสำคัญในเมืองนี้ แต่แล้วเหตุใดตอนนี้ตระกูลเว่ยกลับวางแผนที่จะช่วยเหลือตระกูลฉู่จากวิกฤตที่พัวพันกับขั้วอำนาจใหญ่เช่นนี้?

หลังจากกล่าวคำอำลากับเว่ยหงเต๋อแล้ว ซูอันก็รีบกลับไปที่ตระกูลฉู่ เขาเข้าพบฉินหว่านหรูและบอกนางเกี่ยวกับข้อเสนอของตระกูลเว่ย

ชายหนุ่มไม่ได้บอกข้อมูลเกี่ยวกับใบอนุญาตค้าเกลือ เนื่องจากไม่รู้ว่าตัวเองจะใช้ข้อมูลนี้อย่างไร นอกจากนี้ข้อมูลยังมาจากชิวฮัวเล่ย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาที่จะแบ่งปันกับนาง

ฉินหว่านหรูเรียกผู้ช่วยที่ไว้ใจได้ของตระกูลฉู่มาประชุมทันที และเชิญสมาชิกตระกูลสายที่สองและสามด้วยเช่นกัน

ซูอันรู้สึกสับสน “ตระกูลสายที่สองและสามเปรียบได้กับหมาป่าที่หิวกระหาย ทำไมท่านต้องคุยเรื่องนี้กับพวกเขาด้วย?”

ฉินหว่านหรูส่ายหัว “แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นเช่นนั้น แต่พวกเขาก็ยังเป็นสมาชิกของตระกูลฉู่ หากตระกูลฉู่พังพินาศ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขาเช่นกัน พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องช่วยพวกเราผ่านวิกฤตนี้”

ซูอันไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของนาง มีหลายกรณีในประวัติศาสตร์ที่ความขัดแย้งภายในทำให้ตระกูลใหญ่พังพินาศหรือแม้แต่ประเทศชาติล่มสลายก็มีมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฉินหว่านหรูก็เป็นผู้หญิงที่ดื้อรั้น และซูอันก็ไม่ได้โง่พอที่จะทะเลาะกับนางในเรื่องนี้

คนกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอย่างรวดเร็วในห้องโถงหลัก บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งที่ฉู่ชูเหยียนพูดก่อนที่นางจะจากไป หรือเพราะซูอันเป็นคนนำข้อมูลนี้กลับมา ฉินหว่านหรูจึงไม่ได้ไล่เขาออกไป แถมให้ชายหนุ่มได้เป็นส่วนหนึ่งของการประชุมที่สำคัญนี้

คนอื่น ๆ ที่มาต่างตกใจที่เห็นซูอันเข้าร่วมการประชุม ไม่ว่าจะเป็นฉู่เทียนเซิง ฉู่เยว่พั่ว พ่อบ้านหงจง และแม้แต่หัวหน้ากองทหารประจำตระกูลอย่างเยว่ซาน

นี่หมายความว่าตอนนี้ซูอันเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีอำนาจตัดสินใจของตระกูลฉู่อย่างเป็นทางการแล้ว

ก่อนการประชุมครั้งนี้ เขาเป็นเพียงลูกเขยขยะที่ไม่มีใครสนใจ อย่างไรก็ตาม หลังจากวันนี้ ไม่มีใครในตระกูลฉู่จะกล้าดูถูกเขาอีก

ฉู่เทียนเซิงยังคงสงสัยในเรื่องนี้ แต่ฉู่เยว่พั่วสะกิดมือเขาเพื่อห้ามปราม ฉู่เยว่พั่วพูดผ่านพลังชี่ว่า “ตอนนี้ฮูหยินอยู่คนเดียวแล้ว นางต้องการใครสักคนเพื่อช่วยรักษาศักดิ์ศรีของนาง ปล่อยให้นางทำในสิ่งที่นางต้องการเถอะ”

ฉู่เทียนเซิงรับคำแนะนำของอีกฝ่ายและตัดสินใจที่จะไม่เปิดประเด็น อย่างไรก็ตาม เขายังคงถามต่อไปว่า “พี่สะใภ้ ทำไมชูเหยียนไม่อยู่ที่นี่?”

ฉินหว่านหรูกล่าวว่า “ชูเหยียนออกไปทำธุระสำคัญ ดังนั้นวันนี้นางจะไม่เข้าร่วมประชุมกับเรา”

นางไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม และดูเหมือนว่านางไม่มีความคิดที่จะเปิดเผยอะไรอีก

คนอื่น ๆ ที่อยู่ในห้องโถงต่างมองหน้ากัน พวกเขาทั้งหมดเริ่มสงสัยว่าฉู่ชูเหยียนหายไปไหน

ฉินหว่านหรูกระแอมเพื่อเรียกร้องความสนใจอีกครั้ง จากนั้นนางก็สรุปข้อเสนอของตระกูลเว่ย

ผู้คนต่างกระซิบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อกันเมื่อฟังนางพูดจบ

ฉู่เทียนเซิงเป็นคนแรกที่พูดความคิดของเขาขึ้นมา “มีบางอย่างที่ข้ารู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตระกูลเว่ยคงสถานะต่ำมานานหลายปี ทำไมพวกเขาถึงเลือกที่จะมีส่วนร่วมในตอนนี้? พวกเขากำลังวางแผนอะไรบางอย่างแน่ ๆ”

ฉู่เยว่พั่วมีความคิดที่แตกต่างไป “จากที่ข้ารู้ มีกลุ่มอิทธิพลลับในเมืองจันทร์กระจ่างที่ให้เงินกู้แก่ตระกูลที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่ กลุ่มอิทธิพลนี้เต็มไปด้วยความลึกลับอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ดูเหมือนว่าอาจเป็นตระกูลเว่ยที่เป็นกลุ่มอิทธิพลลับนั้น และตอนนี้เรากำลังต้องการเงินพอดี ข้าไม่เห็นปัญหาใด ๆ กับการกู้ยืมเงินจากพวกเขา”

ฉินหว่านหรูยังคงไม่ออกความคิดเห็น นางมองไปที่พ่อบ้านของพวกเขาแทน “พ่อบ้านหงคิดอย่างไร?”

