ตอนที่ 530 ทั้งตำหนักมีแค่หมินอ๋องเท่านั้นที่เลอะเลือน
นางเบนสายตาไปยังเจียงโม่หานที่อยู่ด้านข้าง และในเวลานี้ตัวเขาเองก็กำลังมองมาเช่นกัน หลินเว่ยเว่ยใช้โอกาสที่มีแขนเสื้อคลุมอยู่แอบจับมือกับเขา…ข้าจะอยู่กับเจ้าไปจนแก่เฒ่าแน่นอน !
แต่แล้วทันใดนั้นเอง หมินอ๋องก็กวาดดวงเนตรมาทางนี้ราวกับมีเครื่องติดตามแฝงอยู่ ขณะมองทั้งสองจับมือกันใต้แขนเสื้อ พระองค์ก็เลิกพระขนงขึ้น “ปล่อยมือเดี๋ยวนี้ ! เจ้าอย่าได้ฝันว่าจะลวนลามบุตรสาวต่อหน้าเปิ่นหวาง ! ”
หลินเว่ยเว่ย “…”
ฟู่หวาง พระองค์ลำเอียงเกินไปแล้ว เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าข้าเป็นฝ่ายลวนลามบัณฑิตน้อย !
หลังใช้นิ้วเกาฝ่ามือเจียงโม่หานแล้ว หลินเว่ยเว่ยถึงได้ยอมปล่อยมือในท่าทางที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หมินหวางเฟยรู้สึกว่าน่าขบขันมาก นางตรัสกับหมินอ๋องว่า “พวกเขาเป็นคู่หมั้นกัน จับมือเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเป็นอะไรไป ? พระองค์ลืมแล้วหรือว่าตอนยังหนุ่มก็ชอบมาเดินวนเวียนอยู่ที่หน้าประตูบ้านหม่อมฉันทุกวัน และทุกครั้งที่หม่อมฉันออกจากบ้าน ท่านพ่อก็ทำเหมือนมีขโมย แทบอยากจะหยิบไม้กวาดมากวาดพระองค์ออกไปไกล ๆ ! ”
หมินอ๋องย้อนนึกถึงวันวาน มุมโอษฐ์ยกยิ้มทันที แต่แล้วก็หุบยิ้มอย่างรวดเร็วและหันไปถลึงดวงเนตรใส่เจียงโม่หานแทน “พอมีบุตรสาวแล้ว ข้าถึงเข้าใจความรู้สึกของท่านพ่อตา…กว่าตัวเองจะเลี้ยงบุตรสาวสุดที่รักให้เติบใหญ่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าโดนหมาป่าคาบไปกิน หากไม่โกรธก็ต้องทำใจไม่ได้ ! ”
เจียงโม่หาน ‘ขอเตือนหน่อย เว่ยเว่ยเป็นบุตรสาวสุดที่รักที่ป้าหวงเลี้ยงมา หมินอ๋องไม่ได้เลี้ยงนางสักวัน ! หมินอ๋องผู้เลอะเลือน มีบิดาที่อยากทำลายงานแต่งของบุตรชายอย่างพระองค์ที่ไหนกัน ? ’
หมินหวางเฟยก็คิดแบบนั้น นางหันไปทอดพระเนตรเจียงโม่หานแล้วตรัสเกลี้ยกล่อมหมินอ๋อง “ลูกหลานย่อมมีโชคลาภของพวกเขาเอง ! เว่ยเอ๋อร์กับหานเอ๋อร์รักกัน ส่วนพระองค์ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง เช่นนั้นจะห่างเหินกับบุตรสาวเอาได้ พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสแล้วหรือว่านิสัยของบุตรสาวเหมือนหม่อมฉันกับพระองค์ แล้วนางจะยอมโดนคนอื่นจูงจมูกได้ง่าย ๆ หรือเพคะ ? ”
หมินอ๋องตีหน้ามึน แม้จะไม่พอพระทัยอยู่บ้าง แต่จะไม่สนความสัมพันธ์ของตนกับบุตรสาวไม่ได้ “เอาเถิด…แต่ว่า หากเจ้าเด็กคนนั้นไม่ดีต่อเว่ยเอ๋อร์ หรือทำเรื่องที่ผิดต่อเว่ยเอ๋อร์ ข้าไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ ! ”
“พระองค์ก็อย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมสิเพคะ หม่อมฉันคิดว่าหานเอ๋อร์ไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย ! ” หมินหวางเฟยมองหมินอ๋องด้วยรอยยิ้ม…นิสัยที่คนตระกูลจ้าวเป็นกันหมดก็คือคลั่งรัก แม้นางจะป่วยมานานขนาดนี้ คนที่อยู่ในฐานะสูงส่งอย่างพระสวามีก็ไม่เคยคิดจะมีสนม ดังนั้นนางจึงเชื่อว่าบุตรชายของพระองค์ก็จะไม่นอกใจภรรยา !
