ไท่จื่อเอามือปิดหน้าพร้อมกับร้องตะโกนอย่างน่าเวทนา “มีมือสังหาร…”
ณ ด้านล่างกำแพงเมือง สถานการณ์ยิ่งวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ
“แม้แต่ไท่จื่อยังไม่กล้าเข้ามาในเมือง แสดงว่าต้องการขังพวกเขาไว้ในเมืองเพื่อรอความตายสิท่า ปล่อยพวกเราออกไปนะ!”
“ใช่ ปล่อยพวกเราออกไป พวกเราอยากออกไป พวกเรายังอยากมีชีวิตอยู่…”
พวกชาวบ้านหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ จำนวนคนที่อยู่หน้าประตูเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และมีท่าทางคลับคล้ายคลับคลาจะพุ่งเข้ามาพังประตู
จ้าวซื่อหลางเบิกตาโพลงจ้องนายอำเภอเมืองเฉียนเหอผู้โง่เขลา จากนั้นรีบพูดกับไท่จื่อ “ไท่จื่อ ท่านลงไปด้านล่างกำแพงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อท่าทางกระวนกระวาย
อันตรายเกินไปแล้ว ชาวบ้านต้อยต่ำพวกนี้เป็นบ้ากันไปแล้วหรือ กล้าจู่โจมแม้กระทั่งไท่จื่อ!
จ้าวซื่อหลางคอยคุ้มกันเมื่อไท่จื่อลงไปจากกำแพงเมือง ทว่าอวี้จิ่นกลับไม่ขยับเยื้อนไปไหน
บริเวณหน้าประตูเมืองเกิดการปะทะกันจนนองเลือด
เมื่อเห็นชายผู้หนึ่งมุ่งตรงเข้ามาทำท่าจะพังประตู ทหารเฝ้าประตูทนไม่ไหวจึงใช้หอกยาวแทงออกไป
ชายผู้นั้นถูกแทงเข้าตรงกลางอก ร้องโหยหวนออกมา จากนั้นก็ล้มคอพับไป
ตอนนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าสยบประชาชนที่พุ่งเข้ามาพังประตูเมืองได้ทันที
ปกติชาวบ้านมือเปล่าพวกนี้ไม่มีใครหน้าไหนกล้าประจันหน้ากับทหารในวังหรอก เพียงแต่เวลานี้ถูกความตายคุกคาม จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นต่อต้านเพียงเท่านั้น
จู่ๆ ก็พบว่าคนที่อยู่ข้างๆ ตายอย่างน่าอนาถ ทุกคนจึงเงียบสงัด
อวี้จิ่นออกแรงดึงไท่จื่อที่กำลังปีนลงบันไดไปนอกเมือง “พี่รอง สถานการณ์เช่นนี้ท่านควรจะกล่าวอะไรสักหน่อย ไม่เช่นนั้นอาจเกิดการปะทะกันรุนแรงยิ่งขึ้นกว่านี้”
ไท่จื่อสะบัดมืออวี้จิ่นออกทันควัน “อย่ามาล้อเล่นน่า ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกรองเท้าเขวี้ยงใส่แล้ว หากว่ากล่าวอะไรออกไปอีก สิ่งต่อไปที่จะพุ่งเข้ามาจู่โจมข้าก็คงจะเป็นลูกธนูปลายแหลมแล้ว!”
อวี้จิ่นเบ้ปาก “ พี่รองท่านกังวลมากเกินไปแล้ว ประชาชนที่ประสบภัยพิบัติจะเอาลูกธนูที่ไหนมา รองเท้าก็เหลือไม่มากแล้ว”
“ไม่ ยังไงก็ไม่!” ไท่จื่อดึงปลายแขนเสื้อขึ้น รีบปีนบันไดลงไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่หน้าประตูเมืองเงียบงันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง สตรีนางหนึ่งก็ร้องไห้โฮขึ้นมาพลางอุ้มลูกไว้ “ตาแก่ เจ้าห้ามตายนะ เจ้าตายแล้วพวกลูกๆ จะทำอย่างไร”
เด็กชายในอ้อมกอดของสตรีผู้นั้นร้องไห้โฮตาม
จู่ๆ สตรีผู้นั้นก็กอดลูกชายไว้แน่น พุ่งตัวไปบริเวณประตู ตะโกนพูดอย่างบ้าคลั่ง “ขอพวกท่านได้โปรดเมตตา ข้าไม่ออกไปก็ได้ แต่ให้ลูกชายข้าออกไปเถอะ ลูกข้าไม่ได้ป่วย ไม่ได้ป่วยจริงๆ…”
หอกยาวหลายด้ามถูกยื่นออกมากั้นตรงหน้าสตรีผู้นั้น
