เจ้าสำนักเฟิงอี้ถอนหายใจเบาๆ นางกลับเข้าใจดี จุดประสงค์ของเจียงเจ๋อมิได้อยู่ที่ศิษย์สำนักเฟิงอี้เหล่านั้น แต่อยู่ที่ตน หากตนเก็บศิษย์คนสนิทเหล่านี้ไว้จริง วันหน้าจะเป็นผู้นำสำนักเฟิงอี้อีกได้อย่างไร ต้องถูกทุกคนหันหลังให้แน่นอน ยิ่งเมื่อเจียงเจ๋อเปิดเผยความจริงเรื่องที่ตนบาดเจ็บหนักอยู่ ยงอ๋องย่อมไม่เสียดายสิ่งที่ต้องแลกเพื่อสังหารตน ถึงเวลาสำนักเฟิงอี้ย่อมสูญเสียอย่างหนัก ตนก็อย่าหวังจะมีชีวิตรอดจากที่แห่งนี้
ทว่าหากเป็นเช่นนั้น เจียงเจ๋อก็คงปวดใจกับราคาที่ต้องจ่ายเพื่อสังหารตน ดังนั้นเขาจึงเปิดโปงก่อนว่าตนมิอาจสังหารบุคคลสำคัญได้ทั้งหมด หลังจากนั้นจึงเปิดเผยความจริงที่ตนบาดเจ็บหนักอยู่ แล้วยังลอบบอกตนเป็นนัยว่ามียอดฝีมือเช่นเสี่ยวซุ่นจื่ออยู่ ตนไม่มีทางหนีรอดออกจากพระราชวังเลี่ยกงได้แน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ คำกล่าวที่ว่ายอมถอยหนึ่งก้าว รับปากจะปล่อยลูกศิษย์ที่เหลืออยู่เหล่านี้ของสำนักเฟิงอี้ไป ย่อมหมายความว่าให้ตนปลิดชีพตัวเองขอขมาต่อใต้หล้าเสีย
ในใจเจ้าสำนักเฟิงอี้ครุ่นคิดสารพัด หากร่างกายนางไม่บาดเจ็บย่อมไปมาได้ดั่งใจ เช่นนั้นเป้าหมายของเจียงเจ๋อย่อมเป็นเพียงเรื่องน่าขัน ทว่ายอดวรยุทธ์ฝั่งพุทธของปรมาจารย์ซือเจินใต้หล้าไร้เทียมทาน นางสู้จนบาดเจ็บหนักกว่าจะเอาชนะปรมาจารย์ซือเจินได้สำเร็จ แม้พระเฒ่าถูกบีบให้สัญญาว่าจะกลับไปรักษาตัว ภายในเวลาสั้นๆ ไม่มีทางมาขัดขวางตนได้ แต่เพื่อเร่งเดินทางมาแก้ไขสถานการณ์ที่พระราชวังเลี่ยกง อาการบาดเจ็บภายในของนางจึงหนักหนายิ่งนัก
หากไม่ได้กินโอสถยื้อชีวิตเม็ดนั้นเข้าไป เวลานี้เกรงว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้คงมิอาจลงมือได้แล้ว แต่ถึงจะมีฤทธิ์ยาคอยช่วย หากต้องสู้อย่างดุเดือดอีกยก ก็คงมีผลลัพธ์เดียวที่รอคอยตนอยู่ นั่นก็คือลมปราณแตกซ่าน ชีพจรหัวใจขาดสะบั้น มียอดฝีมือเช่นเสี่ยวซุ่นจื่ออยู่ ไม่ว่าอย่างไรตนก็ไม่อาจสังหารพวกยงอ๋องสามพ่อลูกได้พร้อมกัน ถึงที่สุดแล้วไม่เพียงตนเองจะจบชีวิตเดินทางไปสู่ปรโลก แม้แต่ลูกศิษย์เหล่านี้ของตนก็คงไม่มีผู้ใดรอดสักคน
เจ้าสำนักเฟิงอี้ยิ้มละไม คิดในใจว่า คิดไม่ถึง วีรสตรีแห่งยุคเช่นตนกลับถูกบัณฑิตอ่อนแอที่ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่คนนี้บีบให้ตายอยู่ที่นี่ เดิมคิดว่าอาศัยบารมีของระดับปรมาจารย์อาจบีบให้ยงอ๋องยอมได้ แต่คาดไม่ถึงว่าเจียงเจ๋อกลับมองอาการบาดเจ็บของนางออก
