จ้าวซื่อหลางที่กำลังเตรียมจะกระโดดลงไปจากกำแพงเมืองถูกผู้ติดตามดึงไว้สุดแรงเกิด “ใต้เท้า อย่าขอรับ กำแพงเมืองสูงตั้งสองจั้ง หากท่านกระโดดลงไป ขาจะหักเอานะขอรับ!”
จ้าวซื่อหลางมองลงไปด้านล่าง พอรู้สึกตัวได้หน้าก็ซีดเผือดขึ้นมา
เยี่ยนอ๋องนั้นเคยใช้ชีวิตอยู่ในสงครามที่หนานเจียง แต่เขาเป็นขุนนางแก่ๆ คนหนึ่งแข้งขาก็ไม่ได้แข็งแรง จะทำตามทำไมกัน
เมื่อได้สติ จ้าวซื่อหลางจึงสั่งคนไปยกบันไดปีนลงกำแพงมา แล้วปีนตามบันไดลงไป
“ที่บ้านแม่นางยังมีผู้ใดอีก” อวี้จิ่นถาม
สตรีผู้นั้นตอบ “ยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคน นาง นางเป็นไข้…”
ทุกคนนิ่งเงียบ เดินแยกออกไปด้านข้างอย่างไม่รู้ตัว
อาการไข้เป็นอาการของโรคระบาด หากอาการจากโรคระบาดของลูกสาวนางกำเริบ ไม่แน่นางก็อาจจะติดเชื้อไปแล้ว…
ผู้ประสบภัยที่รีบร้อนอยากออกไปนอกเมืองเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่อยู่รวมกันอยู่ฝั่งทางทิศตะวันตก และคิดว่าร่างกายของตัวเองไม่มีปัญหาใดๆ จึงไม่อยากอยู่ในเมืองต่อเพื่อรอความตาย
พวกเขากลัวว่าจะถูกสตรีผู้นั้นแพร่เชื้อ
สตรีผู้นั้นดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ดี จู่ๆ ก็คุกเข่าลงต่อหน้าอวี้จิ่นพร้อมกับโน้มศีรษะลงคำนับแนบพื้นสามครั้ง “ท่านอ๋อง ข้าฝากหู่โถวไว้กับท่านด้วยนะเจ้าคะ”
นางมองเด็กผู้ชายในอ้อมกอดหลงต้านด้วยสายตาสุดอาลัยอาวรณ์ จากนั้นก็หันหลังวิ่งออกไป
ไม่มีใครเอ่ยยื้อไว้สักคำ มีเพียงเสียงร้องไห้อันใสกังวานของเด็กชาย “ท่านแม่…”
เสียงร้องไห้นี้ทำเอาผู้คนเจ็บแปลบขึ้นที่หัวใจ ทว่าสำหรับผู้ประสบภัยที่พบเห็นความตายมาจนชินแล้ว มันก็เท่านี้แหละ
พวกเขาล้วนตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ จะทำอย่างไรได้ หรือว่าต้องเกลี้ยกล่อมให้สตรีผู้นั้นไม่ต้องไปสนใจความเป็นความตายของลูกสาว
อวี้จิ่นเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เอ่ยพูดกับหลงต้าน “พาตัวเด็กออกไปก่อน”
“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง!” จ้าวซื่อหลางปรี่เข้ามาด้วยท่าทีร้อนรนกระวนกระวาย
อวี้จิ่นมองไปที่เขา
จ้าวซื่อหลางพูดเกลี้ยกล่อมจนปากเปียกปากแฉะ “ท่านอ๋องอย่าได้ใช้อารมณ์ ครอบครัวของเด็กคนนี้ติดโรคระบาด ไม่แน่เวลานี้เขาอาจจะมีเชื้อซ่อนอยู่ภายในร่างเพื่อรอกำเริบ หากนำตัวเขาออกไปนอกเมือง เมื่อใดที่โรคติดต่อถูกแพร่กระจายออกไป เช่นนั้นจะไม่มีทางควบคุมภัยพิบัติไว้ได้ แม้กระทั่งไม่อาจชี้แจงเรื่องนี้กับฮ่องเต้และประชาชนได้ด้วย…”
