ตอนที่ 506 ผูกมิตร

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 506 ผูกมิตร

ทว่า ผู้คนกลับรู้สึกว่าตระกูลไป๋ดูเรียบง่ายจนน่าอิจฉา

บรรดาสตรีของตระกูลไป๋รู้จักมารยาทบนโต๊ะอาหารจนหาที่ติไม่ได้ ยามยกช้อนไม่มีเสียงกระทบของภาชนะใดๆ ทั้งสิ้น ยามดื่มน้ำแกงไม่มีเสียงซดน้ำ แม้แต่ชุยซื่อก็ยังทำถึงขั้นนั้นไม่ได้

ชุยซื่อหวนนึกถึงตอนที่ตนยังอยู่ที่ตระกูลฝั่งมารดา ยามท่านย่าของนางรับประทานอาหาร ท่านแม่ยืนคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง ยามท่านแม่รับประทานอาหาร บรรดาอนุยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง บรรยากาศเงียบเหงา มีแต่เสียงตะเกียบคีบอาหาร ไม่มีความครื้นเครงเหมือนดั่งตระกูลไป๋แม้แต่น้อย

รับประทานอาหารเช้าเสร็จไม่นาน ฮูหยินสามหลี่ซื่อ ฮูหยินสี่หวังซื่อและฮูหยินห้าฉีซื่อซึ่งอุ้มคุณหนูแปดไป๋หวั่งชิงมาด้วยต่างมารวมตัวกันที่เรือนของต่งซื่อโดยไม่ได้นัดหมาย

บรรดาสะใภ้นั่งสนทนากันอย่างมีความสุข บรรดาคุณหนูนั่งจับกลุ่มเล่นกันอยู่อีกโต๊ะ

ไป๋ชิงเหยียนมองดูตระกูลไป๋ที่บัดนี้กลับมามีชีวิตชีวาสดใสอีกครั้งอย่างดีใจ นางรู้สึกขอบคุณที่สวรรค์ให้โอกาสนางอีกครั้ง ให้นางได้เห็นภาพเช่นนี้ของตระกูลไป๋

ภายภาคหน้าเมื่อไป๋ชิงเจวี๋ยและไป๋ชิงอวิ๋นกลับมา ไป๋ชิงเหยียนเชื่อว่าตระกูลไป๋จะยิ่งมีความสุขมากยิ่งกว่านี้

ภายในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศคึกครื้น ชุนเถาแหวกม่านเข้ามาด้านใน กระซิบข้างใบหูของไป๋ชิงเหยียน ”คุณหนูใหญ่ พ่อบ้านเหาให้มาเรียนว่ามีความคืบหน้าจากซอยเฝิ่นแล้วเจ้าค่ะ!”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า วางถ้วยชากระเบื้องเคลือบลายดอกไม้ลงบนโต๊ะ จากนั้นลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ ออกจากประตูเรือนชิงเหอ จากนั้นเดินทอดยาวไปตามระเบียงทางเดิน

พ่อบ้านเหายืนรออยู่ตรงระเบียงทางเดิน เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนเดินมาจึงรีบเข้าไปทำความเคารพ “คุณหนูใหญ่ ได้ข่าวจากซอยเฝิ่นและเมืองหลวงแล้วขอรับ”

“ว่ามาได้…” ไป๋ชิงเหยียนมองพ่อบ้านเหานิ่ง

“คนของเราที่ลอบสะกดรอยตามคนที่สองสามวันก่อนออกจากซอยเฝิ่นกลับไปยังเมืองหลวงพบว่าเขาหายเข้าไปในจวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าขอรับ ต่อมาที่ปรึกษาซึ่งสวมชุดสีเขียวของจวนหลี่เดินออกมาส่งเขาที่หน้าประตูจวนด้วยตัวเอง เมื่อคนผู้นั้นกลับมาจึงไปสุมหัวอยู่กับไป๋ฉีอวิ๋นที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลไป๋ขอรับ”

เมื่อไป๋ชิงเหยียนได้ยินรายงานจากพ่อบ้านเหาก็ไม่ได้รู้สึกตกใจแต่อย่างใด หญิงสาวมองไปยังผิวน้ำและตะไคร่ซึ่งถูกแสงแดดส่องกระทบจนเปล่งประกายด้านนอกผ้าม่านนิ่ง “หลี่เม่าอยู่อย่างสงบไม่ได้สินะ”

“บ่าวส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลไป๋แล้วขอรับ ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาก่อเรื่องแน่นอนขอรับ!”

