บทที่ 511 ยกระดับอาณาเขตเต๋า

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 511 ยกระดับอาณาเขตเต๋า

ยังต้องพูดอีกหรือ!

เลือกตัวเลือกที่สองไปเลย!

หานเจวี๋ยขี้คร้านเกินกว่าจะครุ่นคิดว่ามารสวรรค์คืออะไร เขาเลือกตัวเลือกที่สองทันที

การยกระดับอาณาเขตเต๋านั้นสำคัญอย่างยิ่ง!

[ท่านเลือกที่จะฝึกบำเพ็ญอย่างสงบเสงี่ยมต่อไป ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น โอกาสยกระดับอาณาเขตเต๋าหนึ่งครั้ง]

[เริ่มการยกระดับอาณาเขตเต๋า]

ทันใดนั้นหานเจวี๋ยก็รู้สึกโล่งใจ

จะมารสวรรค์หรืออริยะรุกราน ข้าก็จะอยู่แต่ในอาณาเขตเต๋าแห่งนี้ มาดูกันว่าในหมู่พวกเจ้าใครจะสังหารข้าได้

หานเจวี๋ยนึกถึงทางเลือกเมื่อครู่

กระบวนการเปลี่ยนแปลงมรรคาสวรรค์?

เขานึกย้อนกลับไปอย่างถี่ถ้วน ในตำนานปรัมปราเล่าว่ามหาเคราะห์ครั้งแรกคือศึกแห่งวิถีมาร หรือว่านี่จะเป็นชะตากรรมของมรรคาสวรรค์

ไม่ว่าจะเป็นชะตากรรมหรือไม่ หานเจวี๋ยก็ไม่คิดจะสนใจ

‘ยกระดับอาณาเขตเต๋าครั้งนี้ จะช่วยป้องกันการโจมตีระดับมหามรรคได้หรือไม่นะ’

หานเจวี๋ยแอบคาดหวังอยู่ในใจ ดวงตาเป็นประกาย

การยกระดับอาณาเขตเต๋าจำต้องใช้เวลา

ในขณะเดียวกัน

ฝนสีทองไร้ซึ่งขอบเขตตกลงมา และถูกอาณาเขตเต๋าแบ่งกั้นเอาไว้จนเกิดเป็นโดมสีทองสูงเสียดฟ้า ราวกับภาพที่ถูกฉาย ดั่งปาฏิหาริย์ที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็น

เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นสังเกตได้ถึงความผิดปกติ ฝนสีทองสามารถสัมผัสค่ายกลได้ แสดงให้เห็นว่าฝนสีทองนี้ไม่เหมือนกับฝนสีทองปกติ เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นอันตราย

“นึกแล้วว่าจะต้องเป็นภัยแน่!”

“ใครคิดจะทำร้ายพวกเราอีกแล้วเล่า”

“น่าแปลกใจจริงๆ พวกเราสำนักซ่อนเร้นก็ซ่อนอยู่ในเขตเซียนร้อยคีรีมาโดยตลอด เจ้าสำนักเองก็ปิดด่านฝึกฝน แล้วเหตุใดถึงได้มีกลุ่มอิทธิพลคอยหาเรื่องพวกเราอยู่ตลอด”

“ข้าก็ไม่รู้ ข้าว่าเป็นเพราะสำนักซ่อนเร้นแข็งแกร่งเกินไปกระมัง”

“ตั้งใจฝึกบำเพ็ญกันเถิด จะได้กลายเป็นศิษย์คนโปรดโดยเร็ววัน ภายภาคหน้าจะได้เป็นกำลังให้กับสำนักซ่อนเร้นได้”

เสียงหารือดังขรมไปทั่วเขตเซียนร้อยคีรี ศิษย์ในนามส่วนใหญ่ล้วนเข้ามาอยู่อาศัยในเขตเซียนร้อยคีรีก่อนที่จะแปลงกายได้ ที่นี่จึงเป็นบ้านหลังแรกของพวกเขา ยิ่งบรรดาสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาในเขตเซียนร้อยคีรี ยิ่งล้วนแต่รู้สึกภักดีต่อสำนักซ่อนเร้น