เขาเข้าใจความเมตตาของท่านอ๋องผู้เยาว์วัยท่านนี้ ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจอาศัยแค่การมีจิตใจที่เมตตาได้ ความเมตตาอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติอันใหญ่หลวง
บทเรียนเช่นนี้พบเห็นได้มากในประวัติศาสตร์ วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ สังเกตอาการของโรคติดต่อ ถ้าหากว่าควบคุมไม่ได้จริงๆ ก็ทำได้เพียงตัดไฟตั้งแต่ต้นลม สละชีพคนพวกนี้
คำพูดของจ้าวซื่อหลางจี้จุดความเจ็บปวดของพวกผู้ประสบภัย
“พวกเราไม่ได้ป่วย คนในครอบครัวของพวกเราก็ไม่ได้ป่วย เหตุใดถึงปล่อยพวกเราออกไปไม่ได้”
เมื่อเห็นจ้าวซื่อหลางลงมาแล้ว นายอำเภอเมืองเฉียนเหอก็ตามลงมา เอ่ยพูดสีหน้าแข็งทื่อ “จะป่วยหรือไม่ป่วยไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกเจ้า ใครต่างก็คิดว่าตัวเองไม่ได้ป่วยทั้งนั้น แต่หากออกไปจากเมืองแล้วนำเชื้อโรคออกไปด้วย มันคงไม่ดีแน่”
มีคนในฝูงชนแสดงความไม่พอใจออกมา “หากพูดเช่นนี้ นายอำเภอก็เป็นคนในเมือง เหตุใดถึงเข้าๆ ออกๆ ได้ล่ะ”
มีอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา “ใช่ๆ แถมยังมีพวกทหารที่เข้าเมืองมาช่วยผู้ประสบภัยพวกนั้นด้วย ทำไมพวกเขาถึงสามารถเข้าออกเมืองได้”
นายอำเภอเมืองเฉียนเหอถูกตอกหน้าหงายพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีตับหมู
อวี้จิ่นชำเลืองมองนายอำเภอเมืองเฉียนเหอแวบหนึ่ง พลางแอบคิดอยู่ในใจ ความรู้เท่านี้เป็นถึงนายอำเภอได้อย่างไรกัน
“ทุกท่านได้โปรดอยู่ในความสงบ” อวี้จิ่นยกมือขึ้น
ทุกคนเงียบลง
สำหรับท่านอ๋องที่เคาะระฆังช่วยผู้หญิงและเด็กไว้ท่านนี้ พวกเขายอมรับฟังว่าเขาจะพูดอะไร
“สำหรับข้อสงสัยที่ทุกท่านถามนายอำเภอว่าทำไมพวกทหารที่ช่วยผู้ประสบภัยถึงเข้าเมืองได้ ใต้เท้าซื่อหลางจะเป็นผู้ตอบคำถามนี้”
ถึงแม้จ้าวซื่อหลางจะไม่มีทางเลี่ยงเพราะถูกอวี้จิ่นผลักออกมา แต่เมื่อครู่ที่เห็นน้ำตาของผู้ประสบภัยทั้งหลายจึงแอบถอนหายใจ พลางเอ่ยขึ้น “ทุกท่านก็เห็น หากพวกเราต้องเข้าเมือง จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่ผ่านการรมสมุนไพรมา หลังจากออกนอกเมืองจะมีเขตพื้นที่เฉพาะให้พักอาศัย พวกเขาอยู่ได้แค่ในบริเวณนั้น เกรงว่าแม้การช่วยผู้ประสบภัยภายในครั้งนี้จะจบลงแล้ว ก็ยังต้องคอยสังเกตอาการดูอย่างน้อยครึ่งเดือน เมื่อไม่มีปัญหาใดแล้วถึงจะได้รับอนุญาตให้ออกไป…”
เมื่อได้ยินจ้าวซื่อหลางพูดอธิบาย ก็มีคนตะโกนออกมา “พวกเราก็ทำแบบนั้นได้นี่นา ขอแค่ให้พวกเราได้ออกไปนอกเมือง!”