ตระกูลหงรับใช้ตระกูลฉู่มาหลายชั่วอายุคน หงจงเป็นบุคคลที่มีไหวพริบและประสบการณ์ เขาเคยรับใช้ผู้นำคนก่อนของตระกูลฉู่ เขายังได้รับการยกย่องอย่างสูงภายในตระกูล และฉินหว่านหรูก็ให้ความเคารพเขาอย่างมาก

น้ำเสียงของหงจงจริงจัง “ตระกูลเว่ยมีราชสำนักคอยสนับสนุน ข้าอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าข้อเสนอนี้มาจากจักรพรรดิหรือไม่ ข้าสงสัยว่าจักรพรรดิกำลังใช้เรื่องเงินกู้นี้เป็นอีกทางหนึ่งเพื่อจัดการกับเราหรือเปล่า?”

คนอื่น ๆ บางส่วนพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของเขา แม้แต่ซูอันก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาอย่างเพ่งพินิจ ชายชราผู้นี้คู่ควรแก่การเป็นพ่อบ้านของตระกูลฉู่จริง ๆ! ดูเหมือนว่าเขาจะมีความรู้และประสบการณ์มากกว่าคนทั่วไป

ว่าแต่ทั้ง ๆ ที่เขาฉลาดขนาดนี้ ทำไมกลับได้ให้กำเนิดลูกชายที่โง่เขลาเช่นนั้น?

ไม่สิ อันที่จริงแล้วหงซิงอิงนั้นจัดได้ว่าเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถโดดเด่นเมื่อเทียบกับคนทั่วไป แต่เขาเป็นคนที่ไม่ฉลาดเฉลียวและสุขุมเท่ากับพ่อของเขาเลย!

พูดถึงเรื่องนี้ ข้าไม่ได้เห็นไอ้เด็กนั่นมาสักพักแล้ว ข้าทำให้เขากลัวเกินไปงั้นเหรอ? ดูเหมือนเขาจะหลบหน้าข้าตอนอยู่ที่สถาบันจันทร์กระจ่างด้วยอีกต่างหาก

ในขณะที่ซูอันจมอยู่ในความคิด ฉู่เยว่พั่วก็พูดขึ้นอีกครั้ง “มันอาจจะไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิดเลยก็ได้ จากที่ข้ารู้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงทุกคนในเมืองหลวงนั้นมั่งคั่งเหลือล้น แต่พวกเขาก็ไม่อาจทำธุรกิจอย่างเปิดเผย เพราะเมืองหลวงมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากมาย ดังนั้นหลายคนจึงพึ่งพาคนกลางเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ซึ่งตระกูลเว่ย น่าจะเป็นหนึ่งในคนกลางเหล่านั้น ราชสำนักอาจสนับสนุนพวกเขา แต่อาจไม่ใช่ตัวจักรพรรดิเอง อาจเป็นหนึ่งในนางสนมของจักรพรรดิ ขันทีในวัง หรือแม้แต่ขุนนางบางคนในเมืองหลวง…ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ข้าคิดว่าโอกาสที่จะเป็นจักรพรรดินั้นต่ำมาก”

ความคิดเริ่มแตกออกเป็นสองฝั่ง ซึ่งทั้งสองได้ให้ข้อโต้แย้งที่น่าสนใจ

ซูอันมองเยว่ซานอย่างอยากรู้อยากเห็น ตลอดเวลาผู้ชายคนนี้ไม่ได้พูดอะไรเลย

ชื่อของเขาเหมาะสมกับเขาเหมือนถุงมือ เขามั่นคงและเชื่อถือได้เหมือนภูเขา ไม่น่าแปลกใจที่เขายังคงรักษาตำแหน่งผู้ใต้บังคับบัญชาที่น่าเชื่อถือที่สุดของฉู่จงเทียนเอาไว้ได้นานขนาดนี้

ฉินหว่านหรูยอมให้การสนทนารอบตัวนางดำเนินต่อไปอีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงออกคำสั่งอีกครั้ง “มันยากที่จะบอกว่าแรงจูงใจของตระกูลเว่ยในตอนนี้คืออะไร อย่างไรก็ตาม ตระกูลฉู่ของเราต้องการเงิน ดังนั้นอย่างน้อย ๆ เราต้องไปพบกับพวกเขา”

ความคิดที่ว่าฉู่ชูเหยียนและตัวนางเองต้องไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น มันทำให้นางหดหู่ ภาพของเหตุการณ์ที่นางถูกผู้นำตระกูลหลี่พยายามเอาเปรียบยังติดอยู่ในหัวของนางอยู่เลย!

นางไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้งใด ๆ เพิ่มเติม “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำอะไรเกินตัว การพบปะกับพวกเขาไม่ได้หมายความว่าข้าจะลงเอยด้วยการขอยืมเงิน เราจะตัดสินใจอีกทีหลังจากที่ข้าได้ยินสิ่งที่พวกเขาเสนอ”

สิ่งนี้ช่วยระงับการต่อต้านจากคนอื่น ๆ

เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง ซูอันทำท่าจะเดินออกไป แต่ฉินหว่านหรูกลับหยุดเขาไว้

“เจ้าต้องไปคฤหาสน์ตระกูลเว่ยกับข้า!”