ตอนที่ 531 พี่หลินไม่ใช่คนแบบนั้น!

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 531 พี่หลินไม่ใช่คนแบบนั้น!

หมินอ๋องทราบนานแล้วว่านางมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้ศาสตร์การต่อสู้ เมื่อเห็นนางถ่อมตนเช่นนี้ก็ตรัสด้วยรอยยิ้ม “ฟู่หวางมีความรู้สึกว่าเจ้าจะต้องเรียนรู้ได้เร็วกว่าพี่ชายแน่นอน ! ”

พี่ชาย ? นางมีพี่ชายเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ? หลินเว่ยเว่ยคิดไม่ตกไปชั่วขณะหนึ่ง

ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าก็ละสายตาออกจากตัวเจียงโม่หานแล้วถามว่า “พูดถึงจินเฉิง เขากับกองทัพน่าจะใกล้มาถึงเมืองหลวงแล้วใช่หรือไม่ ? ”

หมินอ๋องตอบอย่างไม่เร่งรีบ “น่าจะใกล้ถึงแล้วขอรับ ประมาณสัก 2 วัน…ท่านแม่ยังไม่ได้กินมื้อเย็นใช่หรือไม่ ? ประเดี๋ยวลูกกับหลานสาวของท่านจะอยู่กินมื้อเย็นเป็นเพื่อนท่านเอง”

หมินอ๋องยังคว้าโอกาสเล่าถึงความสำเร็จของบุตรสาวให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังอีกครั้ง…แม้ว่าพระองค์จะเป็นคนแข็งกระด้าง แต่ก็รับรู้ได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยกระตือรือร้นในการทำความรู้จักกับหลานสาวสักเท่าไร และยังไม่มีความสนิทใจเท่าบุตรสาวบุญธรรมอย่างจ้าวชิงหลวนด้วยซ้ำ ดังนั้นมันอาจเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ทราบข้อดีของหลานสาว พอผ่านไปนานวันเข้า ท่านแม่จะต้องรู้สึกสนิทใจมากขึ้นแน่นอน !

ตอนนี้ในสายพระเนตรของหมินอ๋องคือบุตรสาวดีไปหมดทุกอย่าง ! หากท่านยังไม่เข้าใจ นั่นก็เป็นเพราะท่านยังทำความรู้จักตัวนางไม่มากพอ…

แต่หลินเว่ยเว่ยกลับพอใจในตัวฮูหยินผู้เฒ่ามาก แม้จะมองเห็นความผิดปกติบนตัวหลานสาวจอมปลอมคนนี้ก็ไม่เผยออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ยังถือว่าเป็นคนใจดีอยู่มาก เพิ่งพบหน้าก็มอบกำไลหยกแสนล้ำค่าให้นางแล้ว

บรรดาเจ้านายทั้งสามของตำหนักหมินอ๋องที่อยู่ในเมืองหลวงตอนนี้ นางก็ได้เจอครบทุกคนแล้ว คนพวกนี้ไม่ได้รับมือยากสักเท่าไร ส่วนเจ้านายอีกคน…ก็คือหมินอ๋องซื่อจื่อพี่ชายของนางเอง ทว่าเขาติดหนี้บุญคุณนางไว้ ดังนั้นยิ่งไม่ต้องกังวลเข้าไปใหญ่

ตอนเลือกเรือนที่พัก นางปฏิเสธคำแนะนำของหมินอ๋องแล้วเลือก ‘เรือนชุนหยูชวน’ ที่อยู่ติดกับเรือนส่วนหน้ามากที่สุด เรือนนี้มีสวนดอกเหมยขั้นกลางกับสวนจื่อถง คืนนั้นเจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนถูกจัดให้พักที่เรือนส่วนหน้า แม้จะนอนใต้ผ้าห่มแสนอบอุ่น แต่หลินเว่ยเว่ยก็ต้องพยายามข่มตาหลับอยู่นานสองนาน กว่าจะนอนหลับไปในที่สุด…