ใช่แล้ว ตนลืมไปได้อย่างไรว่าวิชาแพทย์ของเจียงเจ๋อผู้นี้ได้รับสืบทอดมาจากผู้ใด โอสถพิทักษ์หัวใจเก้าสกัดที่เงามารหลี่ซุ่นให้เจียงเจ๋อกินเมื่อครู่มิใช่ข้อพิสูจน์หรือ อีกประการหนึ่ง หากตนไม่กินโอสถพิทักษ์หัวใจเก้าสกัดที่คนผู้นั้นเคยมอบให้กับมือเมื่อยี่สิบปีก่อน ก็เกรงว่าตอนนี้คงไม่อาจยืนอยู่ที่นี่ได้แล้ว
แม้ผู้คนด้านข้างจะมองไม่เห็นว่าใบหน้าใต้ผ้าแพรขาวของเจ้าสำนักเฟิงอี้มีสีหน้าเช่นไร แต่พวกเขาเห็นนางเงียบงันไม่ตอบคำก็ทราบว่าสิ่งที่เจียงเจ๋อกล่าวมิใช่คำลวง ผู้ที่ความคิดฉับไวบางส่วนล่วงรู้จุดประสงค์ของเจียงเจ๋อแล้ว แต่การจะบีบให้เจ้าสำนักเฟิงอี้ตาย นี่เป็นไปได้หรือ คนทั้งหลายล้วนปัดความคิดนี้ทิ้งโดยสัญชาตญาณ ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงคาดเดากันอยู่ว่าจุดประสงค์ของเจียงเจ๋อคือสิ่งใด
ผ่านไปเนิ่นนาน เจ้าสำนักเฟิงอี้ก็ถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเอ่ยว่า “ถอยก้าวหนึ่งมิใช่จะไม่ได้ หากตอนนี้ยงอ๋องรับปากยอมปล่อยคนสำนักข้าแล้วไม่ออกคำสั่งไล่ล่าภายในเจ็ดวัน ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะรับปากเงื่อนไขประการนี้”
ข้าหันไปมองหลี่จื้อ สีหน้าของเขายังคงฉงนอยู่เล็กน้อย แต่ก็พยักหน้านิดๆ ส่วนหลี่หยวนเดิมทีก็มิต้องการยั่วโทสะเจ้าสำนักเฟิงอี้อยู่แล้ว ย่อมไม่เอ่ยปากปฏิเสธ สายตาข้าทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เงื่อนไขนี้ยงอ๋องไม่คัดค้าน แต่รัชทายาทหลี่อันกับเหวยอิงมิใช่ศิษย์สำนักท่าน คงไม่อาจรวมอยู่ในนั้นได้”
เจ้าสำนักเฟิงอี้เอ่ยเรียบเฉย “หลี่อันเป็นคนของราชวงศ์ ข้าย่อมไม่ยุ่ง แต่เหวยอิงเป็นศิษย์ในนามของข้า ต้องปล่อยไป”
ขอเพียงเก็บหลี่อันไว้ได้ ข้าก็พอใจแล้ว จึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็คงไม่มีอันใดให้คุยกันต่อแล้ว ที่นี่ไม่เหมาะแก่การพักผ่อน เจ้าสำนักจะสิ้นเปลืองแรงเฝ้าฝ่าบาทกับองค์ชายถึงเจ็ดวันก็คงมิได้ หากเจ้าสำนักอนุญาต พวกเราจัดเตรียมสถานที่สงบเงียบให้เจ้าสำนักพักผ่อนเป็นอย่างไร”
เจ้าสำนักเฟิงอี้ฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ จึงเอ่ยว่า “เรื่องนี้อย่างไรก็ได้ ทว่าข้าต้องการคนเป็นตัวประกันไว้ข้างกาย มิเช่นนั้นหากพวกท่านตระบัดสัตย์ ข้าไยมิใช่หาคนมาสังหารไม่ได้”
