บทที่ 505 สหายเก่ามาเยือน
บทที่ 505 สหายเก่ามาเยือน
เสี่ยวเถียนมีความสุขมากที่ได้ใช้เงินอันน้อยนิดซื้อผ้าไหม เพราะเดิมทีก็ไม่คิดจะใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้อยู่แล้ว
“มันไม่ได้มีค่าอะไรเท่าไรหรอก สหายเสี่ยวเถียนแค่รับมันไว้ก็พอ!” หลี่ว์หรูหยารีบโน้มน้าว
“ไม่ได้หรอกค่ะ พวกคุณเป็นผู้อำนวยการโรงงานนะ หนูจะฉวยโอกาสได้ยังไง!”
“แต่ครั้งนี้เราได้เสี่ยวเถียนช่วยโรงงานไว้เยอะมากเลยนะ และผ้าไหมพวกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทางโรงงานจะมอบให้กับคนงานที่มีส่วนร่วมน่ะ” หลี่ว์หรูหยาอธิบาย
ถึงเสี่ยวเถียนจะไม่ใช่คนของเราแต่เธอก็มีส่วนช่วยในผลงานครั้ง อีกทั้งยังไม่มีใครว่าอะไรด้วยหากเราจะมอบรางวัลเป็นผ้าไหมที่มีตำหนิให้
“เสี่ยวเถียน ถ้าการทำงานในครั้งนี้ไม่ได้เธอ ธุรกิจของเราคงไม่ราบรื่นหรอกนะ!”ฉืออวี้เลี่ยงกล่าวด้วยความจริงใจ
ผลงานในครั้งนี้เธอไม่ปฏิเสธหรอกนะ เพราะเป็นความจริง!
“หนูได้ค่าจ้างแล้วค่ะ ส่วนรางวัลไม่รับไว้ดีกว่า!” เธอคิดแค่ว่าตนไม่ใช่คนงานประจำ จึงไม่ควรรับมันไว้
“แต่ถ้าพวกคุณมีสินค้าตำหนิอีกเก็บไว้ให้หนูสักหน่อยจะขอบคุณมากค่ะ!”
เสี่ยวเถียนไม่อยากปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไป
เพราะก่อนหน้านี้มัวแต่งงอยู่เลยไม่ได้นึกอะไร แต่ตอนนี้โอกาสมาหาถึงบ้านทั้งที เลยถือโอกาสพูดไว้ก่อนแล้วกัน
ผู้อำนวยการทั้งสองมองหน้า
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ทุก ๆ เดือนจะมีสินค้าตำหนิอยู่เสมอ ส่วนใหญ่ก็จะแจกกันในโรงงานนั่นละ ถ้าเสี่ยวเถียนต้องการ ฉันจะให้คนเก็บไว้ให้เธอนะ!” ฉืออวี้เลี่ยงรับคำ
เขาเอ่ยต่อเมื่อนึกถึงเงินที่เสี่ยวเถียนจะจ่ายให้ “คนงานของเราได้ทั้งค่าจ้าง แล้วก็รางวัลด้วยนะ”
อ๋อ…
สุดท้ายก็ยอมรับความเจตนาดีนี้มาก
ผู้อำนวยการเอ่ยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขามีท่าทีที่จริงใจมาก
“บอกตามตรงนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ พวกเราสองคนคงทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่แล้วจริง ๆ”
เด็กสาวสับสน ไม่เข้าใจความหมายนั่น
จากนั้นก็เข้าใจเมื่อได้รับคำอธิบายสั้น ๆ กลับมาก
ว่าง่าย ๆ คือหม่าว่านกั๋ววางกับดักเอาไว้ โดยตั้งใจที่จะทำให้อาหารเป็นพิเศษเพื่อทำลายธุรกิจ และเมื่อฉืออวี้เลี่ยงติดกับ อีกฝ่ายก็จะโดนปลดจากตำแหน่งผู้อำนวยการ คราวนี้ทั้งฉืออวี้เลี่ยงและหลี่ว์หรูหยาที่เขาไม่ชอบก็จะโดนกำจัดอย่างสมบูรณ์
ทว่าแผนการนั้นก็โดนเสี่ยวเถียนเป็นคนทำลายโดยบังเอิญ เพราะนักธุรกิจชาวเยอรมันไม่ได้ไปร้านที่จองเอาไว้ ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้กลายเป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
“ไม่โง่ไปหน่อยหรือคะ? เขาไม่คิดว่าจะโดนตรวจสอบบ้างหรือ?” เสี่ยวเถียนไม่เข้าใจ
หม่าว่านกั๋วไม่ฉลาดเลย ทำตามอำเภอใจและยังคิดใช้วิธีการโง่ ๆ แบบนี้ได้ยังไงน่ะ?