วันรุ่งขึ้น หมินอ๋องยังไม่ทันประกาศให้โลกภายนอกได้รับรู้ว่าบุตรสาวที่หายตัวไปนานหลายปีได้หวนคืนสู่ตระกูลแล้ว ฮ่องเต้ก็ชิงลงมือก่อน โดยการมีพระราชโองการแต่งตั้งให้หลินเว่ยเว่ยเป็นจวิ้นจู่และยังพระราชทานของขวัญลงมาอีกไม่น้อย

คราวนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ทรงอำนาจในเมืองหลวงหรือพวกขุนนางก็ล้วนสนทนากันให้ทั่ว พวกเขาคาดไม่ถึงว่า บุตรของหมินอ๋องที่เคยรับเคราะห์แทนองค์รัชทายาทและคลอดในระหว่างสงครามสองเหล่าทัพนั้นจะถูกรับตัวกลับมาแล้วจริง ๆ นอกจากนี้จวิ้นจู่น้อยของตำหนักหมินอ๋องยังเคยช่วยชีวิตฮ่องเต้เอาไว้ด้วย นี่ไม่เท่ากับว่าสองพ่อลูกมีฐานะสูงสุดในราชวงศ์ เพราะผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินทั้งสองพระองค์ติดหนี้ชีวิตจวิ้นจู่น้อยคนนี้หมดเลยหรือ ?

เดิมทีตำหนักหมินอ๋องก็มีฐานะสูงส่งอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีผู้ติดหนี้บุญคุณอันสูงศักดิ์ทั้งสองพระองค์เพิ่มขึ้นมาอีก จวิ้นจู่น้อยที่ยังไม่เคยออกมาเผยโฉมหน้าคนนี้จะต้องเดินวางมาดในเมืองหลวงได้อย่างแน่นอน !

จวิ้นจู่น้อยมีอายุเท่ากับองค์รัชทายาท น่าจะประมาณ 15 ปีกระมัง ? ขุนนางผู้ทรงอำนาจที่เก่งในการสร้างบารมีเพื่อฝังกลบความผิดในอดีตก็ล้วนหันไปให้ความสนใจกับบุตรที่มีอายุใกล้เคียงกับนางทันที…เพราะถ้าใครได้เกี่ยวดองกับตำหนักหมินอ๋องก็จะต้องเหมือนเรือในกระแสน้ำขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนฮ่องเต้พระองค์ใหม่คิดบัญชี !

ภายใต้การสืบข่าวของคนที่ให้ความสนใจ ผ่านไปไม่นานวีรกรรมของจวิ้นจู่น้อยตำหนักหมินอ๋องก็ถูกแพร่ไปทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ลือว่าเมื่อสิบสามปีก่อนนางเป็นเด็กปัญญาอ่อน พอหายดีแล้วก็ทำให้ฐานะของครอบครัวแม่เลี้ยงดีขึ้นและพาคนในหมู่บ้านผ่านพ้นปีแห่งภัยพิบัติไปด้วยกัน ช่วยทหารรักษาการณ์เมืองจงโจวปราบกบฏราชวงศ์ก่อน ปราบโจรตงหูในตลาดการค้าข้ามเขตแดน…

ครอบครัวของผู้อำนวยการสำนักกั๋วจื่อเจียนกำลังนั่งกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ติงหลิงเอ๋อร์ก็ได้รู้เรื่องจวิ้นจู่น้อยของตำหนักหมินอ๋องมาจากปากของบิดา ยิ่งฟังนางก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างคุ้นเคย “พี่ใหญ่ พี่รอง ฉือหลี่โกวไม่ได้เป็นบ้านของพี่หลินหรอกหรือ ? สร้างโรงงานแปรรูปเมล็ดสนก็ไม่ใช่ผลงานของพี่หลินหรือไร ? ”

