บทที่ 510 มารสวรรค์รุกราน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 510 มารสวรรค์รุกราน

หานเจวี๋ยเลือกดำเนินการต่อ เขาก็เริ่มเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

ยมโลก ริมแม่น้ำปรโลก

จักรพรรดินีผืนพิภพยืนอยู่ริมแม่น้ำ โดยมีหยางเทียนตงนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหลัง

ที่นี่อีกแล้ว

หานเจวี๋ยพูดไม่ออก เหตุใดจักรพรรดินีผืนพิภพถึงเอาแต่เลือกแม่น้ำปรโลกเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนเรื่องราว วางแผนลับกันอย่างประเจิดประเจ้อเช่นนี้

ขอฟังดูหน่อยเถอะว่าพวกเขาจะพูดอะไร!

หยางเทียนตงเป็นฝ่ายเอ่ยปากคนแรก “ไม่ทราบว่าองค์จักรพรรดินีเรียกข้ามา มีเรื่องอันใดหรือขอรับ”

จักรพรรดินีผืนพิภพกล่าวว่า “ช่วงนี้สำนักซ่อนเร้นเผชิญวิกฤต เจ้าจงเป็นตัวแทนเมืองนรกไปแสดงความห่วงใยสักหน่อย ไม่ต้องกลัวว่ากลุ่มอิทธิพลอื่นจะคิดเช่นไร”

ฟังจบ หยางเทียนตงก็ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก “ขอบพระคุณมากๆ ขอรับองค์จักรพรรดินี!”

แม้ว่าจะกลับชาติมาเกิดหลายครั้ง แต่เขาก็ยังจดจำได้เสมอว่าตนคือศิษย์เอกสำนักซ่อนเร้น

“การไปเยือนสำนักซ่อนเร้นครั้งนี้สำคัญมาก อย่าได้ทำตัวเสียมารยาท อาจารย์ของเจ้าคอยปกป้องข้ามาตลอด แม้จะถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เมืองนรกก็ต้องแสดงความจริงใจต่อสำนักซ่อนเร้นในยามที่ถูกอริยชนปองร้าย เท่านี้ก็สามารถอธิบายได้หมดทุกอย่างแล้ว เจ้าจะบอกกับอาจารย์ของเจ้าด้วยก็ได้ว่า การต่อสู้กับสำนักอริยะเพียงลำพัง ไม่ใช่เรื่องที่ดี” จักรพรรดินีผืนพิภพพูดเสียงแผ่ว

นางยกมือขวาขึ้น ในมือมีต้นไม้ขนาดเล็กที่ดูเหมือนจะมีตำลึงทองงอกอยู่เต็มต้น สีทองอร่ามสุกสกาว

หยางเทียนตงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “สิ่งนี้คือ…”

“นี่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฟ้าประทาน สามารถให้กำเนิดปราณฟ้าประทานได้ มอบให้เป็นของกำนัล”

“ขอบพระคุณขอรับองค์จักรพรรดินี”

สีหน้าของหยางเทียนตงเป็นสุขยิ่ง แบบนี้เขาจะได้สู้หน้าหานเจวี๋ยที่ไม่ได้พบกันนานได้อย่างภาคภูมิยิ่งขึ้น

ภาพลวงตาวิวัฒนาการสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยหวนคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริง เขาคลายคิ้วออก

บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเอง

หานเจวี๋ยนเคลื่อนย้ายตัวหยางเทียนตงเข้ามาในอาณาเขตเต๋า มาหยุดอยู่เบื้องหน้าของอารามเต๋า

หยางเทียนตงรู้สึกว่าเพียงชั่วพริบตาทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อทอดสายตาไปยังต้นฝูซังที่อยู่ไม่ไกล เขาก็อดรู้สึกงุนงงไม่ได้

“สูงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร…”

ความทรงจำที่ผ่านมาพุ่งเข้ามาเหมือนน้ำพุที่ปรากฏขึ้นที่ตรงหน้า ทำให้เขารู้สึกอาวรณ์เหลือแสน

สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ประตูของอารามเต๋า เขาคุกเข่าลงกับพื้นและเอ่ยขึ้น “ศิษย์ไม่รักดีมาขอคารวะท่านอาจารย์ หวังว่าอาจารย์จะจดจำศิษย์คนนี้ได้”

หานเจวี๋ยไม่ได้ตอบกลับ

ในตอนนี้เอง หลี่เต้าคง เต้าจื้อจุน สวินฉางอัน มู่หรงฉี่ และศิษย์สำนักซ่อนเร้นคนอื่นๆ ก็พากันเข้ามารุมล้อม

พวกเขามองไปที่หยางเทียนตงด้วยสายตาที่ต่างกันไป

หยางเทียนตงเปลี่ยนไปจากอดีตลิบลับ แม้ว่าใบหน้าจะยังมีเค้าโครงคล้ายกับชาติก่อน ทว่าลักษณะท่าทาง รัศมีกลับเหมือนพญายม ไว้เครายาว สวมเสื้อคลุมยาวปักลายอักขระ ทั่วทั้งตัวแผ่รังสีอันน่าสะพรึงกลัวออกมา

“เจ้ากลายเป็นพญายมไปแล้วหรือ” ฉู่ซื่อเหรินถามด้วยความประหลาดใจ

พญายม!

เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างมองหน้ากันไปมา

หลี่เต้าคงหรี่ตาพร้อมกล่าว “ไม่ใช่แค่พญายมเท่านั้น เขายังซุกซ่อนพลังอันแข็งแกร่งคล้ายกับเผ่าจอมเวทไว้ในกายเนื้อด้วย”

คนอื่นๆ เริ่มมองสำรวจหยางเทียนตงตามคำพูดของหลี่เต้าคง

หยางเทียนตงรู้สึกอึดอัดและตกใจเป็นอย่างมาก

เมื่อกวาดตามองออกไป เขาก็รู้สึกว่าทุกคนล้วนแข็งแกร่งกว่าเขากันหมด มีหลายคนที่เขาไม่รู้จักรวมอยู่ด้วย

เขาเป็นถึงจักรพรรดิเซียนเชียวนะ!

หรือว่าเขาจะมาผิดที่กัน?

หยางเทียนตงหันไปเห็นสวินฉางอันและไก่คุกรัตติกาล ก็พลันรู้ทันทีว่าตนไม่ได้มาผิดที่

อาจจะกล่าวได้ว่า ภายในระยะเวลาสามหมื่นปีที่ผ่านมา สำนักซ่อนเร้นเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

ในขณะนี้เอง เสียงของหานเจวี๋ยก็ลอยออกมา

“ที่มาในวันนี้ เจ้าคิดจะกลับมาอยู่ในสำนักซ่อนเร้น หรือมีใครสั่งให้เจ้ามา”

เมื่อได้ยินเสียง หยางเทียนตงก็พลันรู้สึกตื้นตัน ได้ฟังเสียงของหานเจวี๋ยอีกครั้งทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมากจนน้ำตาคลอเบ้า

วัฏจักรมีขึ้นมีลง โลกมนุษย์ผันผวนวกวน สิ่งที่เขาคิดถึงที่สุดก็คือหานเจวี๋ย คือสำนักซ่อนเร้น คือเขาเพียรบำเพ็ญเซียน

หยางเทียนตงตอบกลับทันควัน “แน่นอนว่าต้องกลับมาอยู่ที่สำนักซ่อนเร้นสิขอรับ!”

ทันทีที่ถ้อยคำนั้นหลุดปากออกไป เขาก็รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง

ความจริงแล้ว เขาได้รับมอบหมายมาจากผู้อื่น และเขายังต้องกลับไปยังยมโลกหลังจากนี้ด้วย

หยางเทียนตงเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “อาจารย์ ข้าขอพูดคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่”

ไก่คุกรัตติกาลตะโกนลั่น “ตามลำพังหรือ เจ้าคิดจะหักหลังและสังหารนายท่านทิ้งหรือ”

สายตาของคนอื่นๆ ที่มองมายังหยางเทียนตงไม่เป็นมิตรอีกต่อไป

แม้แต่ศิษย์รุ่นเก่าที่รู้จักหยางเทียนตง ยังอดคิดไม่ได้ว่าหยางเทียนตงกำลังทำตัวผิดปกติ

เหตุผลหลักคือเกิดความเปลี่ยนแปลงมากเกินไป

หานเจวี๋ยนำตัวหยางเทียนตงเข้ามาในอารามเต๋าทันที ขณะเดียวกันก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้ายังไม่รีบไปฝึกบำเพ็ญอีก!”

เหล่าศิษย์ตกใจจนต้องแยกย้ายกันไปในทันที

ไม่กี่วันต่อมา

หยางเทียนตงปรากฏตัวนอกเขตเซียนร้อยคีรี เขาลอยคว้างอยู่กลางอากาศด้วยความงุนงง

เขานึกย้อนถึงบทสนทนาที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาถึงรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่ตลอด

ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของหานเจวี๋ยเลย

เรื่องที่จักรพรรดินีผืนพิภพมอบหมายมา เขาก็พูดออกไปทั้งหมดแล้ว หานเจวี๋ยเองก็รับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้นไป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนราบรื่นดี

เพียงแต่ในตอนที่หยางเทียนตงนึกย้อนกลับไป เขตเซียนร้อยคีรีช่างดูลึกลับ ห่างไกล ราวกับว่าจะไม่มีวันเข้าถึงได้

หัวใจของหยางเทียนตงเต็มไปด้วยความเสียใจ

บางที…

เขาไม่ควรเลือกที่จะเป็นพญายม…

แต่ในตอนนั้นเขาทำได้เพียงเลือกทางสายนี้

หยางเทียนตงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตัดสินใจว่าจากนี้ไปเขาจะคอยดูแลศิษย์สำนักซ่อนเร้นจากยมโลกให้ดียิ่งขึ้น เพื่อแลกกับความไว้วางใจของหานเจวี๋ย

อีกด้านหนึ่ง

หานเจวี๋ยนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้มาปลูกไว้ใต้ต้นฝูซัง ผลของเจ้าสิ่งนี้ช่วยยืดอาขุขัยให้ยืนยาวได้ ถือเป็นสมบัติชั้นดีชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว

