บทที่ 550 จุดจบใกล้เข้ามา

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 550 จุดจบใกล้เข้ามา

เย่หลีเฉินที่ถูกโยนไปด้านข้าง จากความรู้สึกที่หายใจไม่ออกใกล้ตาย ทันทีที่หายใจสะดวก ทำให้เขาสูดอากาศเข้าไปเฮือกใหญ่

เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาเล็กน้อยก็รีบเงยหน้ามอง ขณะนี้เย่แจ๋หยิ่งเดินไปถึงข้างบัลลังก์แล้ว มองหลายเยาเยานิ่งๆแว็บนึง และค่อยๆนั่งลงไป……

หลังผ่านไปครู่นึง!

ไม่มีปฏิกิริยาใดๆทั้งนั้น

แววตาของราชครูเทียนเวิงฉายความผิดหวัง เขาเองก็ไม่ได้

หรือตัวเองจะคิดผิด?

ในตอนที่เขากำลังคิดอะไรไม่ออก เย่แจ๋หยิ่งก็หรี่ตาเล็กน้อยสำรวจบัลลังก์มังกร ตั้งแต่ตอนที่นั่งบนบัลลังก์มังกร ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกคุ้นเคยที่อธิบายไม่ได้ แต่ก็หายไปทันที

ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ

เพียงแต่สั้นๆเท่านั้น ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เขานึกถึงท่าทางที่เซียนชุดขาวนั่งลงบนบัลลังก์มังกรเมื่อครู่นี้ และเลียนแบบอย่างสมบูรณ์รอบนึง

เซียนชุดขาววางมือไว้บนที่วางแขน หลังจากนั้นก็หายไป

ดังนั้น!

เย่แจ๋หยิ่งมองที่วางแขนซ้ายขวาทั้งสองข้างแว็บนึง จากนั้นก็ยกมือวางลงไปเบาๆ

มือทั้งสองข้างดูเหมือนแนบติดไปที่วางแขน อยากจะออกแรงยกก็ยกไม่ขึ้น มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองมือก็ออกแรงกด แท่นข้างหน้าบัลลังก์มังกร มีโต๊ะมังกรลายมังกรหลับสีทองสองตัวค่อยๆสูงขึ้นมาอีกครั้ง

บนโต๊ะมังกรมีกล่องประกายวับอยู่กล่องหนึ่ง ด้านบนฝังอัญมณีสวยงามมากมาย บนอัญมณีหยดน้ำแพรวพราวราวน้ำค้างเกาะตัวอยู่ และรอบๆก็ล้อมด้วยหมอกขาวเป็นเวลานาน

ทุกคนต่างเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ

แม้แต่เย่หลีเฉิงก็รู้สึกเหลือเชื่อ กล่องทองที่ใส่ยาฉางตานปลอมที่เขาเอามาก่อนหน้านี้ ก็เป็นกล่องที่สวยงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาก่อนจนตราบทุกวันนี้ เดิมคิดว่า บนโลกนี้คงยากที่จะหาอันที่สอง

แต่คิดไม่ถึงเลย……

กล่องนั้นเมื่อเทียบกับกล่องนี้ตอนนี้ มันต่างกันราวฟ้ากับดิน

เย่แจ๋หยิ่งยื่นมือออกไปจะไปเอากล่องนั้น แต่เหมือนมีลมแฉลบผ่านแก้มมา หลังจากที่ทิ้งรอยเลือดอันแสบร้อนไว้ให้ กล่องตรงหน้าอยู่ๆก็หายไป

ชั่วพริบตา

หูก็ได้ยินเสียงแก่ๆหัวเราะจากเสียงต่ำไปสูงอย่างไม่สนใจอะไร เหมือนกับว่าความปรารถนาสิบกว่าปีได้บรรลุแล้ว ดังนั้นจึงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงกลัวอะไร

หลานเยาเยาหรี่ตา แอบพูดกับตัวเองว่าไม่ดีแล้ว

หรือนี่จะเป็นยาฉางตานที่เล่าขานกันมาว่าทำให้คงความหนุ่มสาว เป็นอมตะ?

ความโลภในใจค่อยๆเพิ่มขึ้น……

แต่ในชั่วขณะเดียวก็ถูกปัดออกไป

คงความหนุ่มสาวยังพอได้ แต่เป็นอมตะอะไรนี่ไปตายซะ!

ชีวิตนี้ยังไม่ทันจบ ก็ดูเหมือนจะมีชีวิตอยู่อีกหลายพันปีอย่างสับสนมึนงง และยังข้ามมิติเวลาไปมา ความรู้สึกนั้นไม่ดีเลย

สู้รักษาคนรู้ใจให้อยู่ด้วยกันไปตลอดดีกว่า!