นางนำลูกชายที่อยู่ในอ้อมกอดยื่นออกไปตรงหน้าทหารนายหนึ่ง “พวกท่านช่วยลูกข้าด้วยเถิด เขาเป็นเด็กที่แข็งแรงดี อย่าทิ้งเขาให้รอความตายอยู่ในเมืองเลย…ข้าไม่ออกไปหรอก ให้ข้าไปข้าก็ไม่ไป ข้ายังต้องกลับไปดูแลลูกนิวนิวสาวคนเล็กข้าอีก…”
เสียงร้องตะโกนของนางทำให้พวกทหารรู้สึกสงสาร ทว่าไม่อาจฝ่าฝืนคำสั่งของขุนนางชั้นบนได้ ขณะที่นางยื่นตัวเด็กออกไปข้างหน้า หอกยาวในมือก็แทงออกไปโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้สึกเด็กก็ถูกแทงไปแล้ว เกิดเสียงร้องไห้อันน่าสะเทือนขวัญดังขึ้น
“หู่โถว หู่โถวของข้า!” นางกอดลูกชายที่ตัวเต็มไปด้วยเลือด ในที่สุดนางก็สติแตก ก้มหัวพลางมุ่งตรงไปที่หอกยาว “เจ้าพวกชั่วช้า ฆ่าข้าไปด้วยสิ พวกเราครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน…”
อวี้จิ่นหรี่ตาลง หยิบรองเท้าขาดๆ ที่ถูกโยนมาใส่ไท่จื่อคู่นั้นเขวี้ยงออกไป
รองเท้าขาดโจมตีเข้าไปตรงข้อพับเข่าของสตรีผู้นั้น นางขาอ่อนยวบล้มพับลงไปกับพื้น
ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตาเดียว และพวกชาวบ้านต่างก็คิดว่าสตรีผู้นั้นและลูกถูกพวกทหารแทงตายด้วยหอก
การตายของชายคนแรกทำให้ประชาชนพวกนี้ขี้ขลาดไปชั่วคราว ทว่าการตายของสตรีตรงหน้ากับลูกชายนั้นทำให้พวกเขาเกิดความโมโหขึ้นมาในใจ
เดิมทหารควรจะปกป้องบ้านเมืองและประชาชน ทว่านี่กลับยกหอกยกมีดใส่ผู้หญิงและเด็ก เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาจะคาดหวังอะไรได้อีก
นอกจากจะช่วยตัวเองก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
ฝูงชนเริ่มก่อความโกลาหลขึ้นมา
อวี้จิ่นก่นด่าออกมา “เจ้าพวกโง่!”
เดิมสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แท้ๆ เพียงแค่ให้ไท่จื่อกล่าวพูดออกไปอย่างเหมาะสมก็สามารถหลีกเลี่ยงการนองเลือดได้แล้ว ทว่านี่ไท่จื่อกลับหนีไปคนแรก เช่นนั้นจึงไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้
“ส่งธนูกับลูกธนูให้ข้า!” อวี้จิ่นยื่นมือออกไป
หลงต้านที่อยู่ข้างๆ รีบส่งคันธนูยาวและกระบอกลูกธนูให้
อวี้จิ่นหยิบลูกธนูออกมาหนึ่งดอก ดึงอย่างรวดเร็ว ลูกธนูพุ่งออกไปราวกับดาวตก
ลูกธนูอันแหลมคมแทงทะลุอากาศ ตรงไปที่หอระฆังสูง
ฟึบ…เสียงทุ้มลึกที่เงียบมานานของระฆัง จู่ๆ ก็ดังกังวานขึ้นมา มันสะท้านไปทั่วทั้งเมือง
ลูกธนูถูกยิงติดต่อกันออกไปสองดอก เสียงระฆังดังขึ้นอีก และสะท้อนออกไปไกลยิ่งกว่าเดิม
เมื่อเสียงกลองดัง ประตูเมืองจะปิดลง ผู้คนต่างก็เข้านอน เมื่อระฆังดัง ประตูเมืองเปิดออกอีกครั้ง เป็นสัญญาณให้ผู้คนได้เริ่มทำงานในวันใหม่
เดิมชาวบ้านล้วนคุ้นชินกับเสียงระฆังยามเช้าและเสียงกลองยามเย็น ทว่าตั้งแต่เกิดภัยพิบัติขึ้น พวกเขาก็แทบไม่เคยได้ยินเสียงระฆังที่เป็นสัญลักษณ์ของรุ่งอรุณอีกเลย
เมื่อไม่มีรุ่งอรุณ เช่นนั้นก็เหลือเพียงความมืดมน
พวกชาวบ้านยืนอึ้งอยู่กับที่ รู้สึกงงงวยเล็กน้อย หลังจากนั้นก็มองตามวิถีของลูกธนูว่ามาจากไหนอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็พบเข้ากับชายหนุ่มที่ยืนตระหง่านอยู่บนกำแพง
ชายหนุ่มดึงคันธนูย้อนแสง จึงทำให้เห็นหน้าไม่ชัด ทว่ากลับเห็นท่าทางที่ตั้งตรงราวกับต้นไป๋หยางของเขา