“อาหารมื้อเย็นจะพร้อมแล้ว พระองค์พาพวกเด็ก ๆ ไปกินกันเถิดเพคะ หม่อมฉันเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อนสักหน่อย” ไม่รู้เป็นเพราะอารมณ์หรือเพราะดื่มน้ำแกงและเสวยขนมเข้าไป หมินหวางเฟยจึงรู้สึกอุ่นไปทั้งกาย ตอนนี้นางกำลังรู้สึกสบายตัวไปหมด
สมัยก่อน เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวก็จะเป็นช่วงเวลายากลำบากที่สุดสำหรับนาง เพราะนางจะรู้สึกเย็นเข้ากระดูก ปวดไปทั้งตัวและนอนไม่หลับทั้งคืน แต่ตัวนางในเวลานี้อยากจะนอนหลับสนิทสักตื่น เพื่อชดเชยการนอนไม่พอในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แต่หมินอ๋องไม่อยากออกไปสักเท่าไร เพราะยากนักกว่าที่เสวี่ยเอ๋อร์จะอารมณ์ดีได้เหมือนวันนี้ ทั้งกินอาหารและพูดจาน่าฟัง…บางทีอาจเป็นเหมือนที่หมอหลวงพูดไว้ว่าอาการป่วยส่วนใหญ่ของเสวี่ยเอ๋อร์เป็นโรคทางใจ ตอนนี้ลูกกลับมาแล้วตัวนางก็ไม่ป่วยทางใจ อีกไม่นานก็คงกลับมาเป็นเหมือนอดีตกระมัง ?
หลังเห็นหมินหวางเฟยหลับไปแล้ว หมินอ๋องก็ต้องพาบุตรสาวและบัณฑิตทั้งสองออกไปโดยไม่ค่อยพอพระทัยสักเท่าไร หมินอ๋องใกล้จะไปถึงห้องเสวยแล้ว จู่ ๆ ก็เกิดตบพระนลาฏแล้วตรัสว่า “ก็ว่าแล้ว ! ลืมพาเจ้าไปพบท่านย่า ! ไป ไป ! พวกเราไปกินอาหารเย็นเป็นเพื่อนท่านย่าของเจ้า ! ”
เมื่อมาถึงเรือนฝูหรง ฮูหยินผู้เฒ่าที่ทราบข่าวและรอบุตรชายพาหลานมาให้ดูหน้า ก็รู้สึกว่า “…” เจ้าลูกคนนี้ยังใช้ได้หรือเปล่า ? นี่เวลาใดแล้วเพิ่งนึกได้ว่ายังมีมารดาคนนี้อยู่ !
“ท่านแม่ ดูสิว่าลูกพาใครกลับมา ! ” หมินอ๋องแอบเหลือบมองสีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าอย่างสำนึกผิด…โชคดีที่ภายนอกยังดูสดใส คงไม่เอาไม้เท้าหัวมังกรมาตีบุตรชายต่อหน้าหลานสาวหรอกกระมัง ? อย่างน้อยก็น่าจะไว้หน้าคนเป็นท่านอ๋องอยู่บ้าง
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่สนใจเขา เพียงเลื่อนสายตามาที่เด็กหนุ่มสาวทั้งสามคนที่มีอายุใกล้เคียงกัน ท้ายที่สุดนางก็กวักมือเรียกเจียงโม่หาน “หลานรัก มานี่ มาให้ย่าดูหน้าเจ้าหน่อย ! ”
หมินอ๋องรีบผลักหลินเว่ยเว่ยออกไปด้านหน้าแล้วตรัสว่า “ท่านแม่ นี่ต่างหากถึงจะเป็นหลานสาวของท่าน เลือดเนื้อเชื้อไขตระกูลจ้าวของพวกเรา ! ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดสายตามองหลินเว่ยเว่ย ทันใดนั้นคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเจียงโม่หานอีกครั้ง…เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเด็กคนนี้หน้าตาเหมือนตัวนางถึงเจ็ดแปดส่วน ตอนที่นางยังเป็นสาวแรกรุ่นก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับต้น ๆ เชียวล่ะ ! แต่บุตรชายกลับบอกว่าเด็กสาวคนนั้นต่างหากถึงจะเป็นหลานที่หายตัวไปของนาง ?
“ถ้าเช่นนั้น…เขาเป็นใคร ? ” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้แสดงความสงสัยในใจออกมา แต่ก็ยังอดถามถึงเด็กหนุ่มไม่ได้
หมินอ๋องแสดงท่าทีอารมณ์เสียเล็กน้อย “เขาเป็นคู่หมั้นที่แม่เลี้ยงของเว่ยเอ๋อร์เลือกให้นาง ส่วนนั่นเป็นน้องชายของเว่ยเอ๋อร์ ! เว่ยเอ๋อร์ เจ้ารีบเข้าไปคารวะท่านย่าสิ ! ”
หลินเว่ยเว่ยเห็นสายตาของฮูหยินผู้เฒ่ายังคงมองมาที่ใบหน้าของบัณฑิตน้อยด้วยความสงสัย นางจึงลอบถอนหายใจ ช่างมีสติปัญญาและมีไหวพริบจริง ๆ…ตอนนี้บรรดาเจ้านายทั้งสามคนในตำหนักหมินอ๋อง เหมือนจะมีแค่หมินอ๋องเท่านั้นที่เลอะเลือน ส่วนอีกสองคนที่เหลือเกรงว่าจะหลอกไม่ง่ายเลยจริง ๆ !
