เช้าวันถัดมาอากาศสดชื่นแจ่มใส
อวี้จิ่นตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ ครั้นล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ออกไปฝึกต่อสู้ จนกระทั่งลมเย็นพัดโชยมาอีกครั้ง ถึงจะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากห้องพักของไท่จื่อ
การออกมาพักแรมข้างนอกมิได้มีพิธีรีตองมากนัก คนที่มาร่วมโต๊ะอาหารเช้ากับไท่จื่อและอวี้จิ่นมีเพียงจ้าวซื่อหลาง
คหบดีถือถาดอาหารเข้ามาด้วยตนเอง แต่คนที่ทำหน้าที่จัดเรียงจานชามและตะเกียบคือบุตรสาวของคหบดี… นางเป็นเด็กสาวสวยสะคราญในวัยขบเผาะ
ไท่จื่อชำเลืองมองเด็กสาวหลายครั้ง
แม้ว่าความงามของนางจะมิสู้เหล่านางในในตำหนักบูรพา แต่ถึงกระนั้น ดอกไม้ป่าในชนบทก็ให้รสสัมผัสที่ต่างไป
ไท่จื่อเป็นพวกกายไม่เคยขาดสตรี แต่การเดินทางครั้งนี้ไม่สามารถพาเหล่าอนุภรรยาติดสอยห้อยตามมาด้วย เรื่องนี้จึงกวนใจไท่จื่ออยู่เนืองๆ
ครั้นคหบดีเห็นว่าไท่จื่อชำเลืองมองบุตรสาวของตนหลายครั้ง เขาก็ตื่นเต้นจนหน้าแดง
โอ้สวรรค์ บรรพบุรุษเคยกู้ชาติบ้านเมืองมาหรืออย่างไร ถึงได้มีโอกาสต้อนรับไท่จื่อและท่านอ๋องพร้อมๆ กันเช่นนี้!
หากบุตรีของเขาเข้าตาไท่จื่อ นั่นก็นับว่าได้ก้าวขึ้นไปสูงอีกขั้น
เสียงเกรียวกราวดังขึ้น พร้อมตะเกียบคู่หนึ่งร่วงหล่นลงพื้น
เด็กสาวรีบก้มลงเก็บ นางใช้กระโปรงเช็ดฝุ่นออกก่อนทำท่าจะวางลงบนโต๊ะอาหาร
คหบดีดึงบุตรสาวอย่างแรงพร้อมออกปากตำหนิ “ตะเกียบที่หล่นพื้นแล้วจะให้เหล่าผู้สูงศักดิ์ใช้งานอีกได้อย่างไร รีบเอาไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้”
เด็กสาวบุ้ยปากอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ พร้อมค้อมหลังเดินออกไป
ไท่จื่อขมวดคิ้ว
การกระทำมักง่าย ทำให้ไท่จื่อรู้สึกสะอิดสะเอียน
ความสนใจเมื่อครู่พลันมลายหายสิ้น
คหบดีรีบขออภัยการใหญ่ “บุตรีของข้าหยาบคายยิ่งนัก ที่บังอาจล่วงเกินไท่จื่อ”
“ช่างเถิด เจ้ามิต้องเข้ามาดูแลในนี้แล้ว ออกไปเถิด” ไท่จื่อกล่าวอย่างหมดความอดทน ครั้นความสนใจในตัวหญิงสาวหมดลง ความสนใจในตัวบิดาของนางกลับมีน้อยยิ่งกว่า
คหบดีถอยออกไปจากห้อง แล้วจึงเรียกบุตรสาวมาเอ็ดยกใหญ่ “ทุกทีก็เห็นไหวพริบดีออกปานนั้น เหตุใดกับแค่ถือตะเกียบกลับจับให้มั่นยังไม่ได้ เรื่องนี้ว่าแย่แล้ว ตะเกียบหล่นพื้นแล้วยังมีหน้าหยิบขึ้นมาเช็ดบนตัว นี่เจ้ากำลังยั่วโมโหข้าอยู่ใช่หรือไม่”
