ตอนที่ 529 เจ้าต้องควบคุมข้าไปตลอดชีวิต

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 529 เจ้าต้องควบคุมข้าไปตลอดชีวิต

หลินจื่อเหยียนรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย แต่ก็ลุกขึ้นพูดอย่างมีมารยาท “ทูลพระชายา กระหม่อมหลินจื่อเหยียน เป็น…น้องชายคนโตของพี่รองพ่ะย่ะค่ะ”

หมินหวางเฟยพยักดวงพักตร์ “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ใช่คนนอก นั่งลงเถิด ไม่ต้องมากพิธีหรอก จื่อเหยียน เล่าเรื่องของพี่รองให้ข้าฟังหน่อย ข้าอยากรู้เรื่องราวในอดีตของนาง…”

หมินหวางเฟยสังเกตเห็นนิสัยนิ่งเงียบของเจียงโม่หานแล้ว เขาเป็นคนพูดน้อย หากถามเขาก็คงพูดไม่กี่คำแล้วไม่มีอะไรพูดต่อ ดังนั้นจึงเลือกเด็กหนุ่มที่ดูจะอายุน้อยกว่า เพราะเขาดูเป็นบัณฑิตที่มีชีวิตชีวามากคนหนึ่ง

หลินจื่อเหยียนยังรู้สึกไม่กล้าเป็นตัวของตัวเองมากนัก เขาตอบกลับด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ครอบครัวของกระหม่อมมีฐานะธรรมดา ตอนท่านพ่อยังอยู่ก็ถือว่าดี ทั้งครอบครัวได้กินอิ่ม แต่หลังจากท่านพ่อหายตัวไปเพราะออกล่าสัตว์แล้ว ชีวิตครอบครัวก็ตกต่ำลงทุกวัน ท่านแม่ประหยัดกินประหยัดใช้เพื่อเลี้ยงพวกเราสี่พี่น้อง…หากมีตรงไหนดูแลจวิ้นจู่ได้ไม่ดี ก็ขอให้ท่านอ๋องและพระชายาอภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“เด็กโง่ เราจะโทษพวกเจ้าได้อย่างไร ? เว่ยเอ๋อร์ก็พูดแล้วว่าตอนนั้นนางสติไม่ดี ควบคุมตัวเองไม่ได้ ซ้ำยังเป็นตัวถ่วงให้พวกเจ้าด้วยซ้ำ ! ” หมินหวางเฟยแอบถอนหายใจกับตนเอง

ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากเช่นนั้น สตรีอ่อนแอคนเดียวต้องดูแลบุตรถึงสี่คน ไม่รู้ว่าจะลำบากขนาดไหน แม้แต่ตัวเองจะหิวตายหรือลุกไม่ขึ้นก็ยังไม่ยอมทิ้งบุตรคนไหนเลย แม้ว่าบุตรคนนั้นจะมีปัญหาทางสมอง มีมารดาที่จิตใจงดงามถึงขนาดนี้จึงสามารถเลี้ยงบุตรให้รู้ความและเอาใจใส่ออกมาได้

หลินจื่อเหยียนรีบพูด “ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ! พี่รองเก่งมาก ! ” ต่อจากนั้น เขาก็เล่าว่าหลังจากหลินเว่ยเว่ยหายเป็นปกติแล้วได้ทำอะไรลงไปบ้าง…สร้างกิจการเนื้อแผ่นในบ้าน โรงงานแปรรูปเมล็ดสน โกดังที่ท่าเรือแล้วยังเป็นหุ้นส่วนกับร้านหนิงจี้…

หมินหวางเฟยฉีกยิ้มและคอยฟังอยู่เงียบ ๆ หลังฟังเขาเล่าจบแล้วนางก็ตรัสว่า “แท้จริงการที่เว่ยเอ๋อร์บอกว่าทำขนมกับอาหารมีสรรพคุณทางยาได้ ก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ! ”

หลินจื่อเหยียนพยักหน้ารับแรง ๆ “เป็นเรื่องจริงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! หลายปีมานี้ร่างกายของท่านแม่เสียหายอย่างหนัก จนท่านหมอเหลียงบอกว่าหากไม่บำรุงให้ดีแล้วอย่างมากสุดก็มีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ 3 ปี ทั้งยังต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยการนอนติดเตียง พี่รองตัดเขากวางอ่อนและโสมเก็บไว้ แล้วไปเรียนทำอาหารที่มีสรรพคุณทางยาจากท่านหมอเหลียง นางจึงทำอาหารที่เหมาะกับท่านแม่ทุกวัน ตอนนี้ท่านแม่หายป่วยแล้วยังสุขภาพดีกว่าคนทั่วไป ตอนพวกเราเดินทางออกมา ท่านแม่กับน้าเฝิงก็กำลังยุ่งกับการทำผลไม้อบแห้งพ่ะย่ะค่ะ”

พอได้ยินเรื่องราวดั่งตำนานในอดีตของบุตรสาวแล้ว หมินอ๋องก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ…ดูเถิด บุตรสาวไม่เหมือนใครจริง ๆ !