เมื่อเห็นว่าควบคุมสถานการณ์ได้ อวี้จิ่นก็กระโดดลงไปจากกำแพงเมืองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านอ๋อง!” จ้าวซื่อหลางที่ยังไม่ทันได้หนีไปตกใจหน้าเสีย
กำแพงสูงไม่ถึงสองจั้ง สำหรับอวี้จิ่นแล้วไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะลงไปสู่พื้น เขาลงไปอยู่ตรงหน้าพวกชาวบ้าน “ข้าเป็นโอรสองค์ที่เจ็ดของฮ่องเต้คนปัจจุบัน นามว่าเยี่ยนอ๋อง” พูดจบก็สาวเท้าเดินเข้าไปหาพวกเขา
ชาวบ้านพร้อมใจกันหลีกทางให้โดยปริยาย
อวี้จิ่นเดินทะลุผ่านไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาเดินไปหาสตรีที่ล้มลงตรงพงหญ้าข้างถนน ก้มลงอุ้มเด็กชายที่ตกใจจนร้องไห้ไม่ออก
ที่ไหล่ของเด็กชายยังคงมีเลือดไหลออกมา
“หลงต้าน!” อวี้จิ่นตะเบ็งเสียงลั่น
หลงต้านที่กระโดดตามอวี้จิ่นลงมาตั้งแต่แรกวิ่งปรี่เข้ามา “ท่านอ๋องต้องการอะไรขอรับ”
“พันบาดแผลให้เด็กคนนี้”
หลงต้านรับตัวเด็กมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเด็กชายเข้ามาในอ้อมกอดของหลงต้าน ก็ร้องไห้เสียงดังออกมา
พวกผู้ประสบภัยที่สิ้นหวัง ได้ยินเสียงเด็กร้องออกมาก็ยิ้มดีอกดีใจ
ที่แท้เด็กนั่นไม่เป็นไร!
จิตใจคนเรานั้นช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก สำหรับผู้ประสบภัยที่สิ้นหวังมองไม่เห็นทางรอดพวกนี้ พวกเขาคิดว่าการตายของเด็กจะเป็นฟางเส้นสุดท้าย แต่เมื่อพวกเขารู้ว่าเด็กยังรอด ความหวังของชีวิตก็ผลิบานออกมาราวกับดอกไม้ตูม
ไม่นาน สตรีที่ล้มอยู่ในพงหญ้าก็รีบลุกขึ้นมา มองไปที่อวี้จิ่นด้วความตื่นตระหนก
อวี้จิ่นยิ้มออกมาเล็กน้อย เอ่ยพูดน้ำเสียงอ่อนโยน “เหนียงจื่อ[1]สบายใจได้ ข้าจะนำตัวลูกชายของเจ้าออกไปนอกเมืองเอง แล้วจะจัดการหาที่พักให้เขาเรียบร้อย”
“จริงหรือเจ้าคะ” นัยน์ตาของสตรีผู้นั้นฉายแววแปลกใจปนดีใจออกมา
“ข้ามาเยี่ยมพวกเจ้าเพราะพระบัญชาของไท่จื่อ ไม่ได้สัญญาตามใจปากแน่นอน แม่นางเชื่อใจข้าได้”
สตรีผู้นั้นเงยหน้ามองใบหน้าอันหล่อเหลาไร้ที่ติ พยักหน้าลงอย่างแรง “ข้าเชื่อ…”
พูดได้ครึ่งเดียว จู่ๆ ก็ร้องไห้โฮออกมา
การร้องไห้ครั้งนี้ มีชาวบ้านอีกนับไม่ถ้วนร้องไห้ตาม
พวกเขายืนเช็ดน้ำตา ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็ร้องห่มร้องไห้กันเป็นแถว
สถานการณ์เช่นนี้แปลกประหลาดมาก ราวกับไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อน ทว่ามันก็สะเทือนใจมากเช่นเดียวกัน
อย่างน้อยจ้าวซื่อหลางก็รู้สึกสะเทือนใจ
เขาถูกมอบหมายมาเป็นหัวหน้าขุนนางหลักเพื่อจัดการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ซึ่งในสายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ถือว่าเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยท่านหนึ่ง ก่อนหน้านี้ที่เตรียมถอนตัวตามไท่จื่อไปก็เพราะจำใจ ถูกไท่จื่อถ่วงรั้งไว้เพียงเท่านั้น
เมื่อเห็นชายหนุ่มกระโดดลงไปในเมือง จ้าวซื่อหลางก็ถลกแขนเสื้อขึ้น
แม้แต่เยี่ยนอ๋องที่เป็นองค์ชายก็ยังไม่เห็นแก่ตนเอง เช่นนั่นเขาจะนับว่าเป็นอะไร!
—————————————————–
[1] เหนียงจื่อ คำใช้เรียกสตรีที่ออกเรือนแล้ว