เด็กสาวหัวเราะคิกคัก “ก็ข้าตั้งใจ สายตาเช่นนั้นจะได้เลิกจ้องมาที่ข้าเสียที หึ ท่านพ่อคิดอะไรอยู่ อย่าคิดว่าข้ารู้ไม่ทัน ข้าจะบอกท่านพ่อให้นะว่า ต่อให้ข้าต้องแต่งงานกับหนุ่มบ้านนา ยังดีกว่าไปเป็นสนมให้ไท่จื่อขี้หลีเช่นนั้น…”
“ไอ้เจ้าลูกคนนี้ เบาเสียงหน่อยจะได้ไหม…”
เด็กสาวพ่นสิ่งที่คิดในใจใส่ผู้เป็นบิดาแล้วก็วิ่งฉิวหายไป
คหบดีส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
เอาเถอะ ทั้งลูกชายลูกสาวก็ไม่ได้เรื่องสักคน อย่าเก็บมาใส่ใจเลยจะได้ไม่ต้องหัวเสียโดยใช่เหตุ
ภายในห้องอาหาร ไท่จื่อค่อยๆ ละเอียดอาหารเช้าทีละนิด ทั้งที่รู้แจ้งแก่ใจว่า ถึงอย่างไรก็หนีภาระนี้ไม่พ้น เขาหันไปกล่าวแก่จ้าวซื่อหลาง “ไปเถอะ ไปดูที่อำเภอเฉียนเหอกันดีกว่า”
จ้าวซื่อหลางลอบถอนหายใจแผ่วเบา
ตอนแรกเขากลัวว่าไท่จื่อจะไม่ยอมเสด็จไป และทำให้พวกเขาที่มาจากเมืองหลวงต้องเสียหน้า
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ไท่จื่อและขบวนผู้ติดตามก็มาถึงที่หน้าประตูเมือง
“องค์รัชทายาท ต้องสวมฉลองพระองค์ที่ผ่านการรมควันสมุนไพรคลุมทับอีกชั้นก่อน แล้วถึงจะเสด็จเข้าเขตด้านในได้พ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อไม่รอช้า รับชุดคลุมตัวบางจากจ้าวซื่อหลางมาคลุมทับ พลางชี้นิ้วไปที่กำแพงพลางเอ่ย “ยิ่งสูงยิ่งเห็นได้ไกล พวกเราขึ้นไปดูจากบนกำแพงนั้นก็แล้วกัน เพื่อจะได้เห็นภาพรวมทั้งหมด”
สีหน้าของแต่ละคนบิดเบี้ยวผิดรูป
“แค่กๆ ไท่จื่อตรัสมีเหตุผลยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวซื่อหลางมิรู้ว่าควรยินดีหรือยินร้าย เมื่อเห็นว่าไท่จื่อพยายามหลบหลีก ตนก็ไม่อยากบังคับขืนใจ
ฮ่องเต้ส่งไท่จื่อมาสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าราษฎร หากให้ว่ากันตามจริงก็เพื่อให้เหล่าขุนนางและราษฎรได้เห็น เมื่อเสด็จกลับไปแล้ว คงมีฎีกาเชิดชูเกียรติคุณองค์รัชทายาทส่งมาไม่ขาดสาย แต่ผู้ใดจะไปคิดว่าไท่จื่อจะไม่ยอมเสด็จเข้าเมืองด้วยเช่นนี้
แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยๆ ไท่จื่อก็ยังปลอดภัยดี เพราะหากว่าไท่จื่อทรงมีอันเป็นไป อนาคตของเขาคงดับสูญเป็นแน่
กลุ่มคนเดินตามไท่จื่อขึ้นไปด้านบนกำแพง
และเป็นจริงดังที่ไท่จื่อว่าไว้คือ ยิ่งสูงยิ่งเห็นได้ไกล
อวี้จิ่นที่ยืนอยู่บนกำแพงมองไปเบื้องหน้า ภาพซากเมืองขนาดใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือปรากฏแก่ตา เพียงได้เห็นใจก็สั่นสะท้าน ตลอดจนฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ มีบ้านเรือนพังทลายย่อยยับไม่น้อย พื้นที่บริเวณนั้นแทบจะกลายเป็นพื้นที่รกร้าง ในเวลานี้ สิ่งที่เห็นมีเพียงกระโจมพักอาศัยชั่วคราวมากมาย และเงาคนขนาดเล็กจิ๋ว
เขาพิศมองภาพนั้นเงียบงัน ไม่มีความรู้สึกใดส่งผ่านออกมาทางสีหน้า
ตอนที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ เขาผ่านสงครามเล็กใหญ่มานับไม่ถ้วน ภาพเหตุการณ์น่าเศร้าสลดกว่านี้ เขาก็เคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง แต่ภาพแสนหดหู่เช่นนั้นเกิดจากน้ำมือของคนฝ่ายเดียวกับเขาและฝ่ายศัตรูทำร่วมกัน แต่เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเบื้องหน้าคือราษฎรต้าโจว
อวี้จิ่นเพิ่งจะรับรู้ได้ว่าคนสองคนก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกันออกไป
ส่วนไท่จื่อในขณะนี้ก็ได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
เขารู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งที่หวนนึกถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นที่วัดไท่ ทั้งที่ในตอนนั้นมีเพียงพื้นดินสั่นสะเทือน เสาธงหักล้มลงมา เดิมทีเขาคิดว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นน่ากลัวที่สุดในชีวิต แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงกว่านั้นมาก
เขาเห็นแม้กระทั่งนายทหารกำลังหามร่างศพบวมฉึ่งไปไว้อีกที่
โชคดีที่เขายืนอยู่ไกล มิฉะนั้นอาหารเช้าที่กินเข้าไปคงได้สำรอกออกมาเป็นแน่
ไท่จื่อดวงตาเลื่อนลอยหันไปมองจ้าวซื่อหลาง “แผ่นดินไหวเกิดขึ้นตั้งนานแล้ว เหตุไฉนถึงมีร่างคนเสียชีวิตเกลื่อนกลาดเพียงนี้”
จ้าวซื่อหลางไม่อยากจะวิจารณ์ความไร้เดียงสาของไท่จื่อ ตอบไปเพียงว่า “ผู้คนเหล่านั้นเสียชีวิตจากโรคระบาดพ่ะย่ะค่ะ เมื่อใดก็ตามที่มีคนหนึ่งติดโรคร้าย ก็จะนำโรคนี้แพร่กระจายไปสู่คนในครอบครัว และในที่สุดก็เสียชีวิตกันหมดพ่ะย่ะค่ะ…”
ไท่จื่อตกใจจนเนื้อตัวสั่นสะท้าน
โรคระบาดนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เขาอยากกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย!