ความโลภใครจะไม่มี?

ตราบใดที่เป็นคน ก็จะมีความโลภ เพียงแต่ต้องดูว่าความโลภนั้นรุนแรงหรือไม่รุนแรงก็เท่านั้น

อย่างเช่นราชครูเทียนเวิง ความโลภที่เขามีต่อยาฉางตานนั้นรุนแรงกว่าใครๆ ความโลภชนิดนี้มันฝังลึกไปแล้ว ทำให้กลายเป็นความหมกมุ่นที่ไม่ลดละ

ทันใดนั้น!

เสียงหัวเราะของราชครูเทียนเวิงก็หยุดไป

หยดน้ำค้างใสแพรวพราวบนกล่อง หลังจากทันทีที่สัมผัสกับมือของราชครูเทียนเวิง ก็ซึมเข้าสู่ผิวหนังเงียบๆด้วยความเร็ว

จนกระทั่งตอนที่เขารู้สึกเจ็บปวด กล้ามเนื้อและผิวหนังก็ถูกกัดกร่อน……

“มันมีพิษ?”

สีหน้าของราชครูเทียนเวิงขรึมลง หลังจากที่รู้ว่ามีพิษก็ไม่ได้โยนมันออกไป แต่กลับถือไว้ในมือต่อ ฉีกผ้าออกมาผืนนึงเช็ด ‘หยดน้ำค้าง’ออก จากนั้นถึงจะยื่นมือออกไปปิดแขนข้างหนึ่งไว้

พิษชนิดนึงก็คือพิษ

พิษสองอย่างก็คือพิษ

ยังไงก็ถึงตาย จะมากหรือจะน้อยไปชนิดนึงมันจะเป็นอะไร?

เมื่อเห็นสายตาของราชครูเทียนเวิงกวาดไปยังทุกคน หลานเยาเยาก็รีบตะโกนเสียงดังว่า:

“เขาจะหาคนมาเปิดกล่อง ทุกคนอยู่ด้วยกันไว้ ห้ามอยู่ลำพัง

เมื่อครู่เขาใช้กำลังภายใน ซึ่งได้ทำลายเสื้อเลือดหัวใจไปแล้ว ถ้าไม่ถึงเวลาที่จำเป็นจริงๆ ก็จะไม่ใช้กำลังภายในอีก ไม่เช่นนั้นพิษสองชนิดจะโจมตีเข้าที่อวัยวะภายในพร้อมกัน

แม้หัวโถ(หมอเทวดา)ยังอยู่บนโลก เขาต้องได้ไปเจอยมบาลแน่”

มีคนเยอะนั้นเป็นข้อดี ไม่เพียงแต่สามารถใช้สองสามคนรุมโจมตีได้ แต่ยังสามารถให้ทุกคนจับกลุ่มกันได้ด้วย

เมื่อได้ยินนางพูด ทุกคนก็มาอยู่ใกล้กันสองสามคน เลี่ยงการอยู่คนเดียว และการกลายเป็นตัวประกันหรือถูกให้เป็นผ้าที่มาใช้เช็ดยาพิษ

ความตั้งใจถูกรู้ทัน สีหน้าของราชครูเทียนเวิงก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที ดวงตามีเส้นเลือดฝอยขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนกับถูกยาพิษโดยฉับพลัน หันไปมองหลานเยาเยาอย่างเย็นชา

“เจ้าอีกแล้ว!”

เรื่องที่เป็นประโยชน์ของเขาถูกทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า

ดีมาก!

นางไม่ใช่ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้าหรือไง? หมอแบบนี้ไม่ยอมมาแก้พิษให้ตัวเอง จะไม่เสียดายความสามารถหรืออย่างไร?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ราชครูเทียนเวิงจึงกายเป็นภาพเงา พุ่งไปยังหลานเยาเยา

คาดไว้อยู่แล้วว่าราชครูเทียนเวิงจะมุ่งมาลงมือกับนาง หลานเยาเยาก็เตรียมพร้อมสู้อยู่แล้ว ส่วนเย่แจ๋หยิ่งก็ลงมาจากบัลลังก์มังกร มายังข้างกายนาง ยื่นมือไปเช็ดรอยเลือดบนหน้า

ในไม่ช้าทั้งสามคนก็สู้กัน เย่หลีเฉินและยู่หลิวซูพวกเขาเองก็ไม่ยอมที่จะดูอยู่ข้าง บวกกับจื่อซีและจื่อเฟิงที่ร่วมมือกันอย่างดี ราชครูเทียนเวิงที่ร่างกายโดนพิษไม่สามารถใช้กำลังภายในได้ ในไม่ช้าก็เป็นผู้เสียเปรียบ