ผู้อำนวยการติงหันไปมองบุตรสาวที่ชอบทำให้ปวดหัวอยู่เล็กน้อยแล้วถามว่า “พี่หลินของเจ้าอีกแล้วหรือ ? วันทั้งวันได้ยินเจ้าเอาแต่พูดถึงพี่หลิน ได้ยินอะไรก็คิดถึงพี่หลินไปหมด ! เว่ยเว่ยจวิ้นจู่แห่งตำหนักหมินอ๋องเป็นคนที่พวกเราเอื้อมถึงได้หรือ ? ”

“เว่ยเว่ยจวิ้นจู่ ? ชื่อของพี่หลินก็คือเว่ยเว่ยเช่นกันเจ้าค่ะ ! ” ติงหลิงเอ๋อร์พูดด้วยความตกใจ “ไม่ใช่หรอกกระมัง ! พี่หลินเป็นจวิ้นจู่ที่หายตัวไปหลายปีของตำหนักหมินอ๋อง ? ข้าไม่ได้กำลังฝันไปใช่หรือไม่ ? พี่ใหญ่ ท่านช่วยหยิกข้าที ! ”

ผู้อำนวยการติงนึกถึงช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ฝูเหริน ( ฮูหยินขั้น 1-2 ) พาพวกเด็ก ๆ กลับไปที่เขตเริ่นอันแล้วอยู่ที่นั่นหลายเดือน จนกระทั่งต้นฤดูใบไม้ผลิถึงได้กลับมา และตั้งแต่กลับมาจากเขตเริ่นอัน บุตรสาวก็เอาแต่พูดถึงพี่หลินเป็นระยะ บอกว่าพี่หลินทำอาหารอร่อยมาก พี่หลินสอนนางทำขนม ขนมที่พี่หลินทำล้วนไม่เคยเห็นในเมืองหลวงมาก่อนสักชนิด…

ตอนออกจากบ้านเมื่อหลายวันก่อนก็ยังนำเค้กพุทราแดงกลับมาหนึ่งถาดโดยบอกว่าพี่หลินมาที่เมืองหลวงแล้ว หรือว่าพี่หลินที่บุตรสาวเอ่ยถึงคนนี้จะเป็นเด็กที่หายตัวไปของตำหนักหมินอ๋อง ?

เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองบุตรชายคนโต เพราะอยากได้ยินการวิเคราะห์จากอีกฝ่าย ติงหยูเจินครุ่นคิดพลางเอ่ย “ถ้าจวิ้นจู่น้อยแห่งตำหนักหมินอ๋องเป็นเด็กสาวทรงพลังตามคำเล่าลือ สามารถขึ้นเขาไปฆ่าเสือและออกจากบ้านก็สามารถสังหารศัตรูได้จริง…ก็น่าจะเป็นหลินกู่เหนียงผู้นั้นไม่ผิดเพี้ยน ! เพราะตอนที่ลูกไปเป็นเพื่อนน้องเล็กที่ฉือหลี่โกว คนในหมู่บ้านต่างบอกว่าหลินกู่เหนียงสามารถแบกหมูป่าหนัก 500-600 ชั่งได้โดยสีหน้าไม่เปลี่ยนขอรับ ! ”

ติงฝูเหรินคีบเห็ดที่เป็นของโปรดบุตรสาวใส่ลงในชามของนางแล้วถอนหายใจออกมา “ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร ? ตำหนักหมินอ๋องนั้นไม่ใช่สถานที่ที่พวกเราจะเอื้อมถึงสักหน่อย ! ”

จากนั้นนางก็เล่าเรื่องคุณหนูจวนฝู่กั๋วกงส่งเทียบเชิญไป เพราะอยากเชิญจวิ้นจู่น้อยตำหนักหมินอ๋องมาชมดอกเหมยในจวน แต่กลับโดยปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย

“จวิ้นจู่ตำหนักหมินอ๋องเพิ่งกลับมาได้แค่ 3 วันก็ปฏิเสธเทียบเชิญไปถึงเจ็ดแปดใบแล้ว ซ้ำยังเป็นเทียบเชิญที่มาจากขุนนางขั้นสองทั้งสิ้น นางจะมาเห็นค่าของเทียบเชิญบ้านขุนนางระดับพวกเราได้อย่างไร ? ” ติงฝูเหรินลูบศีรษะบุตรสาว เพราะกลัวนางจะใจร้อนส่งเทียบเชิญออกไปแล้วโดนอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างเย็นชา

ติงหลิงเอ๋อร์วางตะเกียบลงทันที “เป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะ พี่หลินไม่ใช่คนแบบนั้น ! ”

“ฐานะเปลี่ยนไปแล้ว ใจคนก็มักจะเปลี่ยนตาม ! ” ผู้อำนวยการติงหวังเตือนสติบุตรสาวให้หยุดหลอกตัวเอง !

ติงหลิงเอ๋อร์เริ่มตาแดง นางไม่เชื่อคำพูดของบิดามารดา เพราะความสัมพันธ์ที่นางมีต่อพี่หลิน ไม่มีทางเป็นเพียงผลประโยชน์เพียงชั่ววูบ ที่จวนอื่นโดนปฏิเสธเพราะพวกเขาอยากเข้าใกล้พี่หลินด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่สำหรับนางนั้นแตกต่าง ! ในใจของนางคือพี่หลินยังเป็นคนที่ทำอาหารแสนอร่อยในครั้งเมื่ออยู่ฉือหลี่โกว ยังเป็นพี่สาวที่แสนดีซึ่งเคยสอนนางทำขนมแบบตัวต่อตัว !

ติงหยูเจินครุ่นคิด “บางคนพอประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงแล้วก็กลัวคนอื่นจะพูดถึงอดีตมากที่สุด…แต่ลูกเชื่อว่าหลินกู่เหนียงเป็นคนมีความคิดเปิดกว้าง น่าจะไม่ใช่คนแบบนั้น ถ้าอย่างไร…เจ้าเองก็ลองส่งเทียบเชิญไปที่ตำหนักหมินอ๋องสิ ? ”

“กลัวแต่ว่าฐานะครอบครัวของพวกเรานั้น เทียบเชิญจะไปหยุดอยู่แค่หน้าประตูใหญ่ ไม่ไปถึงมือของจวิ้นจู่ ! ” ติงฝูเหรินถอนหายใจ เกรงว่าสามีสอนให้บุตรทั้งสามคนอยู่ในโลกแห่งอุดมคติมากเกินไป

ติงหลิงเอ๋อร์กินข้าวกลางวันด้วยความหงุดหงิด เมื่อกลับไปที่ห้องแล้ว นางก็นั่งนิ่งอยู่หน้ากระจก แต่ท้ายที่สุดก็ยังตัดสินใจเขียนเทียบเชิญแล้วให้สาวใช้คนสนิทนำไปส่ง

ณ บ้านตระกูลลู่ในเมืองหลวง ลู่เหวินจวินเหมือนคนได้รับโชคชิ้นใหญ่ เขาเข้าไปหาบิดามารดาที่อยู่ในเรือนหลัก พอมารดาเห็นเขาเข้ามาก็แกล้งหยอกว่า “โยว ! ลูกที่แสนรู้เวลากินข้าวกลับมาแล้ว ! เจ้าไม่ได้บอกว่าจะไปหาสหายที่ถนนหย่งอันหรอกหรือ ? ทำไมเล่า ? สหายไม่รั้งให้เจ้าอยู่กินข้าวแล้วหรือ ? ”

ลู่เหวินจวินหย่อนกายลงนั่งที่โต๊ะกินข้าวและไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด เพียงนิ่งเงียบแล้วมองอาหารบนโต๊ะ ประเดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว ประเดี๋ยวก็หัวเราะราวกับคนเสียสติ