หลังได้ยินหลินจื่อเหยียนพูดว่ามารดาผู้มีร่างกายอ่อนแอและหมอบอกว่าจะอยู่ต่อได้อีกแค่สามปี แต่ได้รับการบำรุงจนแข็งแรงกว่าคนทั่วไป พระองค์ก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย…สำหรับอาการป่วยและร่างกายของเสวี่ยเอ๋อร์ หมอหลวงและหมอชาวบ้านที่มีชื่อเสียงต่างลงความเห็นเดียวกันว่าไร้ทางรักษา บางที…อาจใช้อาหารที่มีสรรพคุณทางยามารักษาก็ได้กระมัง ?

ขณะหลินเว่ยเว่ยยกชามน้ำแกงแปะก๊วยป๋ายเหอใส่พุทราแดงเข้ามา นางก็เห็นหมินหวางเฟยกำลังฟังเรื่อง ‘วีรกรรม’ ในอดีตของนางจากหลินจื่อเหยียนด้วยความตื่นเต้น เรื่องราวเล่าไปถึงตอนที่นางใช้ลูกศรไม้ไผ่สังหารโจรตงหูและช่วยราษฎรไว้ได้

หมินอ๋องตั้งใจฟังยิ่งกว่าใครเพื่อน พระองค์มีอารมณ์ร่วมจนอดไม่ได้ที่จะตบโต๊ะแล้วบอกว่า ดี ! จากนั้นก็ตรัสว่า “สมกับเป็นบุตรสาวตระกูลจ้าว ถึงจะเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่ง ก็ไม่ลืมที่จะปกป้องคนในครอบครัวและแผ่นดิน ! ลูกรัก ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ฟู่หวางจะพาเจ้าไปเดินเล่นที่ค่ายทหาร จะได้สยบความเย่อหยิ่งของนายทหารเหล่านั้นบ้าง ! ให้พวกมันได้รู้ว่าสิ่งใดคือเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ! ”

หมินหวางเฟยรีบขัด “เว่ยเอ๋อร์เป็นสตรี พวกลูกน้องของพระองค์แต่ละคนเหมือนหมาป่า อย่าทำให้นางกลัวเพคะ ! ”

“สตรีแล้วอย่างไร ? สตรีตำหนักหมินอ๋องของพวกเรามีใครกล้าดูถูก ? พอถึงเวลานั้นใครจะทำให้ใครกลัวยังไม่รู้เลย ! ” เมื่อครู่หมินอ๋องฟังจนเลือดเดือดพล่านไปทั้งวรกาย จึงตรัสอะไรที่บ้าระห่ำออกมา

หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า…ใช่ ! ใครทำให้ใครกลัวยังไม่รู้เลย ! ขอแค่ไม่ใช่ยอดฝีมืออย่างหมินอ๋อง นางก็มั่นใจว่าจะสู้กับอีกฝ่ายได้…เพราะอย่างไรคนแรงเยอะหนึ่งคนก็เอาชนะคนที่ต่อสู้เก่งได้ถึง 10 คน !

เจียงโม่หานเหลือบมองนาง…เจ้ายังพยักหน้ารับอีก ? หรือคิดอยากจะไปประลองที่ค่ายทหารจริง ๆ ?

แต่แล้วหลินเว่ยเว่ยก็รีบส่ายหน้าและมองหมินอ๋องด้วยรอยยิ้ม “ไม่ไปดีกว่าเพคะ ! หม่อมฉันกลัวลูกน้องของฟู่หวางเหล่านั้นจะสู้แพ้แล้วเกิดสติแตก หรือไม่มีใจอยากจะสู้ขึ้นมาอีกเลย”

หมินอ๋องลูบเครา “ก็จริง ! ”

หลินเว่ยเว่ยมอบชามน้ำแกงใส่พระหัตถ์หมินอ๋อง “หมู่เฟยลองชิมว่าถูกปากหรือเปล่าเพคะ”

ก่อนหน้านี้หมินหวางเฟยเสวยเค้กพุทราแดงไปแล้วสองสามคำ นางจึงไม่อยากอาหารสักเท่าไร แต่เนื่องจากเป็นของที่บุตรสาวทำให้ นางจึงให้เกียรติเสวย…หืม ? รสชาติไม่เลว ! ไม่รู้ว่าใส่เครื่องปรุงอะไรลงไปจึงสามารถปลุกต่อมรับรสที่หลับใหลไปนานของนางให้กลับมาทำงานอีกครั้ง นางเสวยน้ำแกงไปถึงครึ่งชาม !