จ้าวซื่อหลางยิ้มอย่างขมขื่นพลางพูดออกไป “ผู้คนในเมืองมีนับหมื่นคน เมื่อออกไปนอกเมือง จะสามารถนำทุกคนไปอยู่ในพื้นที่นั้นเป็นเวลาหนึ่งหรือสองเดือนได้อย่างไร และหากมีผู้ที่มีเชื้อแฝงอยู่ในตัวหลุดออกไปหนึ่งคน มันก็อาจจะเป็นหายนะของทั้งบ้านเมืองเลยก็เป็นได้ แล้วใครจะเป็นคนรับผิดชอบ”
ทุกคนนิ่งเงียบกันไปสักพัก แล้วมีคนพูดพึมพำออกมา “เช่นนั้นพวกเราก็ทำได้แต่รอความตายงั้นหรือ”
แน่นอนว่าจ้าวซื่อหลางไม่อาจพูดเช่นนี้ได้ จึงรีบเอ่ยขึ้น “ฮ่องเต้และทางราชสำนักล้วนเป็นห่วงทุกคน แล้วจะให้ทุกคนอยู่รอความตายได้อย่างไร เวลานี้เมืองถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งเป็นฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตกไม่ใช่หรือ ทุกคนอยู่ที่ฝั่งตะวันตกอย่างสบายใจ รอในเมืองไม่มีโรคติดต่อปรากฏออกมาให้เห็นอีก ก็จะปล่อยทุกคนออกไปจากเมือง…”
“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ” มีคนชี้ไปยังเด็กน้อยในอ้อมกอดของหลงต้าน
เด็กอายุไม่กี่ขวบร้องไห้จนเหนื่อย จึงเริ่มงีบหลับซบกับหัวไหล่ของหลงต้าน
ถึงแม้หลงต้านจะเป็นผู้ชายอกสามศอก ทว่าการอุ้มเด็กน้อยตัวนุ่มนิ่มคนนี้กลับทำให้รู้สึกสงสารเล็กน้อย จึงกอดแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับมองไปที่อวี้จิ่นด้วยความกังวล
เด็กชายที่กำลังหลับอยู่ไม่รู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นประเด็นของคนจำนวนไม่น้อยอย่างรวดเร็ว เขานอนกำมือหลับไปแล้ว
“เมื่อครู่ท่านอ๋องบอกว่าจะนำเด็กคนนั้นออกไปจากเมือง…”
เขาไม่ได้กังวลว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร แต่กังวลถึงความเท่าเทียม เมื่อพูดถึงชีวิตและความตายของตัวเอง การที่เขาจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อเด็กชายแปลกหน้าก็ไม่นับว่าเป็นอะไร
อวี้จิ่นพยักหน้าลงเล็กน้อย “ข้าเคยพูดไว้เช่นนี้”
จ้าวซื่อหลางส่งสายตาเป็นสัญญาณให้อวี้จิ่นไม่หยุด “ท่านอ๋อง อย่าได้สร้างความวุ่นวายเพียงเพราะเด็กคนเดียวเลย…”
อวี้จิ่นเอ่ยพูดสีหน้าจริงจัง “ใต้เท้าจ้าวผิดแล้วล่ะ สร้างความวุ่นวายให้ทั้งเมืองนั้นไม่ใช่เพราะเด็กคนหนึ่ง อีกอย่าง หากข้าผิดคำพูดแม้แต่กับเด็กคนหนึ่ง จะไม่เป็นการทำผิดต่อฝ่าบาทงั้นหรือ”
จ้าวซื่อหลางหน้าสั่น
เยี่ยนอ๋องช่างชอบต่อปากต่อคำเก่งเสียจริง ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำภารกิจอันสำคัญคือองค์รัชทายาทต่างหาก เยี่ยนอ๋องก็แค่ตามองค์รัชทายาทมา
ใช่แล้ว องค์รัชทายาทล่ะ
เมื่อคิดถึงองค์รัชทายาทที่ย่องหนีหายไปแต่แรกแล้ว ทันใดนั้นจ้าวซื่อหลางก็รู้สึกว่าเยี่ยนอ๋องเป็นที่ชื่นชอบมากกว่าเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะมีบางอารมณ์ที่เป็นเด็กน้อย แต่ว่ามีศีลธรรมอันดี
