อวี้จิ่นและจ้าวซื่อหลางถามตอบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ไท่จื่อที่ยืนฟังต่อไปไม่ไหวจึงเอ่ยคั่นบทสนทนา “ไปทานอาหารกันก่อนเถิด”
เดินทางมาตั้งไกล หิ้วท้องรอมาเป็นชาติแล้ว
อาหารถูกเตรียมไว้พร้อมสรรพ มีข้าวคลุกธัญพืชสองสามชนิดหม้อใหญ่ที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ และมีเนื้อสัตว์ที่องครักษ์ผู้ติดตามเพิ่งจับมาสดๆ ร้อนๆ ซึ่งมีเพียงพอสำหรับเหล่าผู้สูงศักดิ์เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ไท่จื่อเห็นว่าอาหารแลดูไม่น่าทานจึงบ่นออกมา “เนื้อกระต่ายต้องเอาไปทาน้ำผึ้งก่อนย่าง ถึงจะหอม”
ทุกคนได้แต่บุ้ยปากขมุบขมิบ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าออกเสียง
ทำอย่างไรได้ ในเมื่อแค่อ้าปากก็อยากสาปส่งไท่จื่อให้เสียผู้เสียคนไปเลย
เอ้อร์หนิวที่หมอบอยู่ข้างกายอวี้จิ่นกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย พลางคิดในใจ ไอ้คนนี้เสียงดังน่ารำคาญเสียจริง คอยดูเถอะวันไหนจะกัดก้นเข้าให้ จะได้สงบปากสงบคำเสียบ้าง
มื้ออาหารที่ไร้ซึ่งความพิถีพิถันผ่านพ้นไป ไท่จื่อเช็ดปากจนหมดจดก่อนจะหันไปถามจ้าวซื่อหลาง “โดยปกติแล้วพวกเจ้าพักแรมกันที่ไหนรึ”
“กระหม่อมพักในเพิงไม้ที่นอกเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
สภาพอากาศในเดือนห้าไม่เป็นมิตรต่อร่างผู้เสียชีวิตนัก เนื่องจากทำให้เปื่อยเน่าอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นถือว่ากำลังพอดี
หากทำใจให้สบาย การมีเพิงไม้บังแดดบังฝนก็นับว่าไม่เลวทีเดียว
จ้าวซื่อหลางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในเมืองหลวงมาโดยตลอด เดิมทีเขาก็ไม่อยากอยู่ในที่ซอมซ่อเช่นนั้น แต่เนื่องจากอำเภอเฉียนเหออยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่มาก เพียงแค่เสียงลมพัดใบไม้ไหวก็ดังไกลถึงพระกรรณของฮ่องเต้ หากถูกส่งมาบรรเทาทุกข์ของราษฎร แต่กลับใช้ชีวิตหรูหรา เกรงว่าตัวเองอาจหนีไม่พ้นพระอาชญาของฮ่องเต้
เขาเป็นซื่อหลางฝ่ายขวาประจำกรมพระคลังมานานหลายปี หากการปฏิบัติงานบรรเทาสาธารณภัยคราวนี้มีผลงานเข้าตาเป็นที่ประจักษ์ ตำแหน่งคงได้ขยับขึ้นกับเขาบ้าง
“ในเพิงไม้อยู่กันได้ด้วยรึ” ไท่จื่อขมวดคิ้วมุ่น หวังจะทำตัวเป็นการเป็นงาน เขากระแอมไอออกมาหนหนึ่ง “ทุกท่านมาปฏิบัติงานบรรเทาภัยให้แก่ราษฎร หากที่พักอาศัยยังไม่อาจให้ความสบาย รังแต่จะทำให้ร่างกายอ่อนล้า ซึ่งอาจส่งผลเสียตามมา”
จ้าวซื่อหลางแอบกลอกตา ทว่ายังถามด้วยความเคารพ “ความหมายขององค์รัชทายาทคือ?”