“ไม่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นหรอก” ในดวงตาที่ล้ำลึกของไป๋ชิงเหยียนเต็มไปด้วยไอสังหารที่น่างหวาดกลัว “ส่งศีรษะของคนที่หลี่เม่าส่งมากลับไปให้เขาก็พอ”

“ขอรับ!”

พ่อบ้านเหารับคำโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ

“ส่งคนไปบอกคุณหนูรองว่าหลี่เม่ายื่นมือเข้ามายุ่งถึงซั่วหยาง คราวก่อนคงขู่เขาไม่มากพอ บอกนางว่าอย่าเผชิญหน้ากับหลี่เม่าโดยตรง ให้เลือกจดหมายที่หลี่เม่าเขียนถึงองค์ชายรองในตอนนั้นออกมาหนึ่งฉบับ คัดลอกแล้วแพร่กระจายไปให้ทั่วทั้งเมืองหลวง ให้ทุกคนในเมืองหลวงวิจารณ์เรื่องการก่อกบฏขององค์ชายรองในปีนั้น!”

“ขอรับ!”

พ่อบ้านเหารับคำแล้วเตรียมเดินไปจัดการ ทว่า ไป๋ชิงเหยียนยกมือขึ้นห้ามเขาไว้เสียก่อน หญิงสาวกล่าวต่อ “บอกคุณหนูรองว่าให้นางใช้กระดาษและน้ำหมึกชนิดเดียวกับที่จวนเหลียงอ๋องใช้ พยายามทิ้งร่องรอยให้รู้ว่าเป็นฝีมือของจวนเหลียงอ๋อง”

ไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นหันไปมองพ่อบ้านเหา

“ให้คุณหนูรองหาคนคัดลอกจดหมายลายมือหลี่เม่าขึ้นมาหนึ่งฉบับ จากนั้นส่งไปยังจวนเหลียงอ๋องในนามของท่านอ๋องเก้าแห่งแคว้นต้าเยี่ยน หากเหลียงอ๋องได้รับจดหมายแล้วไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ก็ช่างมัน ทว่า หากมีความเคลื่อนไหว ให้คุณหนูรองนำสำเนาจดหมายลายมือของหลี่เม่าไปมอบให้แก่ใต้เท้าเผยผู้ตรวจการสูงสุด หลี่เม่าจะได้ตั้งรับไม่ทัน!”

พ่อบ้านเหารับคำแล้วเดินจากไปสั่งงานบ่าวรับใช้ของจวนไป๋

เทียบกับอยู่เมืองหลวงแล้วกระทำการสิ่งต่างๆ ได้อย่างยากลำบากแล้ว การย้ายกลับมาอยู่เมืองซั่วหยางส่งผลดีต่อตระกูลไป๋มากกว่า หญิงสาวลงมือจัดการสิ่งต่างๆ ได้คล่องแคล่วกว่าตอนอยู่เมืองหลวงมากนัก

เดิมทีตระกูลไป๋กุมความลับของหลี่เม่าไว้ในมืออยู่แล้ว ตระกูลไป๋ไม่จำเป็นต้องไปตักเตือนหลี่เม่า แค่ส่งศีรษะคนของเขากลับไปที่เมืองหลวง คนอย่างหลี่เม่าคงเดาได้ไม่ยากว่าเหตุใดจวนหลี่จึงเดือดร้อน

ที่ไป๋ชิงเหยียนดึงเหลียงอ๋องมาเกี่ยวข้องด้วยก็เพราะต้องการฝังความหวาดระแวงไว้ในใจของฮ่องเต้ เหลียงอ๋องและหลี่เม่า

เมื่อรับรู้ว่าข่าวลือเรื่องจดหมายมีที่มาจากจวนเหลียงอ๋อง ต่อให้หลี่เม่าสงสัยว่าเป็นฝีมือของนาง ต่อให้จะรู้ว่าเหลียงอ๋องไม่มีแรงจูงใจที่ต้องทำเช่นนี้ ทว่า เขาย่อมต้องหวาดระแวงในตัวเหลียงอ๋องอยู่ดี

หากเหลียงอ๋องเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้ใช้ในคราวที่จำเป็นจริงๆ ถึงเวลานั้น เมื่อเขานำมันออกมาใช้ หลี่เม่าจะมองเขาเช่นไร เขายังจะคิดหาแรงจูงใจสำหรับเรื่องนี้อีกหรือไม่ แน่นอนว่าไม่ หลี่เม่าต้องคิดว่าผู้ที่ทำร้ายเขาตอนนั้นคือเหลียงอ๋อง