“ถึงวิธีการมันจะไม่ดีก็จริงแต่ถ้าทำสำเร็จขึ้นมา ฉันกับผู้อำนวยการก็คงต้องเข้าไปพัวพันด้วย อีกอย่างเขาเป็นรองผู้อำนวยการคนเดียวที่ไม่ได้ยุ่งเรื่องนี้ก็ถือว่าได้โอกาสไปเลย ว่าก็ว่าเถอะ ในช่วงเวลาชุลมุนแบบนั้นใครมันจะมีเวลามาตรวจสอบกันล่ะ?” หลี่ว์หรูหยาถอนหายใจ
ใครจะรู้เล่าว่าฮั่วซือเหนียนจะออกโรงมาช่วย ทั้งยังตัดสินใจแจ้งตำรวจในทันทีเพื่อให้มาจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม
ฉืออวี้เลี่ยงถอนใจ ไม่เคยคิดเลยว่าหม่าว่านกั๋วจะกล้าทำถึงขนาดนี้
เดิมทีก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวเป็นพวกโอหังและเห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าจะคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวจนไม่ใส่ใจผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ
เบื้องบนคิดว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายอย่างที่เห็น น่าจะมีปัญหาที่ลึกกว่านั้น และตอนนี้ก็อยู่ระหว่างตรวจสอบอยู่
ถึงเสี่ยวเถียนจะสงสัยว่าทั้งหมดนี้อาจจะเป็นแผนการของหม่าว่านกั๋ว ทว่าพอได้ยินข่าวจริง ๆ ก็ยังตกใจอยู่ดี
ต่อให้ตำแหน่งผู้อำนวยการหอมหวานแค่ไหน แต่จะกระโดดข้ามขั้นขนาดนี้ไม่ได้หรือเปล่า?
เรื่องที่เกิดขึ้นกับโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่ไม่ได้เกี่ยวกับเธอเท่าไร ฟังแล้วก็จบกันไป
เด็กสาวนำผ้าไหมที่มีตำหนิมาขอให้เถาฮวาช่วยทำเป็นกระโปรงให้
ด้วยความที่เป็นสีสด และคนอื่น ๆ ใส่ไม่เหมาะ เสี่ยวเถียนจึงให้เถาฮวาทำกระโปรงอีกตัวคล้าย ๆ กับให้เสี่ยวเหมยด้วย
เพราะยังเหลือผ้าอยู่อีก ผู้เป็นป้าจึงทำเสื้ออีกหนึ่งและผ้าพันคอสไตล์เดียวกันให้เสี่ยวเถียนอีกผืน
ตอนได้เห็นงานผ้านั้น เด็กหญิงมีความสุขมากและไม่คิดเลยว่าผ้าพันคอไหมลวดลายสีส้มอ่อนสลับสีม่วงอ่อนจะงามขนาดนี้
เสี่ยวเถียนมองเศษผ้าที่เหลือ แล้วให้เถาฮวาตัดออกมาเป็นผ้าพันคออีกผืน
ต่อให้ผ่านไปเป็นสิบปี พวกผ้าพันคอไหมแท้ก็ยังมีค่าอยู่เสมอ ในยุคนี้ราคาไม่ถูกเลยนะ