ต้องทราบก่อนว่าในเวลาปกติ ของที่เป็นน้ำแกงเช่นนี้ นางแค่เสวยไม่กี่คำก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว ! เหมยหยิงดีใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา…นางเกลียดฝีมือตัวเองที่ทำให้พระชายาไม่เจริญอาหารมาโดยตลอด…

นางกลั้นน้ำตาเอาไว้แล้ววางเค้กไข่นึ่งลงที่โต๊ะข้างแท่นบรรทม “พระชายา นี่เป็นเค้กไข่นึ่ง ท่านหญิงทำเองกับมือ พระองค์ลองเสวยหน่อยเถิดเพคะ”

หลินเว่ยเว่ยยกเค้กไข่นึ่งที่มีสีเหลืองอ่อนและท่าทางนุ่มมากขึ้นมา นางพูดด้วยรอยยิ้ม “วัตถุดิบมีจำกัด จึงทำได้เท่านี้เพคะ รอให้ร่างกายของหมู่เฟยดีขึ้นหน่อยแล้วลูกจะทำขนมเค้กอบ นมแพะย่าง ซูเฟล…ขอแค่พระองค์ชอบสิ่งใด ลูกจะทำให้หมดเลยเพคะ ! ”

หมินหวางเฟยเสวยน้อยอยู่แล้ว แม้จะเสวยจนอิ่มแต่ก็ยังให้เกียรติด้วยการตักชิมหนึ่งคำ ทันใดนั้นดวงเนตรก็เปล่งประกายและตักชิมเพิ่มอีกคำ ก่อนจะต้องวางช้อนลงด้วยความไม่เต็มใจ “หวาน ๆ นุ่ม ๆ มีความชุ่มฉ่ำและกลิ่นหอมของไข่อ่อน ๆ วิเศษมาก ! แต่ว่าแม่กินต่อไม่ไหวแล้วจริง ๆ…”

หลินเว่ยเว่ยยกเค้กไข่นึ่งให้หมินอ๋อง หลังได้ยินแบบนั้นนางก็พูดว่า “ตอนนี้กระเพาะของหมู่เฟยยังอ่อนแออยู่ เสวยไม่ไหวก็อย่าฝืนเพคะ ต่อไปอยากเสวยอีกเมื่อใด ลูกค่อยทำให้อีก ฟู่หวางก็ลองชิมสิเพคะ ! ”

ต่อจากนั้น นางก็ยังไม่ลืมที่จะแบ่งให้เจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนคนละชิ้น เหมยหยิงเห็นพระชายาไม่เพียงเสวยน้ำแกงไปหลายคำ แต่ยังเสวยเค้กไข่นึ่งไปด้วย จึงรู้สึกดีใจแทนเจ้านาย “ท่านหญิงชอบกินอะไรเจ้าคะ ? ประเดี๋ยวบ่าวจะสั่งให้ทางห้องเครื่องใหญ่เตรียมให้เจ้าค่ะ ! ”

หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิด แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา หมินอ๋องก็ชิงตรัสก่อนแล้ว “เว่ยเอ๋อร์นิสัยเหมือนเปิ่นหวางคือชอบกินเนื้อ ! แล้วกินเผ็ดได้ ! ”

หมินหวางเฟยกลอกตาใส่พระสวามี “เป็นของที่นางชอบหรือพระองค์ชอบกันแน่เพคะ ? ให้เว่ยเอ๋อร์พูดเอง ! พระองค์ก็อายุปูนนี้แล้ว เสวยอาหารรสจัดให้น้อยลงหน่อยเถิด ! ”

หมินอ๋องพยักดวงพักตร์อย่างเชื่อฟัง “ได้ ฟังเจ้าทุกอย่าง ! เจ้าก็รู้ว่าข้าควบคุมตัวเองได้ไม่ดี ดังนั้นเจ้าต้องดูแลตัวเองให้แข็งแรงแล้วมาควบคุมข้าไปตลอดชีวิต…”

หมินหวางเฟยนำพระหัตถ์ขาวดั่งหิมะไปวางทับหลังพระหัตถ์อันทรงพลังของหมินอ๋อง ก่อนจะตรัสออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ ! หม่อมฉันจะควบคุมพระองค์ไปจนเกศาขาวโพลน พระทนต์ร่วงหมดโอษฐ์ พระขนองโก่ง…”

กรี๊ด ! โรแมนติกมาก หวานกันสุด ๆ ! หลินเว่ยเว่ยอดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงในใจ ‘เรื่องโรแมนติกที่สุดที่ฉันคิดออกคือ ค่อย ๆ แก่ชราไปพร้อมคุณ รอให้แก่เฒ่าจนไปไหนไม่ไหวแล้ว คุณก็ยังจะเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าในมือฉันเหมือนเดิม ! ’