ไม่ว่าการมีจิตใจที่ดีจะทำให้เกิดเรื่องร้ายหรือไม่ แต่จิตใจที่ดีงามก็คือจิตใจที่ดีงาม อย่างไรก็ดีกว่าการเมินเฉยไร้ความรู้สึก
“ทุกท่านได้โปรดฟังข้า” อวี้จิ่นโค้งคำนับให้กับพวกผู้ประสบภัย พร้อมกับเอ่ยเสียงดังลั่น “ในเมื่อข้าตกปากรับคำแม่นางท่านนั้นแล้วว่าจะนำลูกของนางออกไปนอกเมือง เชื่อคำพูดข้าได้…”
“ไม่กลัวว่าเด็กนั่นจะมีเชื้อโรคแฝงอยู่ในตัวหรือ ถ้าเด็กคนนี้ออกไปนอกเมืองได้ เช่นนั้นพวกเราก็จะออกไปด้วย!” ฝูงชนต่างคุกรุ่นขึ้นมา
อวี้จิ่นยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามปราม ฝูงชนเงียบลง
พวกเขาทุกข์ทรมานจากความสิ้นหวังมานาน ครั้งนี้มีผู้สูงศักดิ์บอกว่าสามารถพาออกไปนอกเมืองได้ เกรงว่าถึงจะพาแค่เด็กออกไปคนเดียว อันที่จริงมันก็ให้ความหวังกับคนพวกนี้มากแล้ว
สำหรับคนที่ให้ความหวังกับพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาจะมีความอดทนและเคารพมากกว่า
“เมื่อนำตัวเด็กคนนี้ออกไป แล้วจะทำการกักตัวเพื่อคอยสังเกตอาการ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ถึงเวลานั้นข้าจะบอกทุกคนแน่นอน” อวี้จิ่นถอนหายใจ “เขาเพิ่งเสียพ่อไป อีกทั้งแม่ก็หายตัวไปแล้ว ทุกคนคงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กคนหนึ่งหรอกใช่หรือไม่”
“แล้วพวกเราล่ะ” เมื่อได้อวี้จิ่นพูดเช่นนี้ มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกอึดอัดใจ น้ำเสียงอ่อนลง จ้าวซื่อหลางที่กำลังเตรียมจะกระโดดลงไปจากกำแพงเมืองถูกผู้ติดตามดึงไว้สุดแรงเกิด “ใต้เท้า อย่าขอรับ กำแพงเมืองสูงตั้งสองจั้ง หากท่านกระโดดลงไป ขาจะหักเอานะขอรับ!”
จ้าวซื่อหลางมองลงไปด้านล่าง พอรู้สึกตัวได้หน้าก็ซีดเผือดขึ้นมา
เยี่ยนอ๋องนั้นเคยใช้ชีวิตอยู่ในสงครามที่หนานเจียง แต่เขาเป็นขุนนางแก่ๆ คนหนึ่งแข้งขาก็ไม่ได้แข็งแรง จะทำตามทำไมกัน
เมื่อได้สติ จ้าวซื่อหลางจึงสั่งคนไปยกบันไดปีนลงกำแพงมา แล้วปีนตามบันไดลงไป
“ที่บ้านแม่นางยังมีผู้ใดอีก” อวี้จิ่นถาม
สตรีผู้นั้นตอบ “ยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคน นาง นางเป็นไข้…”
ทุกคนนิ่งเงียบ เดินแยกออกไปด้านข้างอย่างไม่รู้ตัว
อาการไข้เป็นอาการของโรคระบาด หากอาการจากโรคระบาดของลูกสาวนางกำเริบ ไม่แน่นางก็อาจจะติดเชื้อไปแล้ว…
ผู้ประสบภัยที่รีบร้อนอยากออกไปนอกเมืองเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่อยู่รวมกันอยู่ฝั่งทางทิศตะวันตก และคิดว่าร่างกายของตัวเองไม่มีปัญหาใดๆ จึงไม่อยากอยู่ในเมืองต่อเพื่อรอความตาย
พวกเขากลัวว่าจะถูกสตรีผู้นั้นแพร่เชื้อ