“มีที่ที่อยู่ใกล้อำเภอเฉียนเหอ แต่ไม่มีแผ่นดินไหวและโรคระบาดหรือไม่”
อวี้จิ่นมองไปที่ไท่จื่อพร้อมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
จากที่เห็นตอนนี้ ดูเหมือนว่าฝันร้ายของอาซื่อสื่อความหมายบางอย่าง เพราะดูเหมือนว่าไท่จื่อกำลังเสนอให้ออกไปพักแรมในเมืองใกล้เคียง
หากเชื่อว่าฝันร้ายที่เจียงซื่อเล่ามาจะเกิดขึ้นจริงโดยไม่มีข้อกังขา เขาคงไม่ต่างอะไรจากคนหูหนวกตาบอด ถึงอย่างไร เขาก็มีสมองเป็นของตัวเอง ฉะนั้นหากจะคิดและสงสัยในสิ่งที่ภรรยาพูดคงไม่ผิดนัก
แต่เมื่ออาซื่ออยากให้เขาเชื่อ เขาก็ยินดีเชื่อตามนั้น
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมีหรือไม่มีสมอง เป็นเรื่องเจตจำนงล้วนๆ
หากอาซื่อไม่ต้องการให้เขาพักแรมอยู่ที่เมืองนั้น เขาก็จะไม่อยู่ เหตุการณ์จะเป็นจริงอย่างในความฝันหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะอย่างน้อยๆ ขอแค่ภรรยาของเขาสบายใจ
อวี้จิ่นตัดสินใจจะอยู่นิ่งๆ เฝ้าดูว่าสุดท้ายคนพวกนั้นจะตัดสินใจอย่างไร
ทั้งหมดมองหน้ากัน
อ๋อ ไท่จื่ออยากจะหาที่พักที่ปลอดภัยสำหรับพักแรมในช่วงสองสามวันนี้
เมื่อมีไท่จื่อเป็นแกนนำ พวกเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร การอาศัยอยู่ในเมืองใกล้ๆ ต้องสบายกว่าการอาศัยอยู่ในเพิงไม้อยู่แล้ว และดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้เสียการเสียงาน
แล้วจะถูกประณามหรือไม่
ไม่มีทางหรอก ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่ไท่จื่อเสนอขึ้นมาเอง
เจ้าหน้าที่นายหนึ่งเอ่ยขึ้น “กราบทูลองค์รัชทายาท เมืองและหมู่บ้านเช่นนั้นก็พอมีอยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ หากที่อยู่ใกล้อำเภอเฉียนเหอมากที่สุดจะมีหมู่บ้านต้าเหอและหมู่บ้านเสี่ยวเหอ ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปจากอำเภอพ่ะย่ะค่ะ จากจุดนี้ห่างออกไปเพียงไม่กี่ลี้ นอกจากนี้ยังมีเมืองซวงหยาง เมืองจิ๋นหลี่ และเมืองอูจี ซึ่งเมืองซวงหยางอยู่ใกล้อำเภอเฉียนเหอมากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ…”
ไท่จื่อได้ฟังก็ปวดหัวตุบๆ จึงเอ่ยแทรก “พวกหมู่บ้านตัดไปได้เลย ไหนลองบอกมาซิว่า ในบรรดาเมืองที่ว่ามา เมืองใดเจริญมากที่สุด”
เจริญงั้นหรือ
คำถามนั้นเล่นเอาเจ้าหน้าที่นายนั้นผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “หากถามว่าเมืองใดเจริญ แม้ว่าอาจไม่ดีเท่าช่วงก่อนมีเหตุแผ่นดินไหว และอาจไม่เจริญเท่าเมืองหลวง แต่เมืองที่ครึกครื้นที่สุดคงเป็นเมืองจิ๋นหลี่พ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อพยักศีรษะเล็กน้อย “เมืองจิ๋นหลี่ฟังดูไม่เลว แล้วอยู่ห่างจากอำเภอเฉียนเหอเท่าไหร่”
เจ้าหน้าที่รีบตอบ “ห่างจากอำเภอเฉียนเหอออกไปไม่ถึงสิบลี้พ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นก็นับว่าใกล้มาก เมืองนั้นได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้หรือไม่” ไท่จื่อที่ได้ยินว่าเมืองนี้อยู่ใกล้กับอำเภอเฉียนเหอรีบถามเพราะไม่สบายใจ
หางตาของจ้าวซื่อหลางกระตุกเล็กน้อย
ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ไท่จื่อยังรักตัวกลัวตายเพียงนี้ ทำเอาเขารู้สึกขายขี้หน้ายิ่งนัก!