แถมหลังจากนี้มันจะเป็นยุคสมัยที่มีแต่สีดำ สีขาว สีเทา และน้ำเงินครองเมืองเต็มไปหมด พวกผ้าพันคอสีสันสดใสเป็นสิ่งที่สะดุดตาจริง ๆ
ต่อให้ราคาถูก ก็ยังเป็นที่สนใจพวกหญิงวัยกลางคนและหญิงสาวเสมอ
กิจการของร้านตัดเสื้อของเถาฮวาไปได้สวยมาก ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เห็นผ้าพันคอไหมพวกนั้นก็อยากได้กันหมด จำนวนสิบกว่าผืนขายหมดในสองวัน
เธอเริ่มคิดแล้วว่าทำเป็นผ้าพันคอจากผ้าซาติน แล้วก็จากผ้าไหมเพิ่มเข้ามาขายดีไหม เพราะมันทำง่ายกว่ามากและหาเงินได้เยอะกว่าด้วย
ขณะที่ยังจัดการอะไรยังไม่เรียบร้อยดี เหล่าซานเดินทางมาถึงเมืองหลวงในที่สุด
ที่ทำให้พวกเราแปลกใจคือเขาไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังพาคนรู้จักอีกคนมาด้วย
ตอนที่ทุกคนมองไปยังคนคนนั้น ก็ได้แต่ตกใจเพราะไม่คิดว่าเจ้าตัวจะมาถึงเมืองหลวงได้
“อวี๋เหนียงเรอะ? ทำไมถึงมาเมืองหลวงได้ล่ะ?” คุณย่าซูถามด้วยความตกใจ
คุณย่าซูมองหลีอวี๋เหนียง ก่อนเบนสายตาไปยังลูกชายคนเล็ก
เหมือนอยากจะถามว่าพาอีกฝ่ายมาได้ยังไง แล้วถานจื่อโดนภรรยาทิ้งไว้แบบนั้น แถมเหล่าซานยังพาเธอมาอีก ตานั่นไม่บ้าไปแล้วเรอะ?
เหล่าซานไม่ทันได้ถูจมูก คุณย่าซูได้ยินเสียงหลีอวี๋เหนียงร้องไห้เสียก่อน
ตอนนั้นแกนั่งไม่ติดเลย จึงรีบถามออกไปว่า “ร้องไห้ทำไมเล่า?”
“พี่ใหญ่ ฉันขึ้นมาเมืองหลวงเพื่อร่วมเดินทางกับพี่ค่ะ!”
“…” คุณย่าซู
แล้วทำไมถึงมาไกลขนาดนี้?
“โลกกว้างใหญ่ไพศาลเสียขนาดนี้ นอกจากครอบครัวพี่แล้ว ฉันไม่รู้จะไปหาใครดี!”
หลีอวี๋เหนียงคร่ำครวญอยู่นานกว่าจะบอกเล่าออกมาได้ในที่สุด เรื่องของเรื่องเกิดจากแผงลอยขายของที่บ้านเรายกให้กับสองสามีภรรยาถาน
ตอนแรกทุกอย่างก็ไปได้สวย ใช้ชีวิตอย่างราบรื่น
แต่ใครจะรู้เล่าว่า แผงลอยจุดนี้ตกเป็นเป้าหมายของลูกชายและสะใภ้ของถานจื่อสือ
พวกเขาอิจฉาธุรกิจอาหารเช้าที่ขายดิบขายดี จึงอยากยึดมาเป็นของตัวเอง
สองผัวเมียคู่นั้นมาที่บ้านเราทุกวัน ประจบถานจื่อสือทุกอย่างกระทั่งยกย่องหลีอวี๋เหนียง
ทีแรกสามีก็ไม่ได้ยินดีเท่าไร แต่เพราะเห็นว่าเป็นลูกชาย เขาจึงค่อย ๆ รู้สึกดีขึ้น
และเพราะการทำดีต่อกันจึงสร้างปัญหาให้ในที่สุด