ข้าคิดไว้ล่วงหน้าแล้วจึงเอ่ยอย่างสุขุม “ฝ่าบาทเป็นเจ้าแผ่นดิน ยงอ๋องยังต้องควบคุมสถานการณ์ พระสนมกุ้ยเฟยทั้งสองกับองค์หญิงต่างหวาดกลัวมามากแล้ว จะปล่อยให้พวกนางแบกความตระหนกหวั่นกลัวต่อได้เช่นไร แม่ทัพทั้งหลายก็ยังต้องคุมไพร่พล ขุนนางใหญ่ในราชสำนักต่อให้ยินดีเป็นตัวประกันก็เกรงว่าเจ้าสำนักคงไม่เชื่อถือ หากเจ้าสำนักไม่รังเกียจ ฉีอ๋องกับผู้แซ่เจียงเป็นตัวประกันให้ได้ หากฝ่าบาทกับยงอ๋องกระทำตระบัดสัตย์ เจ้าสำนักก็เอาชีวิตเราสองคนเป็นค่าชดใช้”
เจ้าสำนักเฟิงอี้ยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “เจียงซือหม่าช่างเลือกคนได้ดี ได้ ข้าตกลง แต่ข้าจะพูดให้ชัด หากฝ่าบาทกับยงอ๋องคิดจะออกจากพระราชวังเลี่ยกงภายในเจ็ดวันนี้ อย่าโทษว่าข้าไม่รักษาสัญญา”
หลี่จื้อเหลือบมองหลี่หยวนแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าสำนักเอ่ยเช่นนี้ ภายในเจ็ดวันนี้ข้ากับเสด็จพ่อจะไม่ออกจากพระราชวังเลี่ยกงเพื่อแสดงความจริงใจ”
เวลานี้ ทุกคนต่างตระหนักแล้วว่าเจียงเจ๋อชาญฉลาดเกินผู้ใดดังคำลือ แม้มิรู้ว่าระหว่างเขากับเจ้าสำนักเฟิงอี้แท้จริงตกลงอันใดกันแน่ แต่อย่างน้อยก็หยุดเจ้าสำนักเฟิงอี้ไว้ได้ชั่วคราว เวลาเจ็ดวันย่อมเพียงพอให้ทุกคนจัดการเรื่องราวอย่างเหมาะสม เมื่อถึงเวลาหากเจ้าสำนักเฟิงอี้ก่อเรื่องอีกครั้งก็คงไม่เสียหายหนักกว่าตอนนี้ ยิ่งกว่านั้น หากจัดการได้ดีกลับจะกลายเป็นแผนการชั้นเยี่ยม ถึงอย่างไรตอนนี้สิ่งที่ทุกคนกังวลก็คือเจ้าสำนักเฟิงอี้จะเปิดฉากสังหารหมู่ ส่วนกบฏเหล่านั้นอย่างไรก็ค่อยๆ จัดการได้
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวประกันสองคนที่เจียงเจ๋อเลือกก็ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ตัวเขายินดีเป็นตัวประกันเพราะใจภักดี ส่วนฉีอ๋อง การเป็นตัวประกันย่อมเป็นโอกาสทำคุณไถ่โทษ คิดว่าเขาคงไม่ปฏิเสธ ยงอ๋องย่อมตัดใจเสียสละเจียงเจ๋อไม่ได้แน่นอน ส่วนหลี่หยวนก็ตัดใจสละฉีอ๋องไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าสำนักเฟิงอี้ย่อมวางใจ แล้วยังไม่ทำให้ผู้รับหน้าที่ตัวประกันไม่พอใจอีกด้วย ดังนั้นแม้สุดท้ายจะมิอาจสำเร็จโทษกบฏเหล่านั้นได้ แต่ฝ่ายราชสำนักต้ายงที่ได้กำจัดอำนาจทั้งหมดของสำนักเฟิงอี้ออกไปย่อมได้มากกว่าเสีย
ขณะที่ทุกคนพากันโล่งอก หลี่หันโยวพลันโพล่งเสียงดัง “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ หลี่เจิน เจียงเจ๋อกับเซี่ยโหวหยวนเฟิงเป็นคนทำลายการใหญ่ของพวกเรา ท่านอาจารย์อย่าละเว้นพวกเขา”