ขุนนางและเจ้าหน้าที่จากเมืองหลวงเงยหน้ามองฟ้าเงียบงัน
ไท่จื่อนี่ช่างเป็นหน้าเป็นตาแก่ราชสำนักเป็นล้นพ้น…
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นกล่าวตอบ “จะว่าไปแล้วก็น่าแปลกอยู่พ่ะย่ะค่ะ เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่อำเภอเฉียนเหอ เมืองและหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงล้วนมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายไม่มากก็น้อย มีเพียงเมืองจิ๋นหลี่ที่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต มีเพียงบ้านเรือนพังเสียหายเพียงไม่กี่หลังเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อได้ยินดังนั้นก็พอใจยิ่งนัก เขาตบโต๊ะพลางบอก “เช่นนั้นก็พักที่เมืองจิ๋นหลี่ก็แล้วกัน”
เขาแสร้งทำเป็นมองท้องฟ้าพลางเอ่ย “วันนี้ก็เย็นมากแล้ว ตรงไปที่เมืองจิ๋นหลี่เลยก็แล้วกัน เช้าวันพรุ่งนี้ค่อยเข้าไปที่อำเภอเฉียนเหอ”
ทั้งหมดรีบตอบรับ กองขบวนยาวเหยียดที่นำโดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมุ่งหน้าสู่เมืองจิ๋นหลี่
เมืองจิ๋นหลี่เป็นเมืองขนาดใหญ่ เป็นเมืองทางตอนใต้ของอำเภอเฉียนเหอที่รุ่งเรืองคึกคักเป็นที่สุด
ครั้นไปถึงถนนที่ในเมือง ไท่จื่อก็แสดงออกว่าพอใจอย่างเห็นได้ชัด
ดีกว่าภาพปรักหักพังที่คิดไว้ในหัวเสียอีก พักที่นี่ก็แล้วกัน
อวี้จิ่นอยู่ในกองขบวนนั้น ไม่ได้ออกความคิดเห็น
เขากำลังรอ
อาซื่อจำชื่อเมืองนั้นไม่ได้ หากที่อาซื่อฝันเป็นความจริง เพื่อมิให้มีข้อผิดพลาด เขาต้องรอให้ไท่จื่อตัดสินใจให้ได้ก่อนว่าจะพักที่นี่ เขาถึงจะลงมือได้
ภายใต้การจัดแจงของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ที่พักชั่วคราวถูกตระเตรียมไว้พร้อม สถานที่ที่ใช้เป็นที่พักชั่วคราวคือบ้านของคหบดีนายหนึ่ง
แม้เรือนนั้นจะไม่โอ่อ่าใหญ่โต แต่ก็สะอาดสะอ้าน
ไท่จื่อเดินสำรวจรอบๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างพออกพอใจ เขาเอื้อมมือเตรียมจะตบบ่าของอวี้จิ่นอย่างทุกที
ส่วนอวี้จิ่นก็เอี้ยวตัวหลบอย่างทุกทีดุจกัน
“น้องเจ็ด เจ้าชอบทำตัวเหมือนเป็นคนอื่นคนไกลอยู่เรื่อย ข้าอุตส่าห์ทำตัวสนิทสนมกับเจ้าเข้าไว้” ตั้งแต่ที่เขาชีวิตบุตรชายของไท่จื่อ ไท่จื่อก็เห็นว่าเขาเป็นคนไว้ใจได้ มิได้ถือสาเรื่องที่ชกหน้าเขาครั้งนั้นอีกแล้ว
แต่ไม่คิดเลยว่า แม้เขาจะเลิกติดใจเรื่องนั้นไปแล้ว แต่อีกฝ่ายยังคงแสดงท่าทีเย็นชาเหมือนเดิม
อวี้จิ่นกล่าวเนิบนาบ “ข้าอยู่ที่ทางใต้มานาน ไม่ชินกับการถูกเนื้อต้องตัวเท่าไหร่นัก”
“เอ่อะ พี่ก็แค่จะบอกเจ้าว่า ให้อยู่ด้วยกันที่นี่แหละ เจ้าเองก็ไปพักผ่อนเสียหน่อยเถิด”
“อื้อ” อวี้จิ่นครางตอบพลางผงกศีรษะ ชายหนุ่มยืนกอดอกอยู่ที่ทางเดิน สายตาเคลื่อนตามไท่จื่อที่เดินเข้าไปในห้อง เขามองไปที่ลานเล็กๆ ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าคราม แสงอาทิตย์ส่องเจิดจ้า
ไม่รู้ว่าคืนใด แผ่นดินไหวจะแปรสภาพเมืองนี้ให้กลายเป็นเมืองร้าง ไร้ผู้รอดชีวิต
อวี้จิ่นนึกถึงคหบดีเจ้าของบ้านที่ออกมาต้อนรับขับสู้อย่างดี และเชื้อเชิญพวกเขาให้เข้ามาพักที่นี่ รวมถึงเด็กสาวที่มาแสดงฝีมือชงชาเก้ๆ กังๆ ที่ทิ้งร้างไปนาน
พวกเขาคงเลือกคนที่ฝีมือดีที่สุดในเรือนแล้วล่ะ
อีกทั้งยังมีชาวเมืองที่แห่แหนออกมาดูกองขบวน
อวี้จิ่นรู้สึกเจ็บปวดที่ใจ
หัวใจของมนุษย์มิได้สร้างขึ้นจากก้อนหิน แม้แลดูแข็งกร้าว แต่นั่นก็เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเท่านั้น
แม้จะไม่ใช่คำสั่งของอาซื่อ เขาก็ต้องช่วยชาวเมืองเหล่านั้นออกมาอยู่ดี เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นวันใด แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้คือ ในคืนแรกยังคงปลอดภัย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้ก็นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่