แต่ผู้ที่เคยเชี่ยวชาญในด้านนี้ แม้จะเพลี่ยงพล้ำแต่ก็ยังแข็งแกร่ง

ยิ่งไปกว่านั้น ราชครูเทียนเวิงที่มีประสบการณ์ในยุคซอมบี้ ในไม่ช้าก็หาจุดบอดเจอ

ยู่หลิวซูบาดเจ็บหนักสุด ศิลปะการต่อสู้กำลังภายในอ่อนแอกว่าใคร

ทุกครั้งที่โจมตีจึงพุ่งไปยังยู่หลิวซู หลังจากที่ทุกคนรู้ความคิดเขาก็ต่างเข้าใกล้ยู่หลิวซูมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของราชครูเทียนเวิงซีดขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนก็รู้แล้วว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ราชครูเทียนเวิงจะต้องใช้กำลังภายในอีกครั้ง และรอให้เลือดพิษซึมเข้าอวัยวะภายในตาย; ไม่ก็ถูกพวกเขาใช้พลังจนหมด และถูกพวกเขาฆ่าตาย

สรุปแล้ว!

รอบห้องโถงใหญ่ก็ล้วนเป็นน้ำ นอกน้ำก็คือทรายเหลืองที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอาหาร สุดท้ายเขาก็หนีไม่พ้นความตาย

“ตู้ม!”

มีสายฟ้าฟาดผ่านท้องฟ้า ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง ไม่รู้ว่าท้องฟ้ามีเมฆดำรวมตัวกันตั้งแต่ตอนไหน ในตอนที่ไล่วนเป็นนาฬิกา มีแนวโน้มว่าจะเกิดเป็นน้ำวน อีกทั้งยังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และยังมีฟ้าผ่าตามกันมา อยู่ด้านบนห้องโถงใหญ่

หลานเยาเยาเงยหน้าขึ้นไปมอง

เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?

แต่ในช่วงเวลาที่หยุดลง นางถึงได้พบว่าตัวเองนั้นได้กลายเป็นคนแก่ผมขาวอายุเจ็ดสิบ แปดสิบตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ดูท่าทางแล้วอายุจะห่างกับราชครูเทียนเวิงไม่กี่ปี

นิ้วมือย่นจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ร่างกายไม่คล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน แม้แต่ลมหายใจก็เปลี่ยนเป็นช้าและนาน

นางรู้สึกได้ว่าตัวเองใกล้จะตายแล้ว!

ในเวลาที่เหม่อลอยอยู่ ราชครูเทียนเวิงก็พุ่งมาจะโจมตียู่หลิวซูอีกครั้ง นางอยากช่วย แต่ด้วยร่างกายที่ไม่คล่องแคล่วแล้ว แม้แต่แฉลบตัวก็ช้าไปครึ่งจังหวะ

จื่อซีและจื่อเฟิงด้านนั้นได้เข้าไปช่วยแล้ว……

“เยาเยา……”

น้ำเสียงน่าดึงดูดดังขึ้นมาข้างกาย เย่แจ๋หยิ่งยืนอยู่ข้างกายนางตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ห่างไปไหนสักตอน

การเปลี่ยนแปลงของหลานเยาเยา เขาดูอยู่ตลอดเจ็บปวดอยู่ในใจ เสียงเรียกนางก็แหบแห้งเล็กน้อย

“เจ้าอยู่มาตลอด!”

เขาอยู่ เขาอยู่ตลอด นางรู้

“อื้ม!” ตาของเขาแดงเล็กน้อย แต่ก็ยกมุมปากมองนางตลอด พยายามซ่อนความเจ็บปวดไว้ “ไม่ง่ายเลยที่จะได้อยู่ด้วยกัน แล้วจะทนห่างเจ้าไปได้อย่างไร?”

“ข้าตัดสินใจเรื่องนึงไว้แล้ว” เรื่องที่สำคัญมาก

อย่างไรจุดจบตัวเองก็ใกล้เข้ามาแล้ว นางไม่อยากเห็นเพื่อนข้างกายตายไปกับตาตัวเอง พวกเขายังมีทางอีกยาวไกลที่ต้องไป ส่วนนางให้มันจบลงที่นี่

แต่นางไม่อยากตายในอ้อมกอดของเขา นางแค่อยากให้เขารู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิต และจดจำตัวเองไปตลอดชีวิต……

นางยอมรับว่านางเห็นแก่ตัว

แต่……ความรักไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอ?