องค์หญิงฉางเล่อกำลังจะวายปราณในบัดดล ตอนนั้นเอง เงาร่างหนึ่งพลันถลันมาขวางหน้าองค์หญิงฉางเล่อราวกับปาฏิหาริย์ เพียงชั่วพริบตาคมกระบี่ก็เสียบทะลุหน้าอก โลหิตสาดกระเซ็นรอบด้าน คนผู้นั้นตะโกนอย่างรวดร้าว “หลี่หันโยว!”
ยามกระบี่คมปักลงบนอกของคนผู้นั้น เดิมทีหลี่หันโยวยินดีปรีดายิ่งนัก ทว่าหลังจากเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นชัดเจน นางกลับตาโตอ้าปากค้างอย่างมิอาจห้าม เมื่อได้ยินคำเรียกแฝงความเคียดแค้นของคนผู้นั้น หลี่หันโยวพลันส่ายหน้าอย่างสับสน ด้ามกระบี่ในมือราวกับเหล็กร้อนลวก นางปล่อยมือแล้วเตรียมถอยไปด้านหลัง แต่เมื่อดวงตาแดงก่ำคู่นั้นจับจ้อง นางกลับรู้สึกแข้งขาอ่อนไร้เรี่ยวแรง
ตอนนี้เอง คนผู้นั้นก็ชักกระบี่คู่กายข้างตัวแล้ววาดกระบี่ฟันลงมา วรยุทธ์และวิชากระบี่ของคนผู้นี้ห่างไกลหลี่หันโยวนัก หากเป็นก่อนหน้านี้ หลี่หันโยวย่อมหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ทว่ายามนี้หลี่หันโยวกำลังตื่นตระหนกสับสน เพราะไม่ว่าอย่างไรนางจะสังหารคนผู้นี้ด้วยมือตนเองมิได้เด็ดขาด ดังนั้นชั่วขณะที่หลี่หันโยวตกอยู่ในภวังค์ กระบี่คมกริบเล่มนั้นจึงเฉือนผ่านแก้มของหลี่หันโยว ทิ้งรอยแผลน่ากลัวลึกถึงกระดูกเอาไว้เส้นหนึ่ง หลี่หันโยวฉับพลันได้สติ ถอยหลังหลายก้าวอย่างรวดเร็ว มิให้ลำคอต้องมีชะตาถูกคนผู้นี้สะบั้นขาด ทว่าความเจ็บปวดสาหัสบนใบหน้ากับความกังวลที่รูปโฉมถูกทำลายก็ทำให้นางกรีดร้อง กุมใบหน้าทรุดลงไปนั่งกับพื้น
เรื่องราวที่พลิกผันครั้งนี้ทำให้ทุกคนรวมไปถึงเจ้าสำนักเฟิงอี้ตกตะลึง ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งก็ตะโกนลั่น “ชิงเอ๋อร์” แม่ทัพใหญ่ฝู่หย่วนฉินอี๋นั่นเอง
เขารู้สึกว่าในหัวสมองมีเสียงระเบิดดังตูมแล้วสับสนยุ่งเหยิง ในสายตาเหลือเพียงบุตรรักที่ถูกกระบี่เสียบอก เขาก้าวพรวดเข้าไปหมายจะประคองฉินชิง แต่มีคนขยับตัวเร็วกว่า องค์หญิงฉางเล่อร้องเรียกอย่างเศร้าสลด “พี่ชิง ท่านตายไม่ได้นะ!”
แม้นางจะพยุงฉินชิงเอาไว้แล้ว แต่นางเรี่ยวแรงน้อยนิดมือไม้บอบบาง ต่อให้พยายามฝืนประคองฉินชิงไว้ ตนเองก็เกือบจะล้มลงไปด้วย โชคดีที่ตอนนี้ฉินอี๋ก้าวเข้ามาโอบฉินชิงไว้แล้ว ทั้งสองคนจึงประคองฉินชิงให้นอนราบบนขั้นบันได
ที่แท้ผู้ที่ขวางหนึ่งกระบี่นั้นของหลี่หันโยวก็คือฉินชิง ฉินชิงแตกต่างจากผู้อื่น ตั้งแต่ต้นจนจบ สายตาของเขาจับจ้องอยู่บนร่างหลี่หันโยว บางคราเคียดแค้น บางคราหวนนึกถึงความรักที่มีก่อนหน้า ดังนั้นการเคลื่อนไหวผิดปกติของหลี่หันโยวจึงมีเพียงเขาที่สังเกตเห็น
เขาตั้งใจจะตายอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนี้เขาก็รู้ว่าวิชากระบี่ของหลี่หันโยวเหนือกว่าตนเอง หากใช้อาวุธขัดขวางเกรงว่ายากจะสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้ร่างกายขวางหน้าองค์หญิงฉางเล่อเอาไว้ ด้วยจิตใจแน่วแน่เตรียมรับความตายทำให้เขาก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกายจนใช้เลือดเนื้อขวางกระบี่แห่งความตายนี้ไว้ได้
เมื่อกระบี่คมเสียบลงบนแผ่นอก ในที่สุดความเคียดแค้นและเพลิงโทสะที่สุมอยู่ในหัวใจของฉินชิงก็ระเบิดออกมาหมดสิ้น เขาไม่สนใจความห่างชั้นด้านวรยุทธ์ของทั้งสองคนอีกแล้วฟันหนึ่งกระบี่ออกไป หนึ่งกระบี่นี้เขาไม่วาดหวังว่าจะประสบผลสักนิด ทว่ากลับทำลายโฉมหน้าของหลี่หันโยวสำเร็จ
หลี่หันโยวเดิมทีเกิดมาในครอบครัวยากจน จึงมิเคยชมชอบเครื่องหอมที่รมควันผู้คนเหล่านั้น แต่เพราะต้องรักษาภาพลักษณ์ของท่านหญิงเชื้อพระวงศ์ นางจึงไม่เคยแสดงออก ถึงกระนั้นนางก็พยายามอยู่ให้ห่างเตากำยานอยู่เสมอ
กำยานหอมล่องลอยชนิดนี้แม้มีกลิ่นหอมเย็นสดชื่น แต่มิทราบเพราะอย่างไรหลี่หันโยวจึงไม่ชอบกลิ่นชนิดนี้ ทว่าหากไม่อนุญาตให้จุดเครื่องหอม หลี่หันโยวก็กังวลว่าหากคนรู้เข้าจะขายหน้า ดังนั้นนางจึงจงใจออกไปดูลาดเลาหรือทำสิ่งอื่นอยู่ด้านนอก ด้วยเหตุนี้แม้นางจะต้องพิษ แต่พิษก็เบาที่สุด หลังจากลอบกินยาแก้พิษสำหรับสลายยาสลบที่ไม่ตรงกับตัวพิษจำนวนหนึ่ง ไม่นานกำลังก็ฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว ทว่าเวลานั้นเจ้าสำนักเฟิงอี้มาถึงแล้ว และกำลังเจรจากับหลี่จื้ออยู่ นางกังวลว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้จะทอดทิ้งพวกนาง เพื่อให้มีกำลังพอขัดขืน นางจึงไม่ลุกขึ้นมา
แต่ว่ายิ่งฟัง ในใจหลี่หันโยวยิ่งโกรธแค้น องค์หญิงฉางเล่อแรกสุดส่งราชโองการลับ ต่อมายังวางยาพิษ ทำให้เกียรติยศความมั่งคั่งที่นางคะนึงหาทุกห้วงลมหายใจลอยหายไปกับสายน้ำ หากไม่สังหารองค์หญิงฉางเล่อ ความแค้นนี้ของนางยากจะมลายหาย
ทว่าหลังจากนางเอ่ยปากบอกเจ้าสำนักเฟิงอี้ เจ้าสำนักเฟิงอี้กลับแสร้งทำเหมือนไม่ได้ยิน แต่เดิมนางเป็นผู้มีจิตใจหยิ่งทะนงอยู่แล้ว ชั่วขณะนั้นเพลิงโทสะจึงแผดเผาสติ ฉวยโอกาสยามองค์หญิงฉางเล่อเดินผ่านลงมือลอบสังหาร หนึ่งกระบี่นี้นางมั่นใจว่าต้องทำสำเร็จแน่ แต่ฉินชิงกลับมารับกระบี่นี้ไว้แทน
ไม่ว่านางจะใจแข็งดั่งศิลาสักเท่าใด ฉินชิงก็เป็นสามีของนาง แม้หัวใจนางมิเคยมีความรักแท้จริงให้แก่ฉินชิงสักเศษเสี้ยว แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับฐานะ นางไม่มีวันอยากแบกรับความผิดสังหารสามีด้วยมือตนเอง ความจริงแล้วหลังการใหญ่สำเร็จ เดิมทีนางคิดจะใช้อำนาจบีบบังคับให้ฉินชิงยอมรับตนเองใหม่อีกครั้ง ถึงอย่างไรฉินชิงก็เป็นตัวเลือกราชบุตรเขยที่ดี ต่อให้ฉินชิงไม่รับเจตนาดี หากต้องสังหารฉินชิง ย่อมต้องมิใช่นางลงมือแต่เป็นผู้อื่น
ความรู้สึกผิดบาปที่สังหารสามีกับความตกตะลึงครอบงำสติที่กำลังสับสน หลี่หันโยวจึงลืมหลบหลีกจนถูกฉินชิงฟันบาดเจ็บ
เรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้บรรยากาศตึงเครียดกว่าเดิม ทุกคนต่างกำอาวุธ ศึกชุลมุนใกล้จะอุบัติ
เวลานี้เจ้าสำนักเฟิงอี้รู้สึกว่าเลือดลมสงบลงแล้วจึงเอ่ยอย่างเย็นชา “หลี่จื้อ เจ้าอยากให้ข้าลงมือสังหารหรือ”
หลี่จื้อร่างสั่นเทา แต่ก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยออกมาทีละคำ “ผู้ใดก็ห้ามบุ่มบ่าม” เมื่อหลี่จื้อออกคำสั่ง การสังหารนองเลือดที่จะอุบัติขึ้นอยู่รอมร่อจึงถูกปรามเอาไว้ได้ ทว่าบรรยากาศภายในท้องพระโรงกลับทำให้ทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ข้ามองฉินชิงอย่างตะลึงแล้วแบฝ่ามือขวาออก บนมือขวาโลหิตไหลอาบ เมื่อครู่ยามองค์หญิงฉางเล่อถูกลอบสังหาร ข้าทำได้เพียงเบิ่งตามอง ลืมสิ้นทุกสิ่ง เมื่อได้สติกลับมาจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเล็บมือขวาจิกกลางฝ่ามือจนได้แผล ข้าพยายามลุกขึ้นแล้วเอ่ยอย่างร้อนรน “เสี่ยวซุ่นจื่อ พยุงข้าไปที”
เสี่ยวซุ่นจื่อเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าคล้ำเขียวแล้วพยุงข้าไปถึงข้างกายฉินชิง เวลานี้ฉินชิงหมดสติไปแล้ว ข้าคุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นยื่นมือแตะบนข้อมือของฉินชิง ผ่านไปครู่หนึ่งข้าก็เงยหน้าขึ้น เห็นดวงเนตรคลอน้ำตาขององค์หญิงฉางเล่อกับสายตาเปี่ยมความหวังของฉินอี๋ ก็ได้แต่ส่ายศีรษะแผ่วเบาอย่างจนหนทาง “แม่ทัพฉินถูกกระบี่แทงจนหัวใจกับปอดเสียหาย ไม่มีทางรักษาชีวิตไว้ได้แล้ว หากแม่ทัพใหญ่อนุญาต ผู้น้อยจะใช้เข็มทองฝังลงบนจุดลมปราณ ให้แม่ทัพฉินมีสติกลับมาได้ช่วงเวลาหนึ่ง”
ฉินอี๋รู้สึกดั่งชีวิตหลุดลอยออกจากร่าง เขานิ่งงันอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “รบกวนใต้เท้าฝังเข็มด้วย”
ข้าถอนหายใจแล้วรับปิ่นเหล็กนิลที่เสี่ยวซุ่นจื่อยื่นให้ ฝังเข็มสองสามครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งฉินชิงก็ไอสองสามหนแล้วลืมตาขึ้น มือสั่นระริกของฉินอี๋ลูบใบหน้าของฉินชิง น้ำตาของท่านผู้เฒ่าไหลพราก “ชิงเอ๋อร์ บิดาไม่ดีเอง ก่อนนี้ยุ่งอยู่แต่การรบทัพจับศึก ไม่ได้สั่งสอนเจ้าให้ดีจนปล่อยให้เจ้าถูกผู้อื่นหลอกใช้ วันนี้ยัง…ยัง…” เขาพูดต่อไม่ออก
ดวงตาของฉินชิงไร้ความเคืองแค้น แต่กลับใสกระจ่าง เขาเอ่ยอย่างสงบ “ท่านพ่อ ลูกลุ่มหลงหญิงงามจนทำให้ฝ่าบาทกับท่านพ่อเกือบเป็นอันตราย ยามนี้ลูกเข้าใจแล้วว่าวันวานทำผิด วันนี้จึงต้องตายชดใช้ ขอท่านพ่ออย่าได้เสียใจเพราะลูก” คำพูดของเขาฟังชัดยิ่งนัก ใบหน้าก็แดงระเรื่อ แต่ทุกคนต่างทราบว่าเวลานี้เขาเป็นเพียงแสงสุดท้ายก่อนลับฟ้า ฉินอี๋เจ็บปวดรวดร้าวยากจะทน แต่ก็มิรู้ว่าสมควรพูดสิ่งใด
สายตาของฉินชิงจับบนร่างองค์หญิงฉางเล่อแล้วคลี่ยิ้ม “องค์หญิง ฉินชิงกับองค์หญิงเป็นสหายกันมาแต่เล็ก แต่ฉินชิงโง่เขลา มิเข้าใจความทุกข์ขององค์หญิงที่ต้องเสียสละเพื่อบ้านเมือง กลับต่อว่าอย่างร้ายกาจ ไม่แปลกที่องค์หญิงจะผิดหวังกับฉินชิง”
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยเสียงอ่อนโยน “พี่ชิง เรื่องในอดีตไม่ต้องพูดถึงแล้ว ท่านยังเป็นพี่ชิงคนเดิมของข้า แม้ฉางเล่อเคยขุ่นเคืองท่าน แต่ท่านไม่คะนึงถึงความแค้นในวันวาน สละชีวิตช่วยข้า ฉางเล่อไม่รู้ว่าสมควรจะขอบคุณท่านเช่นไรจึงเหมาะสม พี่ชิง หากมีอันใดยังติดค้าง บอกฉางเล่อได้ทั้งสิ้น”
สายตาของฉินชิงหม่นแสงลงเล็กน้อย เขาเอ่ยว่า “องค์หญิง ฉินชิงไร้ความสามารถ ผิดต่อหน้าที่ นำภัยมาสู่ตระกูล ขอองค์หญิงโปรดเห็นแก่ท่านพ่อภักดีเสมอมา ขอร้องฝ่าบาทกับยงอ๋องอย่าได้ลงโทษตระกูลฉินเพราะฉินชิง”
องค์หญิงฉางเล่อยกมือขึ้นปิดหน้าตอบว่า “พี่ชิงโปรดวางใจ ข้าจักขอความเมตตาจากเสด็จพ่อกับเสด็จพี่ให้แน่”
เวลานี้หลี่หยวนพลันตรัสว่า “ฉินชิง เจ้าช่วยธิดารักของข้า และหากไม่ได้ตระกูลฉินของเจ้าเดินทางมาช่วยก็คงไม่มีทางปราบกบฏได้รวดเร็วเช่นนี้ ข้ามีแต่จะพระราชทานรางวัลให้ตระกูลฉิน จะลงโทษได้อย่างไร เจ้าไม่ต้องกังวล”
สายตาของฉินชิงเคลื่อนมาจับบนร่างของยงอ๋อง หลี่จื้อตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่ทัพฉิน ข้าสาบาน ณ ที่นี่ว่าจะไม่มีวันลงโทษตระกูลฉินอย่างไร้สาเหตุเด็ดขาด แม่ทัพฉินหย่งช่วยชีวิตข้าไว้ แม่ทัพเฒ่าจงรักภักดีมาเสมอ ตัวเจ้าก็ช่วยน้องสาวเอาไว้อีก ในใจข้าซาบซึ้งยิ่งนัก ไม่มีวันมอบโทษตอบแทนคุณแน่นอน”
ตอนนี้ฉินชิงจึงวางใจ ยื่นมือออกมากุมมือเจียงเจ๋อไว้ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “พี่เจียง ก่อนหน้านี้ฉินชิงเคยดูแคลนท่าน แต่วันนี้ข้ายอมรับนับถือท่านจากใจ องค์หญิงชะตาชีวิตน่าสงสารนัก ท่านอย่าได้ทำผิดต่อนาง อย่ารั้งรอไม่เดินหน้าเพราะฐานะหรือขนบธรรมเนียม” พูดจนถึงท่อนท้ายเสียงก็เบาหวิวอย่างยิ่ง นอกจากข้าน่าจะไม่มีผู้ใดได้ยิน
หัวใจข้าเศร้าสลด แม้ข้าทราบโฉมหน้าที่แท้จริงของหลี่หันโยวมาตลอด แต่ข้ากลับไม่เคยคิดเตือนฉินชิง กลับมองดูฉินชิงจมดิ่งลึกลงไปทีละก้าวๆ ข้าเอ่ยอย่างละอายใจ “แม่ทัพฉิน ท่านวางใจเถิด ข้าจริงใจต่อองค์หญิง จะไม่ทำผิดต่อนางเด็ดขาด ขอเพียงเจียงเจ๋อยังมีชีวิตอยู่วันหนึ่ง จะไม่มีวันปล่อยให้ตระกูลฉินพบเภทภัย”
ฉินชิงได้ฟังคำสัญญาแผ่วเบาของข้า ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มโล่งใจ เขาหันไปมองบิดาแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ลูกขอลา” ฉินชิงเอ่ยจบก็หลับตาลง ลมหายใจค่อยๆ แผ่ว เพียงพริบตาก็เดินทางสู่ปรโลกแล้ว
ฉินอี๋เรียกหาอย่างเศร้าโศก “ชิงเอ๋อร์!” เสียงตะโกนเรียกอันรวดร้าวที่ผสมปนเปกับเสียงกรีดร้องชวนสังเวชของหลี่หันโยวล่องลอยไปแสนไกล
ตอนต่อไป