ใบหน้าของไท่จื่อที่พยายามห้ามเท้าตัวเองไม่ให้วิ่งหนีไปซีดเซียวเข้าขั้น ‘ควบคุมไม่ได้เลยรึ’
จ้างซื่อหลางยิ้มจืดเจื่อน “โรคระบาดควบคุมได้ที่ไหนกันพ่ะย่ะค่ะ นอกเสียจาก…”
เพราะกลัวว่าจะทำให้ไท่จื่อหวาดผวามากกว่าเก่า เขาจึงไม่กล่าวต่อให้จบ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงเย็นชาของใครบางคนเอ่ยขึ้น “นอกเสียจากตายกันหมด ก็นับว่าควบคุมได้สำเร็จ”
ไท่จื่อและจ้าวซื่อหลางหันไปมองต้นเสียง
ใบหน้าของอวี้จิ่นยังคงนิ่งเฉย ประหนึ่งว่าคนที่พูดประโยคเมื่อครู่ไม่ใช่เขาอย่างไรอย่างนั้น
จนถึงตอนนี้ เขาก็เข้าใจแผนการของคนพวกนี้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
เรื่องบรรเทาทุกข์สาธารณภัยทำได้เพียงบรรเทาไปตามเรื่อง แต่อย่าหวังว่าคนพวกนี้จะลงไปจัดการ และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป รอจนกระทั่งไม่มีผู้เสียชีวิตจากโรคระบาด ถึงจะนับว่าแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ ส่วนจะมีผู้รอดชีวิตมากน้อยเพียงใดก็แล้วแต่ดินแต่ฟ้าจะเมตตา
วิธีการจัดการกับโรคระบาดเช่นนี้เป็นวิธีปฏิบัติที่ส่งทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย
เมื่อต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ชีวิตมนุษย์ด้อยค่าไม่ต่างอะไรจากมดตัวกระจิริด ไร้ซึ่งทางรอด
จ้าวซื่อหลางไม่คิดว่าอวี้จิ่นจะกล่าวความจริงที่ไม่น่าพิสมัยออกมาตรงๆ เช่นนี้ เขาได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน “ท่านอ๋องทรงมองแง่ร้ายเกินไปพ่ะย่ะค่ะ ราษฎรที่รวมตัวอยู่ที่ฝั่งตะวันตกก็มิใช่ปัญหาใหญ่ปานนั้น…”
ยังไม่ทันจบประโยค จู่ๆ เบื้องหน้าก็ตกอยู่ในความชุลมุนวุ่นวาย
ชาวเมืองนับสิบออกมายืนออกันอยู่ที่ประตูเมือง ประจันหน้ากับเหล่าทหารผู้มีอาวุธครบมือ
“ปล่อยพวกข้าออกไปเดี๋ยวนี้ ปล่อยพวกข้าออกไปเดี๋ยวนี้!”
“เปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้ พวกข้าไม่อยากนอนรอความตายอยู่ที่นี่…”
ชาวบ้านในชุดมอซอมีทั้งชาย หญิง คนเฒ่า และเด็ก ทุกคนล้วนแล้วแต่สิ้นหวังเต็มประดา ดวงตาแดงก่ำร้องตะโกนสุดเสียง
ไท่จื่ออ้าปาก “คนพวกนี้…”
จ้าวซื่อหลางอธิบาย “คือราษฎรจากฝั่งตะวันตกที่อยากหนีออกจากเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
ความไม่ยี่หระแยแสแวบผ่านสายตาของไท่จื่อ
ใครจะไปรู้ว่าชาวบ้านพวกนี้ติดโรคแล้วหรือยัง แล้วยังมีหน้ามาโวยวายจะออกจากเมืองให้ได้ ความรับผิดชอบต่อส่วนรวมไม่มีอยู่ในจิตสำนึกเลยสักนิด! โชคดีที่เขาไหวตัวทัน ถึงได้ขึ้นมายืนดูข้างบนนี้ เพราะหากเข้าไปในเมืองจริงๆ คงถูกคนชั่วพวกนั้นล่วงเกินเป็นแน่
ไท่จื่อแอบชื่นชมความฉลาดของตัวเอง
ครั้นผู้ดูแลอำเภอเฉียนเหอเห็นว่าเหล่าผู้ประสบภัยก่อความไม่สงบต่อหน้าไท่จื่อ จึงกระแอมไอพลางแผดเสียง “ทุกคน อยู่ในความสงบ ฟังที่ข้ากำลังจะบอก ราชสำนักจะดูแลพวกเจ้าแต่ละคนอย่างดี ไม่มีทางทอดทิ้งผู้ใดไว้ข้างหลัง พวกเจ้าดูนี่ซิ นี่คือไท่จื่อผู้เป็นองค์รัชทายาท ทรงเสด็จมาในนามของฮ่องเต้ เพื่อมาดูแลทุกคนด้วยพระองค์เอง…”
ทั้งหมดนิ่งเงียบเพียงชั่วอึดใจ ก่อนที่รองเท้าข้างหนึ่งจะลอยขึ้นไปบนกำแพง และพุ่งเข้าที่หน้าผากของไท่จื่อเต็มรัก