สตรีผู้นั้นดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ดี จู่ๆ ก็คุกเข่าลงต่อหน้าอวี้จิ่นพร้อมกับโน้มศีรษะลงคำนับแนบพื้นสามครั้ง “ท่านอ๋อง ข้าฝากหู่โถวไว้กับท่านด้วยนะเจ้าคะ”
นางมองเด็กผู้ชายในอ้อมกอดหลงต้านด้วยสายตาสุดอาลัยอาวรณ์ จากนั้นก็หันหลังวิ่งออกไป
ไม่มีใครเอ่ยยื้อไว้สักคำ มีเพียงเสียงร้องไห้อันใสกังวานของเด็กชาย “ท่านแม่…”
เสียงร้องไห้นี้ทำเอาผู้คนเจ็บแปลบขึ้นที่หัวใจ ทว่าสำหรับผู้ประสบภัยที่พบเห็นความตายมาจนชินแล้ว มันก็เท่านี้แหละ
พวกเขาล้วนตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ จะทำอย่างไรได้ หรือว่าต้องเกลี้ยกล่อมให้สตรีผู้นั้นไม่ต้องไปสนใจความเป็นความตายของลูกสาว
อวี้จิ่นเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เอ่ยพูดกับหลงต้าน “พาตัวเด็กออกไปก่อน”
“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง!” จ้าวซื่อหลางปรี่เข้ามาด้วยท่าทีร้อนรนกระวนกระวาย
อวี้จิ่นมองไปที่เขา
จ้าวซื่อหลางพูดเกลี้ยกล่อมจนปากเปียกปากแฉะ “ท่านอ๋องอย่าได้ใช้อารมณ์ ครอบครัวของเด็กคนนี้ติดโรคระบาด ไม่แน่เวลานี้เขาอาจจะมีเชื้อซ่อนอยู่ภายในร่างเพื่อรอกำเริบ หากนำตัวเขาออกไปนอกเมือง เมื่อใดที่โรคติดต่อถูกแพร่กระจายออกไป เช่นนั้นจะไม่มีทางควบคุมภัยพิบัติไว้ได้ แม้กระทั่งไม่อาจชี้แจงเรื่องนี้กับฮ่องเต้และประชาชนได้ด้วย…”
เขาเข้าใจความเมตตาของท่านอ๋องผู้เยาว์วัยท่านนี้ ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจอาศัยแค่การมีจิตใจที่เมตตาได้ ความเมตตาอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติอันใหญ่หลวง
บทเรียนเช่นนี้พบเห็นได้มากในประวัติศาสตร์ วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ สังเกตอาการของโรคติดต่อ ถ้าหากว่าควบคุมไม่ได้จริงๆ ก็ทำได้เพียงตัดไฟตั้งแต่ต้นลม สละชีพคนพวกนี้
คำพูดของจ้าวซื่อหลางจี้จุดความเจ็บปวดของพวกผู้ประสบภัย
“พวกเราไม่ได้ป่วย คนในครอบครัวของพวกเราก็ไม่ได้ป่วย เหตุใดถึงปล่อยพวกเราออกไปไม่ได้”
เมื่อเห็นจ้าวซื่อหลางลงมาแล้ว นายอำเภอเมืองเฉียนเหอก็ตามลงมา เอ่ยพูดสีหน้าแข็งทื่อ “จะป่วยหรือไม่ป่วยไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกเจ้า ใครต่างก็คิดว่าตัวเองไม่ได้ป่วยทั้งนั้น แต่หากออกไปจากเมืองแล้วนำเชื้อโรคออกไปด้วย มันคงไม่ดีแน่”
มีคนในฝูงชนแสดงความไม่พอใจออกมา “หากพูดเช่นนี้ นายอำเภอก็เป็นคนในเมือง เหตุใดถึงเข้าๆ ออกๆ ได้ล่ะ”
มีอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา “ใช่ๆ แถมยังมีพวกทหารที่เข้าเมืองมาช่วยผู้ประสบภัยพวกนั้นด้วย ทำไมพวกเขาถึงสามารถเข้าออกเมืองได้”
นายอำเภอเมืองเฉียนเหอถูกตอกหน้าหงายพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีตับหมู
อวี้จิ่นชำเลืองมองนายอำเภอเมืองเฉียนเหอแวบหนึ่ง พลางแอบคิดอยู่ในใจ ความรู้เท่านี้เป็นถึงนายอำเภอได้อย่างไรกัน
“ทุกท่านได้โปรดอยู่ในความสงบ” อวี้จิ่นยกมือขึ้น
ทุกคนเงียบลง
สำหรับท่านอ๋องที่เคาะระฆังช่วยผู้หญิงและเด็กไว้ท่านนี้ พวกเขายอมรับฟังว่าเขาจะพูดอะไร
“สำหรับข้อสงสัยที่ทุกท่านถามนายอำเภอว่าทำไมพวกทหารที่ช่วยผู้ประสบภัยถึงเข้าเมืองได้ ใต้เท้าซื่อหลางจะเป็นผู้ตอบคำถามนี้”
ถึงแม้จ้าวซื่อหลางจะไม่มีทางเลี่ยงเพราะถูกอวี้จิ่นผลักออกมา แต่เมื่อครู่ที่เห็นน้ำตาของผู้ประสบภัยทั้งหลายจึงแอบถอนหายใจ พลางเอ่ยขึ้น “ทุกท่านก็เห็น หากพวกเราต้องเข้าเมือง จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่ผ่านการรมสมุนไพรมา หลังจากออกนอกเมืองจะมีเขตพื้นที่เฉพาะให้พักอาศัย พวกเขาอยู่ได้แค่ในบริเวณนั้น เกรงว่าแม้การช่วยผู้ประสบภัยภายในครั้งนี้จะจบลงแล้ว ก็ยังต้องคอยสังเกตอาการดูอย่างน้อยครึ่งเดือน เมื่อไม่มีปัญหาใดแล้วถึงจะได้รับอนุญาตให้ออกไป…”
เมื่อได้ยินจ้าวซื่อหลางพูดอธิบาย ก็มีคนตะโกนออกมา “พวกเราก็ทำแบบนั้นได้นี่นา ขอแค่ให้พวกเราได้ออกไปนอกเมือง!”
จ้าวซื่อหลางยิ้มอย่างขมขื่นพลางพูดออกไป “ผู้คนในเมืองมีนับหมื่นคน เมื่อออกไปนอกเมือง จะสามารถนำทุกคนไปอยู่ในพื้นที่นั้นเป็นเวลาหนึ่งหรือสองเดือนได้อย่างไร และหากมีผู้ที่มีเชื้อแฝงอยู่ในตัวหลุดออกไปหนึ่งคน มันก็อาจจะเป็นหายนะของทั้งบ้านเมืองเลยก็เป็นได้ แล้วใครจะเป็นคนรับผิดชอบ”
ทุกคนนิ่งเงียบกันไปสักพัก แล้วมีคนพูดพึมพำออกมา “เช่นนั้นพวกเราก็ทำได้แต่รอความตายงั้นหรือ”
แน่นอนว่าจ้าวซื่อหลางไม่อาจพูดเช่นนี้ได้ จึงรีบเอ่ยขึ้น “ฮ่องเต้และทางราชสำนักล้วนเป็นห่วงทุกคน แล้วจะให้ทุกคนอยู่รอความตายได้อย่างไร เวลานี้เมืองถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งเป็นฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตกไม่ใช่หรือ ทุกคนอยู่ที่ฝั่งตะวันตกอย่างสบายใจ รอในเมืองไม่มีโรคติดต่อปรากฏออกมาให้เห็นอีก ก็จะปล่อยทุกคนออกไปจากเมือง…”
“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ” มีคนชี้ไปยังเด็กน้อยในอ้อมกอดของหลงต้าน
เด็กอายุไม่กี่ขวบร้องไห้จนเหนื่อย จึงเริ่มงีบหลับซบกับหัวไหล่ของหลงต้าน
ถึงแม้หลงต้านจะเป็นผู้ชายอกสามศอก ทว่าการอุ้มเด็กน้อยตัวนุ่มนิ่มคนนี้กลับทำให้รู้สึกสงสารเล็กน้อย จึงกอดแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับมองไปที่อวี้จิ่นด้วยความกังวล
เด็กชายที่กำลังหลับอยู่ไม่รู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นประเด็นของคนจำนวนไม่น้อยอย่างรวดเร็ว เขานอนกำมือหลับไปแล้ว