หลังจากมอบหมายให้ไก่คุกรัตติกาล สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น เจ้าใหญ่ เจ้ารองช่วยกันดูแล เขาก็กลับไปยังอารามเต๋าอีกครั้ง

สำหรับหยางเทียนตงนั้น ใช่ว่าหานเจวี๋ยจะไม่ไว้ใจเขาเลย ตรงกันข้าม เขาสนับสนุนที่หยางเทียนตงได้เป็นพญายม ซึ่งจะมีตำแหน่งเทียบเท่ากับดวงตาข้างหนึ่งของยมโลกในอนาคต

มุมมองของหานเจวี๋ยที่มีต่อจักรพรรดินีผืนพิภพเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากภาพลวงตาวิวัฒนาการ

จักรพรรดินีผืนพิภพอาจจะมีแผนการที่วางไว้สำหรับเผ่าเอกา แต่นั่นก็เป็นปกติวิสัยของมนุษย์ทั่วไป ลองมาคิดดูดีๆ แล้ว จักรพรรดินีผืนพิภพไม่เคยทำให้หานเจวี๋ยต้องเจ็บช้ำน้ำใจเลย

บางครั้งการมองทะลุจิตใจของผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะทำให้คิดมากได้ง่าย

หานเจวี๋ยเลิกฟุ้งซ่าน แล้วฝึกบำเพ็ญต่อ

สองร้อยปีต่อมา

นิมิตประหลาดปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือเขตเซียนร้อยคีรี ฝนสีทองตกลงมายังโลกมนุษย์ ปักษาเซียนโผบินขึ้นไปยังท้องนภา ไอเซียนลอยล่องขึ้นสูงราวกับเมฆที่ปกคลุมท้องฟ้า

นิมิตประหลาดดังกล่าวนำมาสู่การถกเถียงกันภายในสำนักซ่อนเร้น

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้วนี่”

“ท่าทางอริยะตั้งใจจะล่อลวงพวกเราให้ออกไป”

“ไร้สาระ ฝึกบำเพ็ญต่อเถอะ”

“อริยะเคยกล่าวว่าจะทำลายล้างสำนักซ่อนเร้นของเราไม่ใช่หรือ”

“ฮ่าๆๆ ใครมันจะบุกเข้ามาในเขตเซียนร้อยคีรีได้”

เมื่อมองขึ้นไปเห็นนิมิตประหลาดบนฟากฟ้า ศิษย์สำนักซ่อนเร้นก็พากันพูดคุยขำขันกันยกใหญ่ รวมถึงศิษย์ในนามด้วย

นับตั้งแต่เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยประกาศว่าจะทำลายล้างสำนักซ่อนเร้น แต่สุดท้ายสำนักซ่อนเร้นก็ยังคงอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็ถือเป็นการตบหน้าอริยะอย่างแรงแล้ว

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ความสมัครสามัคคีภายในสำนักซ่อนเร้นเพิ่มมากขึ้น แม้แต่ศิษย์ในนามเองก็ยังคิดว่าหานเจวี๋ยแข็งแกร่งยิ่งกว่าอริยะ

หานเจวี๋ยสังเกตนิมิตบนท้องฟ้า อดที่จะนับนิ้วทำนายดูไม่ได้

ตัวเขาเองเป็นครึ่งอริยะ มีความหยั่งรู้ในผลกรรมระดับหนึ่ง ทว่าเขายังไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง จึงไม่อาจเข้าใจทุกอย่างได้อย่างถ่องแท้เท่ากับระบบ

แต่ครั้งนี้หานเจวี๋ยตั้งใจว่าจะคำนวณให้รู้แจ้งด้วยตนเอง

บนชั้นฟ้าที่สิบสาม มีนางสวรรค์กลุ่มหนึ่งถือตะกร้าไว้ในมือ ประพรมน้ำสีทอง ตกลงมาเป็นสายฝน ชโลมโลกมนุษย์

หานเจวี๋ยนึกสงสัยว่านางสวรรค์เหล่านี้คิดจะทำอะไร

เขาหรี่ตาลง เพ่งมองทะลุชั้นฟ้าที่สิบสามขึ้นไป

ทันใดนั้นเอง!

หานเจวี๋ยพลันพบว่านางสวรรค์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นปีศาจและภูติผีในผิวหนังมนุษย์ แต่ละตนน่าเกลียดน่ากลัว อยู่ในอิริยาบถที่แตกต่างกันออกไป

นี่มันอะไรกันเนี่ย

[ตรวจสอบพบว่ามารสวรรค์รุกราน กระแสแรงกุศลมรรคาสวรรค์ครั้งแรกกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ออกจากการปิดด่านทันที ทำลายมารสวรรค์ ช่วงชิงแรงกุศลมรรคาสวรรค์ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ได้รับสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง]

[สอง ฝึกบำเพ็ญอย่างสงบเสงี่ยม ไม่เข้าร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงมรรคาสวรรค์ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น โอกาสยกระดับอาณาเขตเต๋าหนึ่งครั้ง]

………………………………………………..