ด้วยการโน้มน้าวใจของหลี่เสวียนเอ้า นอกจากหานเจวี๋ยแล้ว เหล่าศิษย์คนสนิทเองก็เริ่มแสดงธรรมให้แก่ศิษย์ในนาม และเริ่มคัดเลือกศิษย์ที่พวกเขาถูกใจทีละคน

พลังแห่งความสามัคคีของชาวสำนักซ่อนเร้นนั้นแข็งแกร่งมาก ราวกับแผ่นเหล็กกล้า ตอนนี้ต่อให้อริยะจะส่งศิษย์มุ่งหน้ามาปลุกระดมคน ก็เปล่าประโยชน์

เมื่อมีการคุ้มครองจากค่ายกลอาณาเขตเต๋า ฝนสีทองของมารสวรรค์ที่ตกลงมานั้นก็ไม่มีผลอันใด หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ฝนสีทองก็หายไป เขตเซียนร้อยคีรีกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง

เวลาเคลื่อนคล้อย

ผ่านไปอีกหนึ่งร้อยปีเต็มๆ

[อาณาเขตเต๋ายกระดับ ค่ายกลยกระดับสู่ระดับอริยะ ขอบเขตมิติภายในอาณาเขตเต๋าขยายใหญ่ขึ้น]

[ไอเซียนอาณาเขตเต๋าเพิ่มขึ้นสิบเท่า ปราณฟ้าประทานเพิ่มขึ้นห้าเท่า]

[อาณาเขตเต๋าสามารถปิดกั้นการสอดแนมจากพลังจิตระดับมหามรรคได้]

ตัวอักษรสามบรรทัดเด้งขึ้นมาตรงหน้าของหานเจวี๋ย

พลังวิญญาณทั่วเขตเซียนร้อยคีรีเพิ่มพูน ทำให้เกิดความโกลาหลในหมู่ศิษย์ทั้งหมด

เจ้าสำนักใช้พลังวิเศษอีกแล้ว!

ระดับอริยะเสรีหรือ?

ที่แท้อริยะเสรีก็แข็งแกร่งกว่าอริยะมรรคาสวรรค์

หานเจวี๋ยอดนึกถึงลี่จื้อไจ้ไม่ได้ คนผู้นี้ก้าวหน้าไปได้ไกลขนาดนั้นในระยะเวลาไม่กี่หมื่นปีได้อย่างไร

หรือเดิมทีลี่จื้อไจ้นั้นเป็นอริยะอยู่แล้ว เพียงแต่ปรมาจารย์ตระกูลลี่ หนึ่งในร่างจำลองของเขา ฝึกตบะเป็นจักรพรรดิเซียน หลังจากหลอมรวมร่างจำลองจำนวนมหาศาลเข้าด้วยกันแล้ว สถานะของปรมาจารย์ตระกูลลี่จึงเปลี่ยนเป็นร่างต้นแบบ?

หานเจวี๋ยรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น มิฉะนั้นก็ไม่อาจอธิบายได้

‘ตอนนี้อริยะมรรคาสวรรค์กำลังปิดล้อมอาณาเขตเต๋า พวกเขาจะบุกเข้ามาได้หรือไม่’ หานเจวี๋ยถามในใจ

[ไม่ได้]

ครั้งนี้ระบบไม่ได้หักอายุขัย เดาว่าคงเกี่ยวข้องกับการวิวัฒนาการก่อนหน้านี้ ระบบได้บันทึกตบะของเหล่าอริยะเอาไว้แล้ว

เมื่อเห็นคำว่า ‘ไม่ได้’ หานเจวี๋ยก็ถอนหายใจยาวๆ อย่างรู้สึกโล่งใจ

มาดูกันซิว่าตอนนี้พวกเจ้าจะโจมตีข้าอย่างไร!