ทว่าเรื่องมาเป็นตัวปลอมนี้ ไม่ใช่สิ่งที่นางเต็มใจ วันหน้าหากถูกเปิดโปงแล้วให้ไปทูลถามสาเหตุจากฮ่องเต้ก็ได้…เพราะความคิดแย่ ๆ นี้เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้กับบัณฑิตน้อยรวมหัวกันคิดออกมา นางจะไม่ยอมแบกรับหม้อก้นดำไว้เด็ดขาด !
“เว่ยเอ๋อร์คารวะท่านย่า ขอให้ท่านย่ามีความสุขและอายุยืนยาวเจ้าค่ะ ! ” หลินเว่ยเว่ยเดินขึ้นไปข้างหน้าสองก้าวและคุกเข่าคารวะหญิงชรา
ฮูหยินผู้เฒ่าประคองนางด้วยมือข้างเดียวที่แสนสั่นเทาเพื่อบอกให้นางไม่ต้องมากพิธี แล้วถอดกำไลหยกขาวมันแพะออกจากข้อมือหนึ่งวง “เอาไปเป็นของเล่นก็แล้วกัน…หยูอัน ได้ยินว่าเว่ยเอ๋อร์มีพรสวรรค์ด้านพละกำลังมหาศาลเหมือนท่านลุงของเจ้า เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? ”
หมินอ๋องเผยสีพระพักตร์ดีใจและรีบตรัสว่า “จริงเสียยิ่งกว่าจริงอีกขอรับ ! ตอนสู้กับลูก เว่ยเอ๋อร์ก็ซัดจนแขนของลูกชาไปหมด ลูกถึงขั้นไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง ธนูสุริยันของตระกูลเรามีผู้สืบทอดแล้วขอรับ ! ”
ธนูสุริยันคืออะไร ? หลินเว่ยเว่ยทำท่าทางอยากรู้อยากเห็น
แต่เจียงโม่หานรู้เรื่องนี้ดี ธนูสุริยันนี้เป็นของที่สืบทอดกันมาของตระกูลจ้าว ลือกันว่าเป็นธนูที่มีน้ำหนักเท่าหินสิบก้อน แค่ธนูหนักเท่าหินก้อนเดียวก็จำเป็นต้องใช้แรงถึงร้อยชั่งจึงจะน้าวสายธนูได้ ถ้าหนักเท่าหินสิบก้อนก็จะไม่เท่ากับต้องใช้แรงดึงประมาณหนึ่งพันชั่งหรอกหรือ ? คนที่น้าวสายธนูหนักเท่าหินสิบก้อนได้ มีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้นกระมัง ?
เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ความคาดหวังที่หมินอ๋องมีต่อเว่ยเว่ยจะสูงเกินไปหน่อยหรือเปล่า ถ้าเว่ยเว่ยทำไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าพระองค์จะมีท่าทีอย่างไร
เจียงโม่หานหวังว่าหลินเว่ยเว่ยจะได้รับความรักและความเอาใจใส่จากผู้คนในตำหนักหมินอ๋องด้วยใจจริง แต่ไม่ใช่แรงกดดันและความคาดหวังเกินพอดี เขาจึงเริ่มรู้สึกผิด…การตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องที่ถูกหรือผิดกันแน่ ?
“ฟู่หวาง ท่านย่า หม่อมฉันยิงธนูไม่เป็น ทำเป็นแค่ปาลูกศรเท่านั้นเพคะ ! ” ชาติก่อนหลินเว่ยเว่ยไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ธนู ในชาตินี้ตอนที่หลีชิงสอนกองทหารชาวบ้าน หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าคันธนูและลูกศรที่ทำขึ้นมาเองใช้งานยาก หลังจากทำพังไปสองอัน นางก็ไม่ได้ลองเรียนยิงธนูอีกเลย ดังนั้นการที่นางบอกว่ายิงธนูไม่เป็น ก็ไม่ใช่การถ่อมตัวเสียทีเดียว
หมินอ๋องส่งสายพระเนตรปลอบโยนนาง “ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวฟู่หวางสอนเจ้าเอง ! แล้วก็ยังมีหอกปาอ๋องของตระกูลจ้าว ก็เหมาะกับเจ้ามากเช่นกัน ! ”
เอาเถิด หลินเว่ยเว่ยหลงเข้าใจผิดว่าบุตรสาวจวนแม่ทัพจะต้องเรียนศาสตร์เหล่านี้เหมือนกันหมด นางจึงพยักหน้ารับ “หากลูกเรียนรู้ได้ช้า ฟู่หวางโปรดอย่ารังเกียจที่ลูกเบาปัญญาเลยเพคะ…”