เจ้าสำนักเฟิงอี้เหลือบมองหลี่หันโยว ดวงตาฉายแววผิดหวังพลางเอ่ยว่า “หันโยว ไม่ต้องพูดแล้ว เจียงซือหม่า ที่ลูกศิษย์เหล่านี้ของข้าต้องพิษคงเป็นผลงานของท่าน มิทราบว่าท่านวางยาพิษอย่างไร แล้วยาแก้พิษอยู่ที่ใด”
ข้าเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้วจึงเอ่ยตอบอย่างสุขุม “ผู้เยาว์กังวลอยู่ก่อนแล้วว่าหากยงอ๋องนำทหารเดินทางมาช่วยจักรพรรดิแล้วสำนักท่านจับตัวพวกฝ่าบาทไว้จนฝ่ายเรากลัวพลาดพลั้งมิกล้าโจมตีจะสมควรทำเช่นไรดี เพื่อให้ช่วยเหลือฝ่าบาทได้ราบรื่น ผู้เยาว์จึงขอให้องค์หญิงฉางเล่อส่งคนสนิทไปเปลี่ยนเครื่องหอมที่จุดในเตากำยานตำหนักเสี่ยวซวงเป็นกำยานหอมล่องลอยที่ทำจากหนานเจียงตั้งแต่วันก่อน เครื่องหอมชนิดนี้กลิ่นหอมรื่นใจ หากคนสูดดมจะรู้สึกปลอดโปร่ง กล่าวไปแล้วก็โชคดีที่ลูกศิษย์สำนักเฟิงอี้มากกว่าครึ่งใช้ชีวิตสูงศักดิ์มานาน จึงไม่ขัดกิจวัตรของชนชั้นสูงเช่นการจุดเครื่องหอม
ทว่ากำยานหอมล่องลอยชนิดนี้หากสูดดมติดต่อกันสิบสองชั่วยามแล้วสูดกลิ่นหญ้าอูโถวของพิเศษจากเจียงหนานอีกชนิดหนึ่งเข้าไปต่อจะทำให้แขนขาชาอ่อนแรง ผู้เยาว์มิสนใจร่างกายที่ป่วยไข้ดึงดันเดินทางมาตำหนักเสี่ยวซวงก็เพื่อนำยาขี้ผึ้งที่ทำจากผงหญ้าอูโถวติดตัวมา จากนั้นให้เสี่ยวซุ่นจื่อใช้พลังภายในกระจายกลิ่นของหญ้าอูโถว เพราะทุกท่านถูกกลิ่นยาบนร่างผู้แซ่เจียงทำให้สับสนจึงไม่ทันสังเกตกลิ่นหญ้าอูโถว ทั้งองค์หญิงยังนำยาแก้ผสมในสุรามอบให้ฝ่าบาทกับใต้เท้าทุกท่านดื่มก่อนแล้ว จึงมีเพียงศิษย์สำนักท่านที่ต้องพิษ”
เจ้าสำนักเฟิงอี้ยิ้มละไม กล่าวว่า “เจียงซือหม่ามิเสียทีเป็นศิษย์ของหมอเทวดา ชำนาญวิชาผสมพิษ ข้านับถือ” หลังจากนั้นนางก็เห็นดวงตาของเจียงเจ๋อฉายแววลำพอง ความยินดีผุดพรายในใจ ดูท่าเจียงเจ๋อก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่พ้นยังมีความหยิ่งทะนง นั่นย่อมเป็นผลดียิ่งต่อการเคลื่อนไหวก้าวต่อไปของนาง ดังนั้นนางจึงเอ่ยเสียงอ่อนโยนกว่าเดิม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจียงซือหม่าโปรดมอบยาแก้ ให้ลูกศิษย์เหล่านี้ของข้าจากไปโดยไว”
ข้ามองยงอ๋อง ใช้สายตาขออนุญาต หลี่จื้อจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “สุยอวิ๋น มอบยาแก้ให้เจ้าสำนัก แต่ขอเจ้าสำนักโปรดส่งมอบอาวุธของศิษย์สำนักท่านมาก่อน มิเช่นนั้นข้าคงมิกล้าวางใจ”