หากเหลียงอ๋องนำจดหมายของหลี่เม่าออกมาในตอนนี้ รับหลี่เม่ามาเป็นพวกหรือสั่งให้หลี่เม่าทำงานแทนเขา เมื่อผู้ตรวจการสูงสุดนำจดหมายฉบับนี้ถวายให้ฮ่องเต้ หลี่เม่าจะกล้าร่วมมือกับเหลียงอ๋องโดยไม่รู้สึกหวาดระแวงหรือไม่

เหลียงอ๋องมีความสามารถในการคัดลอกลายมือผู้อื่น อีกทั้งเชี่ยวชาญด้านนี้มากอีกด้วย หลี่เม่าย่อมรู้เรื่องนี้ดี

เมื่อฮ่องเต้ได้รับจดหมายฉบับนี้ แม้จะเป็นเพียงสำเนาจดหมาย ทว่า ด้วยนิสัยขี้หวาดระแวงของฮ่องเต้ เขาย่อมเริ่มสงสัยหลี่ว่าหลี่เม่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกบฏขององค์ชายรองในตอนนั้นจริง ทว่า เมื่อเห็นว่าองค์ชายรองทำไม่สำเร็จ เขาจึงเปลี่ยนใจไปคุ้มครองฮ่องเต้อย่างกะทันหันแทน

ยิ่งราชสำนักวุ่นวายมากเท่าใด ตระกูลไป๋และกองทัพไป๋ซึ่งอยู่ไกลถึงหนานเจียงก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น

บุตรชายของหลี่เม่าเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นซื่อหลางกรมการคลังได้ไม่นาน เขาคงอารมณ์ดีและว่างมากจึงยื่นมือมายุ่งที่ซั่วหยางเช่นนี้

ถือเป็นการเตือนให้ไป๋ชิงเหยียนฉุกคิดได้ว่านางต้องทำให้คนที่จ้องปองร้ายตระกูลไป๋ยุ่งวุ่นวายเข้าไว้ พวกเขาจะได้ไม่มีเวลามาวุ่นวายกับตระกูลไป๋

หญิงชราเฝ้าประตูจวนไป๋เดินเร่งฝีเท้าเข้ามาหาไป๋ชิงเหยียน ทำความเคารพหญิงสาวแล้วกล่าวขึ้น “คุณหนูใหญ่ เซียวเซียนเซิงมาเจ้าค่ะ”

เซียวหรงเหยี่ยนอย่างนั้นหรือ

วันนี้…เขามาเพราะเหตุใดกัน เขามาบ่อยเกินไปหรือไม่

ไป๋ชิงเหยียนกำมือแน่น พยักหน้าเล็กน้อย “ข้าจะไปดูสักหน่อย”

เซียวหรงเหยี่ยนถูกเชิญเข้าไปนั่งจิบชารอในโถงรับรอง

เมื่อเห็นร่างผอมเพรียวของไป๋ชิงเหยียนเดินเข้ามา เซียวหรงเหยี่ยนลุกขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม โค้งกายคำนับไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่ไป๋…”

ไป๋ชิงเหยียนซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนพยักหน้าให้เซียวหรงเหยี่ยนเล็กน้อย เมื่อเห็นชายหนุ่มใช้ปิ่นปักผมใช้เดียวกันกับที่เคยมอบให้นาง ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อทันที

“เซียวเซียนเซิงมาที่นี่ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”

สาวใช้เดินเข้ามารินชาให้ไป๋ชิงเหยียน จากนั้นเดินจากไป

เมื่อเห็นในห้องโถงเหลือเพียงแค่พวกเขาสองเขา สาวใช้ล้วนเฝ้าอยู่ที่ด้านนอก เซียวหรงเหยี่ยนจึงกล่าวเสียงแผ่วเบา

“ได้ยินว่าวันนี้คือวันเกิดของฮูหยิน เหยี่ยน…จึงตั้งใจนำของขวัญมามอบให้ฮูหยินขอรับ”

“ท่านแม่ตั้งใจว่าจะไม่จัดงานเลี้ยงฉลอง แม้แต่บรรพบุรุษตระกูลไป๋ก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้ ทว่า เซียวเซียนเซิงกลับรู้” ไป๋ชิงเหยียนยกถ้วยชาขึ้นจิบ น้ำชาสีใสสะท้อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของหญิงสาว

ภายในห้องโถงไม่มีผู้อื่น เซียวหรงเหยี่ยนจึงใจกล้ากว่าปกติ กล่าวเสียงแผ่วเบา

“วันหน้าจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน เหยี่ยนควรสืบให้รู้เรื่องเหล่านี้ให้ชัดเจนเพื่อผูกมิตรกับฮูหยิน วันหน้าจะได้ไม่ถูกกีดกันมากนัก”