“เมื่อครู่ท่านอ๋องบอกว่าจะนำเด็กคนนั้นออกไปจากเมือง…”
เขาไม่ได้กังวลว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร แต่กังวลถึงความเท่าเทียม เมื่อพูดถึงชีวิตและความตายของตัวเอง การที่เขาจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อเด็กชายแปลกหน้าก็ไม่นับว่าเป็นอะไร
อวี้จิ่นพยักหน้าลงเล็กน้อย “ข้าเคยพูดไว้เช่นนี้”
จ้าวซื่อหลางส่งสายตาเป็นสัญญาณให้อวี้จิ่นไม่หยุด “ท่านอ๋อง อย่าได้สร้างความวุ่นวายเพียงเพราะเด็กคนเดียวเลย…”
อวี้จิ่นเอ่ยพูดสีหน้าจริงจัง “ใต้เท้าจ้าวผิดแล้วล่ะ สร้างความวุ่นวายให้ทั้งเมืองนั้นไม่ใช่เพราะเด็กคนหนึ่ง อีกอย่าง หากข้าผิดคำพูดแม้แต่กับเด็กคนหนึ่ง จะไม่เป็นการทำผิดต่อฝ่าบาทงั้นหรือ”
จ้าวซื่อหลางหน้าสั่น
เยี่ยนอ๋องช่างชอบต่อปากต่อคำเก่งเสียจริง ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำภารกิจอันสำคัญคือองค์รัชทายาทต่างหาก เยี่ยนอ๋องก็แค่ตามองค์รัชทายาทมา
ใช่แล้ว องค์รัชทายาทล่ะ
เมื่อคิดถึงองค์รัชทายาทที่ย่องหนีหายไปแต่แรกแล้ว ทันใดนั้นจ้าวซื่อหลางก็รู้สึกว่าเยี่ยนอ๋องเป็นที่ชื่นชอบมากกว่าเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะมีบางอารมณ์ที่เป็นเด็กน้อย แต่ว่ามีศีลธรรมอันดี
ไม่ว่าการมีจิตใจที่ดีจะทำให้เกิดเรื่องร้ายหรือไม่ แต่จิตใจที่ดีงามก็คือจิตใจที่ดีงาม อย่างไรก็ดีกว่าการเมินเฉยไร้ความรู้สึก
“ทุกท่านได้โปรดฟังข้า” อวี้จิ่นโค้งคำนับให้กับพวกผู้ประสบภัย พร้อมกับเอ่ยเสียงดังลั่น “ในเมื่อข้าตกปากรับคำแม่นางท่านนั้นแล้วว่าจะนำลูกของนางออกไปนอกเมือง เชื่อคำพูดข้าได้…”
“ไม่กลัวว่าเด็กนั่นจะมีเชื้อโรคแฝงอยู่ในตัวหรือ ถ้าเด็กคนนี้ออกไปนอกเมืองได้ เช่นนั้นพวกเราก็จะออกไปด้วย!” ฝูงชนต่างคุกรุ่นขึ้นมา
อวี้จิ่นยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามปราม ฝูงชนเงียบลง
พวกเขาทุกข์ทรมานจากความสิ้นหวังมานาน ครั้งนี้มีผู้สูงศักดิ์บอกว่าสามารถพาออกไปนอกเมืองได้ เกรงว่าถึงจะพาแค่เด็กออกไปคนเดียว อันที่จริงมันก็ให้ความหวังกับคนพวกนี้มากแล้ว
สำหรับคนที่ให้ความหวังกับพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาจะมีความอดทนและเคารพมากกว่า
“เมื่อนำตัวเด็กคนนี้ออกไป แล้วจะทำการกักตัวเพื่อคอยสังเกตอาการ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ถึงเวลานั้นข้าจะบอกทุกคนแน่นอน” อวี้จิ่นถอนหายใจ “เขาเพิ่งเสียพ่อไป อีกทั้งแม่ก็หายตัวไปแล้ว ทุกคนคงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กคนหนึ่งหรอกใช่หรือไม่”
“แล้วพวกเราล่ะ” เมื่อได้อวี้จิ่นพูดเช่นนี้ มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกอึดอัดใจ น้ำเสียงอ่อนลง