หานเจวี๋ยถึงขั้นอยากจะกระโจนออกไปยั่วโมโหเหล่าอริยะด้วยตนเอง

แต่เขาต้องข่มใจเอาไว้

ชักจะลำพองใจเกินไปแล้ว

หานเจวี๋ยแอบด่าตัวเอง มรรคจิตยังไม่นิ่ง จะมาลำพองใจเพราะอาณาเขตเต๋าได้อย่างไร

อาณาเขตเต๋าแข็งแกร่งเท่าไร ก็ไม่แข็งแกร่งเท่าตัวเขา

ตบะของตนเองนี่แหละที่สำคัญที่สุด!

หานเจวี๋ยปรับอารมณ์ความคิดของตน และเริ่มฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง พลางอ่านจดหมายในช่วงนี้ไปด้วย

[เจียงตู๋กูสหายของท่านกลายเป็นครึ่งอริยะ พลังมรรคเกิดการเปลี่ยนแปลง]

[จี้เซียนเสินสหายของท่านก้าวสู่ระดับต้าหลัว มรรคจิตปั่นป่วน เนื่องจากภายในกายเนื้อมีเจตจำนงอันแรงกล้าหลากหลายซุกซ่อนอยู่]

[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านก้าวสู่ระดับเทพ]

[ซูฉีลูกศิษย์ของท่านกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล กำลังรวบรวมมหามรรค]

[ผานซินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสำนักพุทธ] x7392

[ฉิวซีไหลสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[จักรพรรดินีผืนพิภพสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]

[หวงจุนเทียนสหายของท่านกลายเป็นเจ้านิกายเจี๋ย ดวงชะตาเพิ่มพูน]

แดนเซียนก่อตัวขึ้นอีกแล้ว!

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นจดหมายแจ้งว่าจี้เซียนเสินก้าวเข้าสู่ระดับต้าหลัว ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กๆ เจ้าคนผู้นี้คิดจะเดินบนเส้นทางวายร้ายจริงๆ มรรคจิตจึงปั่นป่วน สามารถคลุ้มคลั่งได้ตลอดเวลา

และยังมีหวงจี๋เฮ่าอีกคน คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะที่หานเจวี๋ยรู้จักบนโลกมนุษย์ มีจิตกระบี่ฟ้าประทาน ภายหลังฝากตัวเป็นศิษย์ของหลี่เสวียนเอ้า ก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยก็เคยถามหลี่เสวียนเอ้าเกี่ยวกับหวงจี๋เฮ่า หลี่เสวียนเอ้าบอกว่าดูท่าจะไม่ค่อยสู้ดีนัก

หานเจวี๋ยรู้ว่าหวงจี๋เฮ่ายังมีชีวิตอยู่ ภาพประจำตัวยังอยู่ดี แต่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน

ไม่คาดคิดเลย!

ว่าหลังจากที่หวงจี๋เฮ่ารอดชีวิตมาจากมหาเคราะห์แล้ว จะก้าวสู่ระดับเทพได้เพียงคนเดียว

เป็นไปตามที่คาด คนที่รอดพ้นจากมหาเคราะห์ได้ล้วนเป็นบุตรแห่งโชคชะตาทั้งสิ้น

หานเจวี๋ยยังสังเกตเห็นว่าซูฉีเองก็ได้เป็นเทพมารฟ้าบุพกาล เป็นที่ประจักษ์ว่าเขาประสบความสำเร็จแล้ว

สามารถใช้วิธีการนี้ทำให้บรรดาศิษย์เปลี่ยนเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลได้จริงๆ เสียด้วย!

สุดยอดไปเลย!

แต่หานเจวี๋ยไม่คิดจะเปลี่ยนบรรดาศิษย์ของเขาให้กลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลจริงๆ เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากต้องใช้พลังงานมหาศาล มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนอยู่มากเกินไป บางทีอาจมีศิษย์ที่หลงระเริง และเปลี่ยนใจไปเป็นศัตรูได้

หานเจวี๋ยไล่สายตาลงมาเรื่อยๆ เห็นว่าฉิวซีไหลและจักรพรรดินีผืนพิภพถูกสาปแช่ง หานเจวี๋ยจึงขมวดคิ้วแน่น

อริยะบางคนเริ่มเลียนแบบเขาแล้ว!

เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นในมหาเคราะห์ก่อนหน้านี้ หานเจวี๋ยไม่แปลกใจ เพียงแต่รู้สึกไม่พอใจเท่านั้น

อริยะยังใช้วิธีนี้อยู่อีกหรือ?

หานเจวี๋ยเป็นคนสองมาตรฐาน ตัวเองรู้สึกหรรษาเมื่อใช้เล่ห์กลเช่นนี้ แต่พอเห็นคนอื่นใช้เล่ห์กลแบบเดียวกันนี้บ้าง เขากลับทนมองไม่ได้

เขาไล่อ่านลงมาเรื่อยๆ ช่วงนี้แดนเซียนเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้ว

แต่ความมีชีวิตชีวาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหานเจวี๋ย และสำนักซ่อนเร้น

ไม่นาน หานเจวี๋ยก็เข้าสู่ภาวะบำเพ็ญอีกครั้ง

ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

ตำหนักเอกอนันต์

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงจ้องมองเหล่าอริยชนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

หลี่มู่อี อริยะจินอัน เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย เทพสูงสุดหนานจี๋ ฉิวซีไหล มหาจักรพรรดิเซียวล้วนอยู่กันพร้อมหน้า

อริยะจินอันกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ ดวงตาของท่านต้องมองทะลุเจ้าตัวแปรได้อย่างปรุโปร่งแน่นอน แท้จริงแล้วเขาเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลจริงหรือไม่”

อริยะคนอื่นต่างก็จ้องมองปรมาจารย์ลัญจกรสรวงด้วยสายตาคาดหวัง

หากหานเจวี๋ยเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลจริงๆ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็คือเขานั่นเอง

สาเหตุที่ไม่เคยสงสัยหานเจวี๋ยมาก่อน เป็นเพราะคิดว่าหานเจวี๋ยอ่อนแอเท่านั้นเอง

แต่ตอนนี้แม้แต่บรรพจารย์ซานชิงยังพ่ายแพ้ยับเยิน เหล่าอริยะจึงจำต้องประเมินตบะของหานเจวี๋ยใหม่

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงกล่าวอย่างใจเย็น “ในมรรคาสวรรค์แห่งนี้ไม่มีเทพมารฟ้าบุพกาล พวกเจ้าวางใจได้”

“ส่วนตัวแปร อย่างไรเสียก็เป็นตัวแปร ข้าไม่อาจทำลายเขาลงได้อย่างง่ายดาย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าอริยะก็ขมวดคิ้ว

มหาจักรพรรดิเซียวอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ท่านปรมาจารย์ นี่ท่านเข้าข้างตัวแปรเช่นนั้นหรือ หรือว่าเขาเป็นศิษย์ของท่านกันแน่?”

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเหลือบมองเขาก่อนจะกล่าวว่า “ตัวแปรผู้นี้ไม่เป็นภัยต่อแดนเซียน ผลกรรมของเขาน้อยนิดเสียด้วยซ้ำไป พวกเจ้าต่างหากที่หาเรื่องเล่นงานเขา หากข้าสนับสนุนพวกเจ้า ก็เท่ากับเป็นการพุ่งเป้าหมายหัวเขา”

เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เหล่าอริยะก็พลันรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก หลี่มู่อีที่หน้าบางไม่อาจควบคุมสีหน้าของตนเองได้ หันไปจ้องเทพสูงสุดหนานจี๋ตาเขม็ง

ในบรรดาสี่อริยะแห่งสำนักเต๋า เทพสูงสุดหนานจี๋คืออริยะที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการเล่นงานหานเจวี๋ย

………………………………………………..