ดวงตาเจ้าสำนักเฟิงอี้ทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่งแล้วตอบว่า “เรื่องนี้ย่อมแน่นอน หากยงอ๋องมิวางใจ จะให้ฝ่าบาทหลบไปก่อนก็ได้”
หลี่จื้อยินดียิ่งนัก เอ่ยตอบ “ในเมื่อเจ้าสำนักใจกว้างเช่นนั้น ข้าก็ขอน้อมรับความเมตตา ฉางเล่อ รีบพาพระสนมทั้งสองไปพักผ่อนที่ตำหนักข้างกับเสด็จพ่อ”
องค์หญิงฉางเล่อละล้าละลัง หันมองเจียงเจ๋อครั้งหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ฉางเล่อรับบัญชา”
กล่าวจบ นางก็ก้าวขึ้นบันไดเพื่อไปประคองหลี่หยวน ผู้ใดจะรู้ว่าเพิ่งเดินขึ้นไปได้ครึ่งทาง ประกายเย็นยะเยือกพลันปรากฏขึ้นดุจสายฟ้า เสียงหวานตวาด “หลี่เจิน ตายเสียเถอะ”
หลี่หันโยวที่เดิมทรุดล้มอยู่บนพื้นทะยานร่างขึ้นมา หนึ่งกระบี่แทงตรงไปยังหน้าอกขององค์หญิงฉางเล่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด ใครจะคิดว่าหลี่หันโยวที่ต้องพิษล้มอยู่กับพื้นจะลุกขึ้นมาก่อเรื่อง ความสนใจของทุกคนล้วนอยู่ที่ตัวเจ้าสำนักเฟิงอี้จึงไม่มีผู้ใดสนใจสตรีที่ต้องพิษนางหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีผู้ใดคิดว่าหลี่หันโยวจะลงมือในสถานการณ์ที่เจ้าสำนักเฟิงอี้เห็นด้วยกับการประนีประนอมแล้ว
ยามนี้เหลิ่งชวนกับเสี่ยวซุ่นจื่อล้วนอยู่ห่างหลายจั้ง แม้ทั้งสองคนจะตะโกนอย่างตกใจแล้วโผเข้ามาอย่างเร็วพร้อมกัน แต่คงขวางไม่ทันกาลแน่ ยอดฝีมือคนอื่นที่คุ้มกันยงอ๋อง คนที่ตายก็ตายไปแล้ว คนที่เจ็บก็เจ็บอยู่ ต่อให้เป็นคนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ไม่ได้สนใจหลี่หันโยว ไม่มีแม้สักคนจะช่วยได้ทัน
ฝ่ายสำนักเฟิงอี้เหวยอิง เซียวหลานกับเฟิ่งเฟยเฟยถอยไปคุ้มกันคนของสำนักเฟิงอี้ตั้งแต่ตอนเจ้าสำนักเฟิงอี้ปรากฏตัว พวกเขาย่อมมิอาจขัดขวางได้ ยิ่งไปกว่านั้น องค์หญิงฉางเล่อเป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้ความปรารถนาของพวกเขาพังทลาย พวกเขายิ่งไม่มีทางช่วยเหลือองค์หญิงฉางเล่อ
ผู้เดียวที่มีความสามารถพอช่วยเหลือองค์หญิงฉางเล่อได้ก็คือเจ้าสำนักเฟิงอี้ ทว่าเมื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้จะลงมือ กลับรู้สึกว่าเลือดอุ่นร้อนแล่นขึ้นมาจุกหน้าอก เพื่อไม่ให้เผยจุดอ่อน นางจึงจนปัญญา ทำได้เพียงวางสีหน้านิ่งเฉย มองดูด้วยแววตาเย็นชา ขณะที่ในใจกำลังขบคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้การตายขององค์หญิงฉางเล่อกระทบต่อสัญญาของทั้งสองฝ่าย
ตอนต่อไป